บทที่ 556 เปิดโปงตัวการ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 556 เปิดโปงตัวการ

ร่างชายชุดเทาที่ถูกทวงพู่แดงแทงทะลุศีรษะก็ล้มลงไปทางด้านข้างพร้อมกับเนื้อหยุ่นของสมองและเลือดที่ไหลออกมา!

ช่างเป็นภาพที่ชวนขนหัวลุกยิ่งนัก ลำพังแค่โดนลูกธนูยิงเข้าร่างก็ทำให้ตายคาที่ได้แล้ว แต่อาวุธนี่มันคือทวนที่ทั้งใหญ่ยาวและมีน้ำหนักมากเชียวนะ!

ชายชุดเทาคนอื่นๆ พอได้เห็นภาพดังนั้นก็รู้สึกราวกับสมองของตัวเองไหลออกมาไม่ปาน

แม้พวกเขาจะเคยฆ่าคนมานักต่อนัก แต่ก็ไม่เคยเห็นภาพที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน!

ต้องเป็นคนที่ใจคอโหดเหี้ยมแค่ไหนกันถึงได้กล้ากระทำเช่นนี้!

ใครกันนะ!

เป็นฝีมือของใครกัน!

คราวนี้พวกเขาเริ่มเห็นแล้วว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก จู่ๆ ถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะก็เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียดและน่ากลัว ชายชุดเทาอีกคนเข้ามาแทนที่คนก่อนหน้าและเริ่มออกคำสั่ง

“ชักดาบออกมา! ชักดาบออกมาให้หมด!”

เขาตะโกนลั่น

เสียงของเขาดึงทุกคนให้กลับมามีสติ จากนั้นดึงดาบที่แขวนอยู่ตรงเอวออกมาทีละคน

ในเวลาเดียวกัน เสียงของเกือกม้าที่ฟังดูเหมือนจะถล่มภูเขาสะท้านแม่น้ำดังขึ้นมาแต่ไกล ทุกคนหันไปตามเสียง ก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีเขียวควบม้าพุ่งตรงมาหาพวกเขา

ในจังหวะที่กีบม้าแตะพื้น เด็กชายยื่นมือที่ใส่ถุงมือออกและดึงทวนพู่สีแดงที่เจาะศีรษะของชายชุดเทาคนนั้นออกมา

จากนั้นเด็กชายถอดเสื้อคลุมออกแล้วห่มลงไปบนร่างของม่อเชียนเสวี่ยที่อยู่ในสภาพชุดขาดรุ่งริ่ง

ม่อเชียนเสวี่ยที่นอนนิ่งอยู่บนหิมะเย็นยะเยือกได้แต่ชายตามองคนเบื้องหน้า เขาไม่ได้สวมหน้ากาก ดวงตาของเขาเคร่งขรึม รอยปานแดงตรงแก้มข้างซ้ายของเขาแม้จะแตกต่างแต่ก็ไม่ได้ดูขัดสายตานัก ราวกับเป็นร่องรอยที่แผ่ซ่านความเย็นชาและชั่วร้ายออกมา

แม้ชายหนุ่มเต็มไปด้วยรังสีอาฆาต แต่เขากลับช่วยนางปกปิดร่างกาย

หลังจากที่กู้เจียวดึงทวนขึ้นมา ก็ขว้างไปที่ชายชุดเทาอีกห้าคนที่เหลืออย่างไม่รอช้า

ฝีมือการต่อสู้ของกลุ่มชายชุดเทาเรียกได้ว่าไม่อ่อนหัด พอรวมกันแล้วพวกเขาแข็งแกร่งได้พอๆ กับหมาป่ายักษ์ แต่กู้เจียวในตอนนี้ไม่ใช่กู้เจียวเมื่อสองเดือนก่อน ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มมากขึ้น ต่อให้ตอนนี้จะต่อสู้กับหมาป่ายักษ์อีกครั้ง กู้เจียวจะไม่อ่อนแอเหมือนครั้งที่แล้วอีก

กู้เจียวกระโดดลงจากหลังม้า การปะทะจึงเริ่มขึ้น

จู่ๆ หนึ่งในชายชุดเทาเกิดนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้และรีบชี้ไปที่กู้เจียวแล้วเอ่ย “เป็นนาง! นางคือตัวประกันที่เราต้องการ!”

