ตอนที่ 671 อาละวาดเข้าร่วมกองทัพ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 671 อาละวาดเข้าร่วมกองทัพ

“เจ้ากำลังหัวเราะเยาะความโง่เขลาของพี่สาวเจ้าหรือ ระวังพี่ไปฟ้องพี่หญิงใหญ่ของเจ้าให้ทำโทษเจ้าไม่ให้ทานเนื้อสักสิบวันนะ” ไป๋จิ่นจื้อแสร้งทำเป็นโมโห ยื่นมือไปจี้เอวน้องสาวของตัวเอง

ไป๋จิ่นเซ่อบ้าจี้เป็นที่สุด สาวน้อยวิ่งหนีรอบโต๊ะหินพลางส่งเสียงขอร้อง “พี่หญิงสี่ปล่อยน้องไปเถิดเจ้าค่ะ ว้าย พี่หญิงสี่ ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าขอโทษเจ้าค่ะ”

เสียงหัวเราะของเด็กสาวราวกับเสียงระฆังกังวานท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่าน ทำให้ใจของคนรู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก จวนไป๋ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นนี้มานานแล้ว

สองสาวกำลังเล่นสนุกจนเหงื่อซึมท่วมตัว สาวใช้นำผลไม้ ของว่างและน้ำชามาจัดวางบนโต๊ะ จากนั้นถอยกลับไปยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกศาลาตามเดิม

ไป๋จิ่นเซ่อยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ไป๋จิ่นจื้อเช็ดเหงื่อ เด็กสาวเหลือบไปเห็นเว่ยจงกำลังเดินตามสาวใช้ไปยังเรือนชิงฮุยของพี่หญิงใหญ่จึงส่งสัญญาณให้ไป๋จิ่นจื้อมองดูทางนั้นยิ้มๆ “พี่หญิงสี่ดูนั่นสิเจ้าคะ นั่นคือเว่ยจง สาวใช้จากเรือนพี่หญิงใหญ่คงกำลังพาเขาไปที่เรือนชิงฮุยเจ้าค่ะ”

ไป๋จิ่นจื้อมองไปทางด้านล่างภูเขาจำลอง พยักหน้าเล็กน้อย “น่าจะใช่”

“พี่หญิงสี่ พี่หญิงใหญ่มักใช้คนตามความถนัดของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่นเว่ยจง ก่อนหน้านี้เขาเคยช่วยพี่หญิงใหญ่สืบเรื่องราวอยู่สองสามครั้งและทำได้ละเอียดทุกครั้ง ทว่า นอกจากการสืบเรื่องต่างๆ แล้ว พี่หญิงใหญ่ไม่เคยใช้ให้เว่ยจงทำสิ่งอื่นเลยเจ้าค่ะ”

“ส่วนลุงผิง เขาเป็นบ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของจวนไป๋มานาน เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของจวนไป๋ พี่หญิงใหญ่มักจะมอบให้ลุงผิงเป็นคนจัดการ”

ไป๋จิ่นจื้อมองไปทางน้องหญิงเจ็ดของตัวเอง ตั้งใจฟังที่น้องสาวกล่าว

“ยังมีผู้ดูแลหลิว หลายปีมานี้ผู้ดูแลหลิวรับผิดชอบเรื่องกิจการของตระกูลไป๋มาโดยตลอด ดังนั้นหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับกิจการหรือการค้า พี่หญิงใหญ่จะมอบให้ผู้ดูแลหลิวเป็นคนจัดการ” ไป๋จิ่นเซ่อยกกาน้ำชารินชาให้ไป๋จิ่นจื้อ “หากพี่หญิงใหญ่ทำเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเองทั้งหมด ต่อให้พี่หญิงใหญ่มีสามหัว หกแขนก็ไม่อาจทำได้ทั้งหมดหรอกเจ้าค่ะ!”

ไป๋จิ่นเซ่อวางกาน้ำชาลง ดันถ้วยชาไปตรงหน้าไป๋จิ่นจื้อ จากนั้นกล่าวขึ้น “ดังนั้นแทนที่พี่หญิงสี่จะมานั่งคิดอยู่ตรงนี้ว่าควรทำเช่นไรดี ไม่สู้คิดว่าควรใช้คนข้างกายคนใดที่จะทำให้พี่หญิงสี่บรรลุเป้าหมายได้จะดีกว่าเจ้าค่ะ”

ไป๋จิ่นจื้อมองดูน้องสาวตัวน้อยของตัวเอง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าน้องสาวเติบโตขึ้นมาก ดูเหมือนจะสุขุมกว่าน้องหญิงห้าและน้องหญิงหกเสียอีก

