บทที่ 555 ตอบโต้ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 555 ตอบโต้ (1)

กู้เจียวสังเกตเห็นร่องรอยของตะเกียงในห้องของตนที่ถูกจุดไว้อยู่ก่อนหน้านี้นานแล้ว ห้องจึงอบอุ่นมาก

ช่วงนี้นางต้องประจำอยู่ที่โรงหมอ คืนนี้ก็เช่นกัน

นี่เขาเตรียมจุดตะเกียงไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมสำหรับพูดคุยกันไม่กี่ประโยคอย่างนั้นหรือ

นี่เขาเป็นห่วงว่านางจะหนาวสินะ

แม้ร่างกายของกู้เจียวตอนนี้จะไม่กลัวความหนาวแล้ว แต่มุมปากของกู้เจียวยังคงยกขึ้นอย่างอดไม่ได้

หลังจากที่เซียวเหิงปรับไส้ตะเกียงเสร็จ พอหันกลับมาก็เจอกับใบหน้าของนางที่กำลังมองเขาด้วยสายยตาคลั่งรักพร้อมมือสองข้างอังที่แก้ม

เซียวเหิง “…”

เขานั่งลงอย่างสุขุมตรงข้ามนาง

กู้เจียวเปิดถามอย่างตรงไปตรงมา “จะพูดเรื่องอะไรหรือ”

เซียวเหิงเอ่ยตอบพร้อมกับมองข้ามแววตากรุ้มกริ่มของคนตรงหน้า “เรื่องม่อเชียนเสวี่ยน่ะ”

กู้เจียวร้องอ๋อหนึ่งที ก่อนจะถามต่อ “เจ้ารู้จักนางด้วยรึ” กู้เจียวจำไม่ได้ว่าเคยแนะนำม่อเชียนเสวี่ยให้เขาฟังตั้งแต่เมื่อไหร่

เซียวเหิงตอบ “จะไม่ให้ข้ารู้จักได้อย่างไร นางเป็นคนไข้ที่ใช้ห้องร่วมกับเจ้านะ”

กู้เจียวกะพริบตา ยกฝ่ามือสองข้างขึ้นมาเท้าคาง “นี่เจ้า หึงข้ารึ”

“เปล่านะ” เซียวเหิงปฏิเสธเสียงแข็ง

เหอะ ก็แค่คนที่นอนด้วยกันกับเจ้าทุกวัน!

กู้เจียวยกมุมปากขึ้นพร้อมกับลุกยืนแล้วโน้มตัวยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ เซียวเหิง

จากระยะนี้ กู้เจียวสามารถเห็นแพขนตายาวที่สั่นเล็กน้อยของเขาได้อย่างชัดเจน และยังได้ยินเสียงลมหายใจที่ตึงเครียดเนื่องจากความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

เวลาเซียวเหิงอยู่ที่ทำงานมักจะทำตัวเช่นคนหน้าหนา แต่กลับขี้อายต่อหน้าคนใกล้ชิด โดยเฉพาะต่อหน้ากู้เจียว

เขาหลบตาลงเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของนาง แต่เขาไม่สามารถปฏิเสธท่าทีอันเย้ายวนของนางได้ อันที่จริง นางแทบไม่ได้ทำอะไรเลย แต่กลับเอาเขาจนอยู่หมัดได้เสียนี่

จุ๊บ!

กู้เจียวประทับริมฝีปากที่กลางผากของเขา

เซียงเหิงตัวแข็งทื่อพร้อมกับมองคนตรงหน้าที่กำลังส่งสายตาวิบวับให้เขา

เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกระทบจนทำให้การเต้นของหัวใจเกิดผิดจังหวะไปหนึ่งที

“คุณสามีตอนหึงนี่หล่อจริงๆ เลย”

กู้เจียวพูดจบก็ยิ้มหนึ่งทีก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม

ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวโดยเฉพาะบริเวณที่ถูกจูบราวกับกำลังเกิดการเผาไหม้อยู่

แม้ว่าพวกเขาเป็นคู่รักในนาม อีกทั้งเคยมีปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากกว่าตอนนี้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง การจูบเบาๆ ที่ไม่คาดคิดนี้ยังคงยั่วยวนเขามากจนแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะควบคุมตัวเองได้

จนเขาเกือบลืมไปแล้วว่าต้องพูดอะไรต่อ!

