บทที่ 665 เรียนไม่เก่ง

บทที่ 665 เรียนไม่เก่ง

ปีนี้ซูเสี่ยวปาอายุเพียงสิบห้าปี ส่วนซูเสี่ยวจิ่วอายุเพียงสิบสี่ปี แม้พวกเขาสองคนจะเป็นพี่ชายแต่ก็โตกว่าซูเสี่ยวเถียนเพียงปีสองปีเท่านั้น ช่วงเวลาในการเจริญเติบโตของผู้ชายช้ากว่าเล็กน้อย พี่ชายทั้งสองคนดูแล้วจึงไม่เหมือนคนที่ร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว อย่างมากก็เหมือนเด็กมัธยมต้นปีหนึ่งเท่านั้น

“โรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดของพวกเรามีห้องพิเศษด้วยหรือ พวกเธอเคยได้ยินหรือเปล่า?”

ครูใหญ่กู้ไม่ใคร่จะพอใจนัก คนพวกนี้แม้แต่ห้องพิเศษของโรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดของพวกเขาก็ยังไม่รู้จักหรือ?

อย่าว่าแต่ในหมู่พวกเขายังมีคนที่รู้จริง ๆ ว่าโรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดมีห้องเรียนพิเศษ ไม่ใช่ว่าหนุ่มน้อยสองคนจากหออีหมิงก็อยู่ห้องเรียนพิเศษหรือ ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ยังร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วด้วย

แต่เด็กน้อยคงสู้กลุ่มเด็กสาวเด็กหนุ่มที่อายุสิบแปดสิบเก้าปีไม่ได้กระมัง?

ในสายตาเขามีแววความสงสัย แม้จะไม่ได้ถามอะไรแต่กลับยิ่งทำให้ครูใหญ่กู้รู้สึกดูแคลน

“พวกคุณกำลังดูถูกเด็กจากห้องพิเศษหรือ? พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าเด็กพวกนี้เป็นอัจฉริยะตั้งแต่เกิดพวกเขาฉลาดเฉลียวมาก!” ครูใหญ่กู้อธิบายอย่างโกรธเคือง

สงสัยนักเรียนของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับการที่สงสัยตัวเขาเอง

“เด็กที่โตไม่เท่าไหร่จะสามารถทำคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แค่ไหนกันเชียวครับ!”

หนึ่งในกลุ่มนั้นโต้แย้งอย่างไม่เห็นด้วย

ครอบครัวพวกเขาก็มีญาติที่ร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้

หากเด็กหนุ่มถูกเอาไปเทียบกับเด็กน้อยแบบนี้จะยังมีหน้าไปเจอคนได้หรือ?

“พวกคุณอย่ามองว่ายังเป็นแค่เด็กน้อย เด็กทั้งสองคนนี้คนหนึ่งเป็นถึงอันดับหกของเมืองหลวง อีกคนหนึ่งเป็นถึงอันดับเก้า!” ครูใหญ่กู้ในตอนนี้ไม่สนใจที่จะสงวนท่าทีเลือกที่จะเปิดปากโต้แย้งไปตรง ๆ

ซูเสี่ยวปาและซูเสี่ยวจิ่วทั้งสองคนไม่ได้ยินคำพูดของผู้อำนวยการหลี่ในห้องส่วนตัว เมื่อได้ยินคำพูดของครูใหญ่กู้ทั้งสองคนก็ล้วนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

พวกเขาสอบได้คะแนนดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

นี่มันน่าแปลกใจทีเดียว!

“คุณคงไม่ได้โกหกใช่ไหม? เด็กอายุเท่านี้จะสามารถสอบได้อันดับหกกับอันดับเก้าของทั้งเมืองหลวงได้หรือ?”

“ผมจะโกหกพวกคุณไปทำไม? ถ้าพวกคุณไม่เชื่อก็ไปหน้าสำนักการศึกษาแล้วถามคะแนนเอาเลยสิ!” ครูใหญ่กู้พูดอย่างโมโหฉุนเฉียว

เมื่อพูดถึงสำนักการศึกษาขึ้นมาทันใดนั้นเขาก็นึกถึงผู้อำนวยการหลี่ที่ไม่พูดถึงหลักคุณธรรม บอกว่าจะพาตนไปตระกูลซูแต่กลับไม่รอให้เขาขึ้นรถตัวเองก็หนีไปแล้ว

“ผู้อำนวยการหลี่มาหรือยัง?” เขาถามซูเสี่ยวปาทันที

ซูเสี่ยวปารีบพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “มาแล้วครับกำลังอยู่ในห้องส่วนตัวครับ”

สองพี่น้องตัวน้อยสบสายตากันยังรู้สึกแปลกอยู่บ้าง

ทำไมครูใหญ่กู้ดูฉุนเฉียวขึ้นมาเล่า?