ไป๋จิ่นเซ่อคือบุตรสาวอนุของท่านชายใหญ่ของตระกูลไป๋ ตั้งแต่ที่ไป๋ชิงเหยียนได้รับบาดเจ็บหนัก ไป๋จิ่นเซ่อดูแลอยู่ข้างกายของไป๋ชิงเหยียนตลอดเวลา สาวน้อยได้เห็นและได้ยินในหลายๆ เรื่อง ดังนั้นย่อมสุขุมขึ้นเป็นธรรมดา

“เจ้าคิดคำกล่าวพวกนี้ด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ” ไป๋จิ่นจื้อรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที รู้สึกว่าตนเองสู้น้องสาวของตัวเองไม่ได้สักนิด

ไป๋จิ่นเซ่อส่ายหน้า “ตอนเด็กข้าได้ยินพี่หญิงใหญ่กล่าวกับพี่ชายใหญ่เจ้าค่ะ ตอนนั้นข้ายังเด็กจึงไม่เข้าใจความหมาย ตอนนี้เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

พี่ชายใหญ่ที่ไป๋จิ่นเซ่อกล่าวถึงคือคุณชายใหญ่ของตระกูลไป๋ ไป๋ชิงลั่วพี่ชายแท้ๆ ของไป๋จิ่นจื้อ

เมื่อนึกถึงพี่ชายแท้ๆ ขอบตาของไป๋จิ่นจื้อร้อนผ่าวขึ้นทันที นางก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ ทว่า จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ผุดลุกขึ้นยืนราวกับนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ จากนั้นตบไปที่ศีรษะของตัวเองเบาๆ “จริงสิ! เหตุใดพี่ถึงนึกไม่ได้นะ!”

ไป๋จิ่นเซ่อกำลังใช้ตะเกียบคีบของว่างให้ไป๋จิ่นจื้อ เมื่อเห็นไป๋จิ่นจื้อผุดลุกขึ้นยืนพลางตบศีรษะของตัวเอง สาวน้อยจึงตกใจ “พี่หญิงสี่!”

ไป๋จิ่นจื้อคว้าแส้ที่วางอยู่บนเก้าอี้หินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเดินออกไปด้านนอกพลางกล่าวกับไป๋จิ่นเซ่อ “เจ้าทานของว่างไปคนเดียวนะ พี่มีเรื่องต้องไปจัดการ”

คำชี้แนะว่าให้ใช้คนข้างกายของไป๋จิ่นเซ่อเมื่อครู่ทำให้ไป๋จิ่นจื้อนึกถึงองค์รัชทายาทขึ้นมาได้!

จะมีสิ่งใดตรงไปตรงมาเท่ากับการไปตรวจสอบที่นั่นโดยมีคำสั่งจากองค์รัชทายาทกัน!

ไป๋จิ่นเซ่อเห็นพี่หญิงสี่ของตัวเองวิ่งจากไปด้วยรอยยิ้มก็รู้ทันทีว่าพี่หญิงสี่คิดวิธีออกแล้ว สาวน้อยพลอยดีใจตามไปด้วย ใบหน้าส่อแววยินดี สาวน้อยก้มหน้าชิมของว่างที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ รู้สึกว่ารสชาติไม่เลวจึงสั่งให้สาวใช้ส่งไปให้เรือนชิงฮุยกล่องหนึ่งด้วย จากนั้นกำชับเพิ่ม “มอบของว่างให้พี่ชุนเถาก็พอแล้ว อย่ารบกวนไปถึงพี่หญิงใหญ่เด็ดขาด”

ตั้งแต่ที่พี่หญิงใหญ่ได้รับบาดเจ็บ แม้นางจะอ้างกับคนภายนอกว่านอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียง ทว่า แท้จริงแล้วพี่หญิงใหญ่แทบไม่ได้พักผ่อนเลย

เมื่อครู่พี่หญิงใหญ่สั่งให้คนไปตามเว่ยจงไปพบที่เรือนชิงฮุย แสดงว่านางคงมีเรื่องสั่งให้เว่ยจงไปจัดการอีกแน่นอน

ไป๋จิ่นเซ่อหันกลับไปมองต้นแปะก๊วยที่เมื่อครู่ไป๋จิ่นจื้อมองอย่างเหม่อลอยนิ่ง ได้แต่หวังให้ตัวเองโตขึ้นเร็วๆ ขอเพียงนางโตขึ้น นางจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของพี่หญิงใหญ่ พี่หญิงใหญ่จะได้ไม่ต้องลำบากเช่นนี้อีก

ไป๋จิ่นจื้อขี่ม้าตรงไปยังจวนองค์รัชทายาทอย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่ผ่านเหตุการณ์ที่ท่านอ๋องสองคนบุกประตูอู่เต๋อ ฮ่องเต้มอบราชสำนักให้องค์รัชทายาทเป็นคนจัดการมาโดยตลอด เขาไม่เข้าร่วมแม้แต่การว่าราชการตอนเช้า ตั้งใจพักรักษาอาการเพียงอย่างเดียว องค์รัชทายาทจึงย้ายภารกิจสำคัญมาทำที่จวนองค์รัชทายาทั้งหมด ตอนที่ไป๋จิ่นจื้อไปถึงจวนองค์รัชทายาท ขุนนางกลุ่มหนึ่งเพิ่งเดินออกมาจากจวนองค์รัชทายาทพอดี