กู้เจียวกำทวนแน่นพร้อมเอ่ยเสียงแข็ง “แน่จริงก็เข้ามาจับสิ”

ชายชุดเทาทั้งห้าพุ่งตัวเข้าไปทางกู้เจียว

ฝีมือการต่อสู้ของกู้เจียวไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ในจดหมาย นั่นทำให้พวกเขารู้สึกผิดคาด ตามหลักแล้ว ความแข็งแกร่งของทั้งห้าคนก็เพียงพอที่จะควบคุมตัวนางได้ แถมพวกเขายังเพิ่มกำลังคนมาอีกหนึ่งคนเผื่อไว้ด้วย

กระนั้นพวกเขาทั้งหมดไม่สามารถรอดจากเงื้อมมือของนางไปได้

กู้เจียวไม่อยากให้เกิดปัญหาตามมาทีหลัง อีกทั้งไม่ชอบกระบวนท่าที่วุ่นวาย

นางต้องการปิดฉากให้เร็วที่สุด

กระบวนท่าไม้ตายคือสิ่งที่กู้เจียวถนัดที่สุด

ชายชุดเทาล้มระเนระนาดทีละคน จนมาถึงคนสุดท้าย สิ้นเสียงเชือดเฉือนจากดาบของกู้เจียว ชายชุดเทาล้มลงบนกองเลือดที่นองพื้น

แต่กู้เจียวไม่ได้จงใจจะฆ่าเขาเสียทีเดียว

จากนั้นกู้เจียวปักทวนพู่แดงลงบนพื้น โน้มตัวลงแล้วใช้ผ้าห่อร่างของม่อเชียนเสวี่ยแล้วอุ้มนางขึ้นมา

ในตอนนั้นเอง รถม้าของกรมยุติธรรมคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เซียวเหิงเปิดม่านรถออกพร้อมกับมองไปที่กู้เจียวและม่อเชียนเสวี่ย ก่อนจะกวาดสายตามองรอบๆ จนเข้าใจสถานการณ์

เขารีบลงจากรถม้าพร้อมกับเรียกสารถีให้ลงมาด้วยกัน

กู้เจียวแบกร่างของม่อเชียนเสวี่ยขึ้นรถม้า

เซียวเหิงเปิดม่านรถจากด้านนอกพร้อมกับเอ่ยถาม “พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

กู้เจียวหันไปทางม่อเชียนเสวี่ย

ม่อเชียนเสวี่ยส่ายใบหน้าอันซีดเซียวของนาง บอกให้รู้ว่ากู้เจียวกับนางไม่เป็นอะไร

กู้เจียวจึงตอบเขากลับ “ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”

“ใบหน้าของเจ้ามีแต่รอยเลือด”

“ไม่ใช่เลือดของข้า”

สีหน้าของเซียวเหิงเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เนื้อตัวม่อเชียนเสวี่ยเริ่มสั่น เสื้อคลุมแค่ตัวเดียวไม่เพียงพอสำหรับอุ่นร่างกาย

กู้เจียวคว้าเสื้อกันหนาวมาคลุมให้ม่อเชียนเสวี่ย

ในรถม้าไม่มีเตาผิง ทั้งพื้นและกำแพงรถเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง

ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นมือเรียวดั่งหยกก็ยื่นชุดเครื่องแบบและเสื้อผ้ากันหนาวมาให้

ชุดนั้นเป็นของเซียวเหิง

ด้วยความที่มีรถม้าคันเดียว และด้วยสภาพของม่อเชียนเสวี่ยในตอนนี้ทำให้เซียวเหิงขึ้นรถไปด้วยไม่ได้ มีวิธีเดียวคือเขาต้องขี่ม้ากลับไป