เกิดอะไรขึ้นกับผู้อำนวยการหลี่และครูใหญ่กู้กันแน่?

ในตอนนี้เองครูใหญ่กู้ก็สาวเท้าก้าวยาว ๆ เดินไปยังทิศทางที่ซูเสี่ยวปาและซูเสี่ยวจิ่วชี้ไป

“หนุ่มน้อยพวกเธอสองคนเรียนเก่งถึงเพียงนี้เลยจริงหรือ?” แขกที่อายุค่อนข้างมากคนหนึ่งถาม

“พวกเราสองคนเรียนไม่เก่งครับ!” หลังจากสองพี่น้องสบสายตากันก็ส่งสัญญาณ ตอบกลับอย่างพร้อมเพรียง

แขกสี่ห้าคนบนโต๊ะเปลี่ยนสีหน้าตามคาดทันที พูดมาว่าเด็กสองคนนี้มีคะแนนการสอบแบบนี้แล้วจะให้เด็กโตทำอย่างไรเล่า?

“เรียนไม่เก่งก็ไม่เป็นไรพวกเธอสองคนอายุยังน้อย ปีนี้เรียนซ้ำอีกสักปีหนึ่งปีหน้าไม่แน่อาจสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คะแนนดี!” คนหนึ่งในกลุ่มพูดแนะนำอย่างจริงใจ

สองพี่ดูเหมือนจะถูกการโจมตีอย่างรุนแรง

พูดแบบนี้ได้อย่างไร?

ทำไมพวกเขาต้องเรียนซ้ำด้วย?

“พี่แปดเมื่อครู่ครูใหญ่กู้บอกว่าพวกเราสองคนได้คะแนนเท่าไหร่นะ?” ซูเสี่ยวจิ่วถามอย่างไม่แน่ใจ

หรือเมื่อครู่พวกเขาฟังผิดไม่ใช่อันดับหกและอันดับเก้าของเมืองหลวง แต่เป็นอันดับหกและอันเก้านับจากท้ายหรือ? ไม่ถูกสิคะแนนของพวกเขาไม่น่าแย่ขนาดนั้น!

“ครูใหญ่กู้บอกว่าพวกเราได้อันดับหกกับอันดับเก้า ฉันคิดว่านายน่าจะได้อันดับหก ส่วนฉันได้อันดับเก้า!” ซูเสี่ยวปาพูดอย่างจริงใจ

เขาเรียนไม่เก่งซึ่งเขาก็รู้มาโดยตลอด

“พี่แปดพวกเราไม่จำเป็นต้องเรียนซ้ำกระมัง?”

หากเป็นในเวลาปกติแน่นอนว่าซูเสี่ยวจิ่วคงไม่มึนงงแบบนี้ แต่ในตอนนี้กำลังสงสัยในตัวเองจริง ๆ แล้ว ใครใช้ให้ผู้อำนวยการหลี่มาแล้วไม่เคยบอกพวกเขาว่าคะแนนดีหรือแย่เล่า?

กลุ่มคนมองดูเด็กทั้งสองคนถามตอบกันไปมาก็คิดว่าเด็กพวกนี้คงไม่ใช่เด็กสองคนที่มีคะแนนสอบสูงกระมัง?

มีคนกำลังจะปลอบใจแต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ครูใหญ่ของโรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดก็พูดเช่นนี้

“พวกเธอสองคนเรียนเก่งหรือเปล่า?” มีคนอดไม่ได้ที่จะถามอีกสักประโยค

เด็กชายตัวน้อยสองคนส่ายหน้าอย่างหนักแน่น

ไม่เก่งหรือ?

เหล่าแขกล้วนมึนงงถ้าไม่เก่งจะได้อันดับหกและอันดับเก้าของเมืองหลวงได้อย่างไร?

“ถ้าพวกเธอเรียนไม่เก่งแล้วจะสอบได้คะแนนเป็นอันดับหกและอันดับเก้าของเมืองหลวงได้อย่างไร? คงไม่ใช่ว่ารวมหัวกับครูใหญ่มาหลอกคนหรอกนะ!”

“พวกผมสองคนเรียนไม่เก่ง น้องสาวของผมได้อันดับหนึ่งของเมืองหลวงครับ!” เมื่อซูเสี่ยวปาได้ยินแบบนี้ก็รีบอธิบาย

แขกทั้งโต๊ะถูกประโยคนี้ประโยคเดียวโจมตียับเยิน เพราะอย่างนั้นเด็กสองคนนี้จึงบอกว่าเรียนไม่เก่ง เพราะเทียบกับน้องสาวซึ่งได้อันดับหนึ่งไม่ได้หรือ?

