War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2034
ตอนที่ 2,034 : แรกมาเยือน…หอคุมกฏ

กาลเวลาบนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลงผ่านพ้นไป 10วัน โลกภายนอกก็พึ่งผ่านไปวันเดียวเท่านั้น

ตลอดช่วง 10 วันที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนพยายามสงบใจเพื่อบ่มเพาะพลัง ถึงแม้ว่าด่านพลังของเขาตอนนี้จะยังไม่ทะลวงผ่าน แต่ก็มีความก้าวหน้าไม่น้อย

“หากข้ามีเวลาอีกครึ่งเดือน…ข้าต้องทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นกลางได้แน่!”

บนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ต้วนหลิงเทียนทที่นั่งขัดสมาธิกลางหาวได้ลืมตาขึ้นมา

แน่นอนว่าคำครึ่งเดือนที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออก หมายถึงเวลาในโลกภายนอก…

และนั่นเทียบได้กับ 5 เดือนภายในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!

ทุกวันนี้ด้วยรากวิญญาณสีน้ำเงิน กอปรทั้งความช่วยเหลือของชั้น 4 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของต้วนหลิงเทียนไม่ได้ด้อยไปกว่าอัจฉริยะปีศาจที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีครามแม้แต่น้อย

“ได้เวลาไปหอคุมกฏแล้ว…”

เมื่อคิดถึงจุดนี้ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที คนเหินร่างออกจากเกาะส่วนตัวมุ่งหน้าไปยังเกาะศักดิ์สิทธิ์

(เกาะหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ = เกาะศักดิ์สิทธิ์)

หอคุมกฏตั้งอยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์

เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนสอบถามมาแล้ว

เมื่อเหินร่างมุ่งไปยังส่วนเหนือของเกาะศักดิ์สิทธิ์ได้สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็เข้าสู่อาณาเขตของหอคุมกฏ และพื้นที่ส่วนนี้ยังคล้ายเป็นพื้นที่หวงห้ามกลายๆไม่อนุญาตให้คนทั่วไปล่วงล้ำเข้าไปโดยง่าย

“เจ้าเป็นคนที่ตอบรับใบจ้างงาน และคิดมาทำงานที่หอคุมกฏของพวกเราหรือ?”

ต้วนหลิงเทียนพึ่งเข้ามาถึงเขตหอคุมกฏได้ไม่ทันไร พลันมีเสียงอ่อนโยนหนึ่งดังขึ้นจากด้านบน

หลังจากนั้นปรากกฏร่างหนึ่งเหินลงมาจากม่านเมฆ พริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้าเขา

ต้วนหลิงเทียนมองสำรวจผู้มาใหม่เบื้องหน้า

อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาแลดูใจดีมาในชุดคลุมบ่งบอกฐานะอาวุโสเพลิงทองแดงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งต่างจากชุดของผู้อาวุโสเพลิงทองแดงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปอยู่บ้าง เพราะมีคำ ‘หอคุมกฏ’ ปักอยู่ที่หน้าอก!

เผยให้เห็นชัดว่าอีกฝ่ายเป็นอาวุโสของหอคุมกฏคนหนึ่ง

“ใช่”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบคำถามของอาวุโสคุมกฏ

“เจ้ามีใบรับรองแล้วหรือไม่?”

อาวุโสคุมกฏที่ปรากฏตัวขวางต้วนหลิงเทียนไว้กล่าวถามออกมาตรงๆ ศิษย์ที่แท้จริงที่คิดจะเข้าทำงานที่หอคุมกฏสมควรมีใบรับรองจากวังชินหั่วติดตัวมาด้วย หากไม่มีมันก็จะให้อีกฝ่ายกลับไปทำเรื่องให้เรียบร้อย

“ย่อมมี”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ากล่าวตอบ ค่อยเรียกเอกสารม้วนหนึ่งที่เขาได้มาจากวังชินหั่วเมื่อวานออกมา ก่อนที่จะส่งมอบมันให้อาวุโสคุมกฏเบื้องหน้า

อาวุโสของหอคุมกฏก็รับม้วนเอกสารมีคลี่กาง ก้มลงมองตรวจทันที

ทว่าทันใดนั้นเอง

ราวกับมันได้เห็นเรื่องอันน่าประหลาดใจก็ไม่ปานสองตาของมันพลันหดหยี สีหน้าใจดีแปรเปลี่ยนไปทันที!