แม้ใต้เท้าหวังเสนาบดีกรมพิธีการผู้เป็นตาของหลิ่วรั่วฟูจะกล่าวว่าตนเองไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏในครั้งนี้ ทว่า เขาคือพ่อตาของเสียนอ๋อง เขาจึงยื่นฎีกาขอถอนตัวออกจากตำแหน่งเสนบาดีกรมพิธีการโดยอ้างว่าตนแก่ชรามากแล้วจึงต้องการเกษียณก่อนวัย องค์รัชทายาทอนุญาตทันทีโดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิและขุนนางเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

เมื่อครู่ขุนนางกลุ่มนี้มาปรึกษากับองค์รัชทายาทเรื่องการเลือกตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการคนใหม่ พวกเขาโต้เถียงกันจนคอแห้งก็ยังไม่ได้ข้อสรุป องค์รัชทายาทกำลังหงุดหงิดใจ เมื่อได้ยินว่าไป๋จิ่นจื้อมาขอเข้าพบ เขาจึงให้เฉวียนอวี๋เชิญไป๋จิ่นจื้อเข้ามาพบ

“ไป๋จิ่นจื้อคารวะเสด็จพี่องค์รัชทายาทเพคะ” ไป๋จิ่นจื้อทำความเคารพองค์รัชทายาท

องค์รัชทายาทชอบนิสัยตรงไปตรงมาของไป๋จิ่นจื้อมาก อีกทั้งชอบที่คนตระกูลไป๋ทำตัวสนิทสนมกับเขา เขาหันไปสั่งเฉวียนอวี๋ยิ้มๆ “นำของว่างที่พระชายาเอกเพิ่งส่งมาให้เมื่อครู่มาให้เกาอี้จวิ้นจู่ชิมที”

“ว้าว ของว่างฝีมือของเสด็จพี่สะใภ้หรือเพคะ เป็นบุญปากของหม่อมฉันยิ่งนักเพคะ” ไป๋จิ่นจื้อไม่เกรงใจแม้แต่น้อย สาวน้อยนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบายใจ กล่าวจุดประสงค์ที่มาที่จวนองค์รัชทายาททันที “เสด็จพี่องค์รัชทายาท วันนี้หม่อมฉันไม่ได้มาเพื่อทานอาหารอร่อยเท่านั้นเพคะ! ไม่ทราบว่าเสด็จพี่องค์รัชทายาทเคยได้ยินเรื่องที่คุณชายเจ้าสำราญในเมืองหลวงอาละวาดอยากไปเข้าร่วมกองทัพบ้างหรือไม่เพคะ”

ได้ยินเรื่องนี้องค์รัชทายาทจึงยิ้มออกมาทันที เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะด้านข้าง เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ จากนั้นกล่าวอย่างระอา “จะไม่รู้ได้อย่างไรกัน ไร้สาระกันจริงๆ ! แต่ละคนตั้งชื่อปลอมเป็นอวี๋ซาน หม่าซาน หลู่ซาน กลัวผู้อื่นจะไม่รู้ว่าเป็นนามปลอมอย่างนั้นหรือ ปรากฏว่าไปได้ไม่นานก็ทนไม่ไหว ขอร้องให้ครอบครัวหาทางนำตัวพวกเขากลับมาเมืองหลวงเสียนี่!”

“หม่อมฉันได้ยินพวกเขาเล่าว่าลำบากในการฝึกฝนยังไม่เท่าใดนัก ที่สำคัญคือเสบียงอาหารไม่สะอาด เมล็ดข้าวมีก้อนกรวดปนอยู่มากมาย แข็งจนพวกเขากลืนไม่ลง บาดคอมากเพคะ!” ไป๋จิ่นจื้อขมวดคิ้วแน่น “เสด็จพี่องค์รัชทายาททรงทราบดีว่าหม่อมฉันเกิดมาในตระกูลนักรบ เคยไปออกรบที่หนานเจียงและเป่ยเจียงมาแล้ว ผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในเมืองหลวงไม่มีทางรู้ว่าการทำสงครามลำบากสักเพียงใด ทว่า เสด็จพี่องค์รัชทายาทและหม่อมฉันล้วนเคยไปออกรบมาแล้ว พวกเราเคยลำบากมาก่อน ย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุดนะเพคะ!”

องค์รัชทายาทได้ยินไป๋จิ่นจื้อกล่าวถึงเรื่องนี้จึงก้มหน้าลง ใช้นิ้วลูบปลายจมูกเบาๆ ไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น…