หออีหมิงมีคนมหัศจรรย์แบบนี้ด้วยหรือ?

อันดับหนึ่ง อันดับหก และยังมีอันดับเก้าของเมืองหลวง

นี่คิดจะไม่ให้คนอื่นได้ประสบความสำเร็จเลยหรือ?

“พวกเราสองคนเรียนแย่สุดในบ้านแล้วครับ พี่ใหญ่ของพวกเราตอนนี้เป็นอันดับหนึ่งของตัวเมืองของมณฑล พี่รองและพี่สามก็ติดห้าอันดับแรก คะแนนอันดับหกและอันดับเก้าแบบนี้ก็มีแค่พวกผมสองคนครับ!” ซูเสี่ยวจิ่วพูดเสริม

ดี ดีจริง ๆ คนเหล่านี้แข็งกลายเป็นหินหมดแล้ว

สรุปแล้วประตูของมหาวิทยาลัยเปิดไว้ให้แค่คนครอบครัวนี้หรือ?

หลังจากซูเสี่ยวปาได้ยินซูเสี่ยวจิ่วอธิบายเช่นนี้ความเศร้าในใจก็สลายหายไป ดูเหมือนพวกเขาสองคนจะไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากคนในครอบครัว ใครใช้ให้พวกเขาสองคนเป็นเด็กเรียนไม่เก่งเล่า?

พวกเขาสองคนไม่รู้ว่าตอนที่พวกเขาคิดว่าตัวเองเรียนไม่เก่ง มันทำให้แขกทั้งโต๊ะหมดคำพูดโดยสิ้นเชิง

หรือพูดได้ว่ากลายเป็นหินที่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรแล้ว

ก่อนหน้านี้ยังโน้มน้าวให้คนเรียนซ้ำอีกสักปี แต่เด็กได้คะแนนแบบนี้การจะเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ย่อมไม่ใช่ปัญหาเลย!

“พี่แปดพวกเราไปหาเสี่ยวเถียนกันเถอะ ขอให้เธอมาช่วยสอนพิเศษให้พวกเรา ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเรียนได้ไม่ดีคงเสียหน้าแย่!” ซูเสี่ยวจิ่วพูดอย่างจริงใจ

ซูเสี่ยวปาพยักหน้ากล่าว “ดีเลยตอนที่พวกเราไปสมัครมหาวิทยาลัยก็ไม่ต้องสมัครมหาวิทยาลัยเดียวกับเสี่ยวเถียน”

หากสมัครมหาวิทยาลัยเดียวกันชีวิตในอนาคตอีกสี่ปีคงไม่ง่ายแล้ว

แขกทั้งโต๊ะได้แต่มองหน้ากัน คะแนนแบบนี้ยังต้องการเรียนเสริมแล้วเด็กคนอื่นจะทำอย่างไรเล่า?

พวกเขามองไปรอบร้านอาหารหออีหมิง หรือว่าร้านอาหารนี้จะเป็นมงคลอย่างยิ่งยวด?

หออีหมิงช่างน่าอัศจรรย์!

มิน่าเล่าเด็กในครอบครัวถึงโดดเด่นขนาดนี้!

ในอนาคตต้องมากินข้าวที่หออีหมิงให้บ่อยแล้ว!

“ดูเด็กคนนี้สิทั้งที่ความสามารถโดดเด่นแต่ก็ยังถ่อมตัว ที่ครอบครัวอื่นได้อันดับสิบของเมืองหลวงก็แทบขึ้นสวรรค์แล้ว!” คนที่อายุมากที่สุดพูดออกมาอย่างปลงตก

“ไม่น่าเลยวันนี้น่าจะเอาเจ้าเด็กหน้าเหม็นของบ้านฉันที่ไม่ชอบการเรียนมาฟังเขาสักหน่อย!” อีกคนหนึ่งพูดอย่างปลงตกเช่นกัน

“หลังจากนี้ยังมีเวลาอยู่พวกเราพาเด็กๆ มาที่นี่หลายครั้งหน่อยเถอะ จะดีที่สุดถ้าได้เจอกับสาวน้อยที่โดดเด่นคนนี้!”

“ฉันเคยเห็นสาวน้อยของบ้านนี้เป็นคนสวยทั้งยังพูดภาษาต่างประเทศคล่องแคล่ว คาดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่การสอบก็ยังทำได้ดีแบบนี้!”

แขกบนโต๊ะมีคนหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับหออีหมิงเป็นอย่างมาก พูดออกมาอย่างสบาย ๆ