อากาศแบบนี้ บุรุษสายบุ๋นเช่นเขามีหรือจะทนไหว

เป็นถึงขุนนางตำแหน่งชูลิ่ง อาลักษณ์กรมยุติธรรม จะให้เขาขี่ม้ากลับเมืองในสภาพสวมเสื้อน้อยชิ้นน่ะหรือ

กู้เจียวไม่ปฏิเสธน้ำใจของเขาเสียทีเดียว จึงรับมาแค่เสื้อกันหนาวตัวเดียว แล้วคืนชุดเครื่องแบบกลับไปให้เขา

กู้เจียวลงจากรถเพื่อหยิบทวนพู่แดง พลางหันไปถามเซียวเหิง “จริงสิ ข้าทิ้งคนไว้ให้ด้วยล่ะ ลองดูเผื่อว่าจะสืบเบาะแสอะไรจากเจ้านั่นมาได้บ้าง”

“เจ้านั่นน่ะเหรอ” เซียวเหิงชี้ไปที่ชายชุดสีเทาที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น แม้เขาแสร้งทำเป็นตาย แต่มิอาจรอดพ้นจากสายตาของเซียวเหิงไปได้อยู่ดี “เอาละ พวกเจ้ากลับไปก่อน เดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง”

“อื้ม” กู้เจียวขึ้นรถม้า

หลังจากที่สารถีได้รับคำสั่งจากเซียวเหิงก็กระโดดตรงจุดคุมบังเหียน กลับรถแล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง

ในรถม้า ม่อเชียนเสวี่ยเอนตัวลงบนกำแพงรถ อุณหภูมิร่างกายและสติของนางค่อยๆ ฟื้นคืน นางเหลือบมองกู้เจียวซึ่งนั่งหลับตานิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะกระซิบถาม “เจ้าหลับแล้วหรือยัง”

“ยังน่ะ” กู้เจียวลืมตาขึ้น แล้วเอ่ยถามกลับอย่างใจเย็น “เป็นอย่างไรบ้าง”

ม่อเชียนเสวี่ยเบือกหน้าลงพร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงอ่อนแรง “เหมือนฝันร้ายเลย”

กู้เจียวยื่นมือให้นาง

ม่อเชียนเสวี่ยเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร จึงค่อยๆ ยื่นมือตอบ

กู้เจียววัดชีพจรให้นาง ดูจากชีพจรแล้วจึงได้รู้ว่านางมีอาการช้ำในเล็กน้อย และอ่อนเพลีย

“มีแผลไหม” กู้เจียวเอ่ยถาม

“ไม่มี” ม่อเชียนเสวี่ยตอบ

ชายชุดเทาคนนั้นไม่ได้กระทำนางไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยถาม

“เสี่ยวจิ่วนำทางมาน่ะ” ไม่อย่างนั้นคงหาทางไม่เจอ

ม่อเชียนเสวี่ยผงะ “เอ่อ ข้าหมายถึง…ก็เจ้าถูกวางยาไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ หรือว่าเจ้าทนฤทธิ์ยาเก่งกว่าฮวาซีเหยาอย่างนั้นหรือ”

ฮวาซีเหยาคือคนที่ดื่มเก่งที่สุดในหอเซียนเล่อ จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เจอใครที่เก่งกว่า

ยาเมาเจ็ดวันคือยาสูตรลับของนาง แม้แต่ตัวนางเองหากได้กินแล้วต้องมีสลบกันบ้างล่ะ

จากนั้นม่อเชียนเสวี่ยก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ได้กินมัน”

“อื้อ…” กู้เจียวยอมรับแต่โดยดี

คืนนั้นหลังจากที่เซียวเหิงได้เล่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับหอเซียนเล่อให้กู้เจียวได้ฟัง

พอม่อเชียนเสวี่ยยื่นแก้วน้ำมาให้ กู้เจียวทำท่าราวกับดื่มมันจนหมด แต่ที่จริงแล้วนางไม่ได้กลืนลงไป