เซียวเหิงสูดปากลึก พยายามข่มความว้าวุ่นในหัว ตั้งสติ แล้วเอ่ยกับกู้เจียว “ม่อเชียนเสวี่ยเป็นคนของหอเซียนเล่อ”

“อื้อ ข้ารู้” กู้เจียวพยักหน้า

เซียวเหิงไม่แปลกใจ เพราะหากเป็นคนไข้ทั่วๆ ไป นางคงไม่พาไปนอนในห้องของนาง และเป็นไปได้สูงว่ากู้เจียวรู้จักกับม่อเชียนเสวี่ยมาก่อนอยู่แล้ว

เซียวเหิงเอ่ยต่อ “นางจงใจเจ็บตัว เพื่อที่จะเข้าใกล้และซื้อความไว้ใจจากเจ้า”

กู้เจียวเอามือลูบคาง “อ๋อ มิน่าล่ะ”

อาการบาดเจ็บของม่อเชียนเสวี่ยเรียกได้ว่าแทบไม่มีพิรุธและเฉียดความตายอย่างมาก แต่สิ่งที่แปลกก็คือ จุดที่ม่อเชียนเสวี่ยล้มนั้นคือระหว่างทางที่ไปยังหอเซียนเล่อ

ไม่ใช่ว่ากู้เจียวจะไม่เคยสงสัยนาง เพียงแต่กู้เจียวไม่รู้สึกถึงรังสีอำมหิตจากม่อเชียนเสวี่ย ก็เลยไม่ได้คิดอะไร

“หากม่อเชียนเสวี่ยอยากจะกำจัดข้า มีโอกาสตั้งมากมายให้นางได้ลงมือ”

แต่ม่อเชียนเสวี่ยก็ยังไม่ลงมือเสียที

“พวกเจ้ารู้จักกันได้อย่างไร”

“…เจอกันบนถนนน่ะ”

จะไม่บอกเขาเด็ดขาดว่าเคยไปท่องราตรีที่หอนางโลมน่ะ!

เซียวเหิง “…”

ใช้หัวแม่โป้งคิดก็รู้ว่านางเคยไปหอนางโลม คงเป็นตอนที่ไปสืบเรื่องจิ้งไท่เฟยสินะ

แต่สตรีเข้าหอนางโลมไม่ได้นี่นา

แปลว่านางปลอมตัวเป็นผู้ชายสินะ

เช่นนั้น ม่อเชียนเสวี่ยกับนาง…

เซียวเหิงรู้สึกราวกับมีควันพุ่งขึ้นมาจากกลางศีรษะ!

กู้เจียวรีบกระพริบตาปริบๆ และพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนตามสัญชาติญาณ “คุณสามีหล่อมาก หล่อที่สุดเลยล่ะ!”

เอาละ รู้สึกผิดแล้วสินะ

เซียวเหิงจดบัญชีไว้ในใจ

เพื่อรอคิดบัญชีกับนางสักวัน!

แต่ตอนนี้เขาต้องจัดการเรื่องเจ้าของหอเซียนเล่อให้ได้เสียก่อน

พอผ่านวันที่สิบห้าของเดือนจันทรคติ หิมะตกอีกครั้งในเมืองหลวง

ฮ่องเต้เสด็จขึ้นศาล และปัญหาของการมอบรางวัลแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีเกียรติทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน แทบไม่มีใครคัดค้านการแต่งตั้งให้ถังเย่ว์ซานกับกู้ฉังชิง แต่การแต่งตั้งองค์หญิงหนิงอันกลับได้รับความคิดเห็นที่แตกต่างจากขุนนางหลายคน

เหล่าข้าราชบริพารถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือข้าราชบริพารที่นำโดยรองราชเลขาสวี ซึ่งต้องการให้รางวัลแก่องค์หญิงและตั้งให้พระองค์เป็นองค์หญิงผู้พิทักษ์ ส่วนอีกฝ่ายนำโดยเจ้ากรมกลาโหมผู้ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการให้รางวัลและมอบตำแหน่งให้แก่องค์หญิง

เจ้ากรมกลาโหมสวี่เยวียนคือบิดาของสวี่โจวโจว

เหตุผลของรองราชเลขาสวีคือเขาเห็นว่าองค์หญิงมีส่วนร่วมอย่างมากในป้อมปราการชายแดน ขณะที่เหตุผลคัดค้านของสวี่เยวียนคือองค์หญิงเป็นผู้สืบสกุลและเป็นผู้ให้กำเนิดทายาทของอดีตราชวงศ์

องค์หญิงทำหน้าที่บกพร่อง นำศัตรูเข้าเรือน ซ้ำยังให้กำเนิดทายาทศัตรู จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับตำแหน่งองค์หญิงผู้พิทักษ์