กู้เจียวอยากรู้แผนการของม่อเชียนเสวี่ย

หลังจากที่ม่อเชียนเสวี่ยลากกู้เจียวมาไว้ที่เตียง ก็ลากร่างของใครอีกคนออกมาจากใต้เตียง ซึ่งก็คือร่างของฮวาซีเหยา

ม่อเชียนเสวี่ยถอดเสื้อของกู้เจียวให้ฮวาซีเหยาใส่พร้อมกับใส่ผ้าคลุมหน้าให้

พอถึงตรงนี้ กู้เจียวก็เริ่มเดาออกแล้วว่าม่อเชียนเสวี่ยจะทำอะไร

เหตุผลที่กู้เจียวไม่ห้ามนางไว้ในทันทีก็เพราะยานั้นแรงเกินไป แม้จะไม่ได้กลืนมันลงไป แต่หลังจากที่เอมมันไว้ในปากเป็นเวลานาน มันก็ยังออกฤทธิ์ได้เล็กน้อย

จนกู้เจียวเผลอหลับไปครึ่งชั่วยาม

โชคดีที่ม่อเชียนเสวี่ยออกตัวไปไม่นาน กู้เจียวจึงตามมาช่วยไว้ทัน ไม่เช่นนั้นป่านนี้ม่อเชียนเสวี่ยจะเจอกับอะไรบ้างก็ไม่รู้ ต่อให้ฆ่าชายคนนั้นทิ้งก็อาจจะเปล่าประโยชน์

ม่อเชียนเสวี่ยไม่ได้ถามกู้เจียวว่าเริ่มสงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะรู้สึกละอายเกินกว่าจะถาม และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถาม

ม่อเชียนเสวี่ยเข้าหากู้เจียวด้วยความมุ่งร้าย แต่เมื่อความลับถูกเปิดเผย กู้เจียวยังคงตามมาช่วยถึงที่…

“คราวหน้าถ้าเกิดเรื่องแบบนี้อีก อย่าลืมพาข้ามาด้วยกันล่ะ” กู้เจียวเอ่ย “อย่าทำอะไรโง่ๆ แบบนี้คนเดียว”

ม่อเชียนเสวี่ยมองเหม่อ

สักพักก็เบือนหน้าลง แล้วเอ่ยเสียงเบา “อืม”

กู้เจียวพาม่อเชียนเสวี่ยกลับโรงหมอ ขณะเดียวกันที่อีกฝั่ง เซียวเหิงและคนของกรมยุติธรรมกำลังนำตัว ‘ผู้รอดชีวิต’และฮวาซีเหยาที่หมดสติกลับมายังที่ทำการ

เซียวเหิงจับฮวาซีเหยาขังไว้ในห้องแยก

ส่วนชายชุดเทาถูกนำตัวไปยังห้องลงทัณฑ์

ชายชุดเทามียาพิษซ่อนอยู่ในปากซึ่งเคราะห์ดีที่เซียวเหิงเจอเข้าก่อนและให้คนนำมันออกมา หลังจากนั้น ชายชุดเทาพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกัดลิ้นหลายครั้ง เซียวเหิงจึงให้เขากินยากระดูกระทวย

แม้เซียวเหิงจะอยู่ในตำแหน่งชูลิ่ง แต่การสอบปากคำนักโทษไม่อยู่ในอำนาจของเขา แต่เมื่อเขาขออนุญาตเป็นการส่วนตัวเพื่อให้เขาสอบปากคำ เจ้ากรมสิงก็ตอบตกลงอย่างง่ายดาย

ชายชุดเทาทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงบนเก้าอี้เหล็กใจกลางห้องทำโทษ โดยมีแท่นประหารสำหรับนักโทษและเครื่องมือทรมานต่างๆ ถูกแขวนไว้บนผนังทั้งสองด้าน

ห้องทำโทษมีเพียงแสงสลัว และมีเตาที่มีระดับความสูงประมาณครึ่งหนึ่งของลำตัวคนกำลังเผาไหม้อยู่ทางขวามือของประตู และเหล็กที่กำลังถูกเผาไหม้จนเป็นสีแดงวางอยู่ในเตา

เซียวเหิงนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ห่างจากเตาเผาเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น แสงไฟสะท้อนบนใบหน้าด้านข้างของเขา ให้ความรู้สึกน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

“พวกเจ้าออกไปก่อน” เซียวเหิงเอ่ยกับเสมียนสองคน

“ขอรับ นายท่านเซียว”

พวกเสมียนได้รับคำสั่งมาจากเจ้ากรมว่าให้ฟังคำสั่งของเซียวเหิง

ทันทีที่พวกเขาเดินออกไป สีหน้าของเซียวเหิงเปลี่ยนไปในทันที เขามองไปที่ชายชุดเทาด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูดว่า “ใครเป็นคนสั่งการพวกเจ้า”

ด้วยความที่ชายชุดเทาพบเจออะไรมามากมาย ท่าทีของเขาจึงค่อนข้างสงบ เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ หัวของเขาเอียงและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ หลังจากได้ยินคำพูดของเซียวเหิง เขาก็ยิ้มอย่างเย็นชา “ปกติพวกท่านไม่ได้เริ่มต้นด้วยการไถ่ถามประวัติของนักโทษหรอกหรือ”

เซียวเหิงมองเขาอย่างเฉยเมย “นามของเจ้าคือไป่คุน ภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองฟู่เฉิง อายุยี่สิบห้าปีในปีนี้ บุพการีเสียชีวิตเมื่อสามปีก่อน ไร้พี่น้อง ไร้ครอบครัว เมื่อหลายปีก่อนเคยเรียนที่โรงเรียนเอกชนของขุนนางหลิ่วในเมืองฟู่เฉิง แต่หลังจากเรียนได้สองปีก็ถูกไล่ออกด้วยพฤติกรรมที่ไม่ดี หลังจากนั้น พ่อแม่ก็ส่งเจ้าไปเป็นเด็กฝึกงานในร้านเหล็ก หลังจากนั้นสองปีก็ถูกเจ้าของร้านตีเหล็กไล่ออกข้อหาลักขโมย ย้ายที่อยู่ไปมาหลายแห่ง ในที่สุดก็เจอกับครูในโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ จึงฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ได้ดีในเวลาเพียงไม่กี่ปี ตอนอายุยี่สิบสอง บุพการีของเจ้าเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หลังจากงานศพก็ย้ายออกจากเมืองฟู่เฉิง และไม่มีข่าวคราวอะไรอีกเลย”

ชายชุดเทามองไปที่เซียวเหิงด้วยความตกใจ

เซียวเหิงเดินขึ้นไปหาเขาทีละก้าวพร้อมกับดวงตาที่น่ากลัวราวกับหมาป่าที่ออกล่าเหยือในยามราตรี “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าพูดถูกไหม”

“ไม่…ไม่ใช่…ข้าไม่ใช่ไป่คุน!” ชายชุดเทาส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง แต่เป็นเพราะยากระดูกระทวยทำให้เขาไม่สามารถขยับร่างกายได้มากนัก

เซียวเหิงเอนตัวลงเล็กน้อย มองเขาอย่างใกล้ชิด แล้วเอ่ยอย่างเฉยเมย “มันสำคัญด้วยรึว่าจ้าจะใช่ไป่คุนหรือไม่”

เป็นอีกครั้งที่ชายชุดเทาออกอาการตะลึง!

เซียวเหิงหยิบจดหมายสารภาพผิดออกมาจากแขนเสื้อ และหยิบกล่องผ้าที่บรรจุตราประทับออกมา

“เจ้า จะทำอะไรน่ะ” ความรู้สึกหวาดกลัวถาโถมขึ้นในใจของชายชุดเทา

เซียวเหิงปัดฝุ่นจดหมายนั้น หยิบกล่องผ้าขึ้นมาด้วยปลายนิ้วที่เรียวราวกับหยก แล้วคว้ามือของชายชุดเทา

ชายชุดเทาพยายามบ่ายเบี่ยง แต่ไม่เป็นผล

เขาจ้องเขม็งไปที่เซียวเหิงพร้อมกับโวยวาย “เจ้าเป็นถึงขุนนาง! ทำแบบนี้ได้ถูกตัดหัวแน่!”

“อ๋อ อย่างนั้นรึ” เซียวเหิงตอบ

“เจ้าบ้าไปแล้ว! ข้าขอพบหัวหน้าเจ้า! เจ้าจะมาขู่เข็ญข้าแบบนี้ไม่ได้!”

“ข้าไม่ได้ขู่เข็ญสักหน่อย” เซียวเหิงเอ่ย

“ข้าไม่ยอม! ไม่ยอม! ไม่ใช่ข้า…ไม่ใช่ข้า…เจ้า! เจ้า…” ชายชุดเทาตกใจจนพูดต่อไม่ไหว

เซียวเหิงเพิกเฉยเสียงของเขา เขาไม่ใช่คนประเภทที่แข็งนอกอ่อนใน แต่เขาแข็งทั้งนอกและทั้งใน

ในเมื่อกู้เจียวไม่อยู่ที่นี่ เขาจะไม่แสดงละครอีก

เซียวเหิงจับมือของเขาอย่างไร้อารมณ์ กดแป้นหมึก จากนั้นกดรอยมือสีแดงสดประทับลงไปบนจดหมายสารภาพผิด

ห้องสำเร็จโทษเป็นสถานที่ที่นักโทษคนสำคัญถูกทรมานอย่างสาหัส นักโทษทั่วไปจะไม่ถูกส่งมาที่นี่ และผู้ที่ถูกส่งมาที่นี่จะต้องถูกลอกผิวหนังออกเป็นชั้นๆ

ห้องนี้จึงมีการเก็บเสียงอย่างดี เพื่อไม่ให้มีเสียงร้องของนักโทษเล็ดรอดออกไป

เหล่าเสมียนที่ยืนอยู่โถงทางเดินต่างก็ไม่มีใครได้ยินเสียงจากข้างใน

ครึ่งชั่วยามต่อมา เซียวเหิงเดินออกจากห้องสำเร็จโทษด้วยสภาพอิดโรย

หน้าผากและคอของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อพร้อมทั้งมีอาการหายใจหอบแรง

แม้เขาพยายามวางตัวให้นิ่งขรึม แต่แววตาของเขากลับบ่งบอกทุกอย่าง

เหล่าเสมียนพอเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งไปรายงานเจ้ากรม

“ลิ่วหลัง เจ้าเป็นอะไรไป” เจ้ากรมเดินจ้ำอ้าวมาทางเขา

เซียวเหิงสบตาผู้ใหญ่ตรงหน้าด้วยสายตาสับสน “ข้าไม่เป็นไรขอรับ เพียงแต่ นักโทษคนนั้น…ฆ่าตัวตายแล้วขอรับ”

เจ้ากรมออกอาการตกใจพร้อมกับสงสัยว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้

“แล้วนักโทษสารภาพแล้วหรือยัง”

เซียวเหิงยื่นเอกสารในมือราวกับได้ปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้ง “โชคดีที่ไป่คุนยอมสารภาพออกมา นี่คือคำสารภาพของเขาขอรับ”

เจ้ากรมคว้าจดหมายและอ่านอย่างระมัดระวัง

ยิ่งอ่าน สีหน้าของเขาก็ยิ่งตึงเครียด

กะแล้วว่านักโทษคนนี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับหอเซียนเล่อ ใจความสุดท้ายของจดหมายมีการเอ่ยถึงหัวหน้าของหอเซียนเล่อไว้

มีเพียงตัวอักษรที่เขียนด้วยน้ำหมึกสีดำ นายแห่งหอเซียนเล่อ องค์หญิงแห่งแคว้นเจา เอ่ยเรียกจักรพรรดิองค์ปัจจุบันพระเชษฐา

เจ้ากรมรู้สึกราวกับมีฟ้าผ่าลงมากลางหัว