อำมาตย์ของฮ่องเต้ถือสาส์นที่ได้รับจากจี้จิ่วอาวุโสไว้

ใจความว่า อาจมีคนยกเรื่องของหวงฝู่เสียนเป็นประเด็น โปรดฮ่องเต้อย่าเพิ่งต่อต้านพวกอำมาตย์เหล่านั้น

บุคคลที่ราษฎรพึงให้ความเห็นใจคือองค์หญิง หาใช่หวงฝู่เสียนไม่

หากพระองค์ทรงหันหลังให้กับข้าราชบริพารเพียงเพราะเห็นแก่หวงฝู่เสียน การสนับสนุนจากราษฎรที่สั่งสมมาด้วยความยากลำบากก็จะไร้ผล

ฮ่องเต้เลยจำต้องออกจากศาลไปก่อนอย่างไม่มีทางเลือก

ภายในพระทัยทรงห่วงใยเพียงแค่หนิงอัน ยิ่งพอมีคนต่อต้านนาง ก็ทรงยิ่งรู้สึกสงสารหนิงอัน

ใยทุกคนถึงต้องกลั่นแกล้งหนิงอันของเขา

หนิงอันทำผิดอันใด

คนที่ผิดคือพวกอดีตราชวงศ์มิใช่รึ

หนิงอันของเขาคือผู้เสียหาย!

แล้วใยนางถึงไม่สมควรได้รับการตอบแทน!

ระหว่างทางกลับตำหนักฮว๋าชิง จู่ๆ พระองค์ก็ทรงดำริขึ้นว่าอยากจะมอบรางวัลและตำแหน่งให้องค์หญิงแม้จะถูกเหล่าอำมาตย์คัดค้าน

แต่พอนึกถึงหวงฝู่เสียน ฮ่องเต้เป็นอันต้องหยุดดำรินั้นลง

คืนสุดท้ายก่อนครบกำหนดสามวัน ฮวาซีเหยาเดินทางมาที่โรงหมอ

ม่อเชียนเสวี่ยเริ่มขยับตัวได้เล็กน้อย นางนั่งที่ริมหน้าต่าง และมองฮวาซีเหยาด้วยท่าทีรังเกียจ “เจ้าหยุดมาที่นี่บ่อยๆ ได้ไหม ประเดี๋ยวความแตกเอาหรอก!”

ฮวาซีเหยาสะบัดพัดในมือพร้อมกับหัวเราะ “ข้าแค่จะมาเตือนท่านพี่ว่าพรุ่งนี้คือเส้นตาย คิดวิธีที่จะพานางออกจากเมืองหลวงได้แล้วหรือยัง”

ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยตอบ “แล้วถ้าข้าทำไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ”

ฮวาซีเหยายิ้มเยาะ “ท่านพี่ก็จะต้องตายน่ะสิ”

ม่อเชียนเสวียตอบเสียงแข็ง “เจ้าฆ่าข้าไหวรึ”

ฮวาซีเหยากระตุกมุมปาก “ข้าทำไม่ได้ ใช่ว่าจะไม่มีคนทำได้ ท่านพี่รู้ดีว่าคนที่หักหลังจะลงเอยเช่นไร”

ม่อเชียนเสวี่ยเบือนหน้าหนี “เจ้ายังมียาเหลืออยู่ไหม”

ฮวาซีเหยาฉีกยิ้ม “ท่านพี่ถามถึงยาตัวไหนล่ะ”

ม่อเชียนเสวี่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ยาที่เหมือนกับเถ้ากระดูกน่ะ”

จากนั้นฮวาซีเหยาก็สะบัดพัดบังหน้าแล้วหัวเราะ “อ๋อ ยาเมาเจ็ดวันน่ะหรือ มีสิ ข้าเอามาด้วยล่ะ นึกว่าท่านพี่จะไม่ถามแล้วเสียอีก”

ยาเมาเจ็ดวัน สรรพคุณตามชื่อ แค่เม็ดเดียวก็ออกฤทธิ์มึนเมาได้เจ็ดวันเจ็ดคืน

ม่อเชียนเสวี่ยนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามต่อ “นางดื่มเก่งมาก จะได้ผลใช่ไหม”

ฮวาซีเหยายื่นขวดยาให้ม่อเชียนเสวี่ยจากนั้นใช้พัดตบขวดยาเบาๆ แล้วเอ่ย “ได้ผลสิ วางใจยาของข้าได้เลย ขนาดข้าคือคนที่ดื่มเก่งที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ เจอยานี้ไปเม็ดเดียวยังล้มได้ ในขวดนี้มียาสามเม็ด ค่อยๆ ใช้ก็แล้วกันท่านพี่”