ฟืด!

ทันใดนั้นอาวุโสคนดังกล่าวก็สูดลมหายใจเข้าดังเฮือก ค่อยเงยหน้าขึ้นมามองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้สายตาของมันเผยความยำเกรงไม่น้อย

“เจ้า…เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรือ?”

ถึงแม้มันจะเป็นอาวุโสเพลิงทองแดงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งเป็นอาวุโสของหอคุมกฏ แต่พลังฝีมือของมันยังไม่อาจเทียบได้กับต่งหลิน ยิ่งไม่อาจเทียบได้กับเวินเยี่ยนอันดับ 9 ของทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง!

การที่ต้องมาเผชิญหน้ากับคนที่สามารถทุบตีเวินเยี่ยนได้อย่างที่นางไร้ซึ่งหนทางตอบโต้ กระทั่งบีบคั้นให้นายน้อยรุ่น 2 อย่างต่งหลินก้มหัวขอขมาซึ่งๆหน้าแบบนี้…นอกเหนือจากความประหลาดใจแล้วมันยังหวาดกลัวไม่น้อย!

บางทีอีกฝ่ายอาจจะยังอายุน้อยกว่ามันมาก

แต่พลังฝีมือของอีกฝ่ายได้ก้าวล้ำเหนือมันไปไกลโข มันย่อมไม่กล้าใช้ความอาวุโสวางท่าตีตนสูงกว่า​ เพราะนี่คือโลกที่นับถือผู้เข้มแข็ง หาได้นับถือผู้ชราไม่!

“ใช่”

ต้วนหลิงเทียนยังคงพยักหน้าตอบคำอาวุโสคุมกฏ

“การเปลี่ยนผลัดระหว่างศิษย์ที่แท้จริงที่ทำงานครบเดือนกับศิษย์ที่แท้จริงรอบใหม่จะเกิดขึ้นที่ห้องโถงหลักของหอคุมกฏเรา…มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่นเอง”

ขณะยื่นม้วนเอกสารคืนให้ต้วนหลิงเทียน อาวุโสคุมกฏคนดังกล่าวก็ได้เสนอตัวพาต้วนหลิงเทียนไปด้วยตัวเอง

“ใช่เป็นการรบกวนอาวุโสหรือไม่? ท่านเพียงแค่บอกทางข้าก็ได้”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามอย่างสุภาพ

เขาเป็นคนให้เกียรติคนที่ให้เกียรติเขา ในเมื่ออาวุโสคุมกฏผู้นี้ปฏิบัติกับเขาด้วยดี เขาย่อมปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีสุภาพ

ถึงแม้เขาจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ในกระบี่เดียวหากใช้กระบี่นิลสวรรค์ แต่เขาก็ไม่คิดจะดูหมิ่นอีกฝ่าย

“ไม่รบกวน ไม่รบกวนอันใด…ข้ายังรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งที่ได้นำทางให้อัจฉริยะท้าทายสวรรค์เช่นเจ้า”

อาวุโสคุมกฏกส่ายหัวไปมาค่อยกล่าว

เมื่อเห็นว่าอาวุโสคุมกฏยืนกรานจะไปส่ง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดขัดศรัทธาอีกฝ่าย และปล่อยให้อีกฝ่ายนำทางเขาไปแต่โดยดี

“ไม่ทราบอาวุโสท่านเรียกว่าอะไร?”

ระหว่างเดินทาง ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถามอีกฝ่ายออกมา

“ข้าเรียกว่า เผิงปิง”

อาวุโสคุมกฏกล่าวตอบต้วนหลิงเทียนออกมาทันที ก่อนที่จะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงประหม่า “เอ่อ…เจ้ามิต้องเรียกข้าว่าท่านหรืออาวุโสหรอก…เพียงเรียกชื่อข้าอย่างเดียวก็พอ”

“ท่านเป็นผู้อาวุโสของลัทธิบูชาไฟ ตัวข้าเองก็เป็นศิษย์ลัทธิบูชาไฟคนหนึ่ง…ข้าเรียกท่านว่าอาวุโสยังมีใดไม่เหมาะสม ขอท่านอย่าได้ถือสาเรื่องนี้เลย”

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาคล้ายแลเห็นถึงความกังวลของเผิงปิง

นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่เขาเห็นชนชั้นอาวุโสในลัทธิบูชาไฟแลดูสุภาพใจดีอย่างเผิงปิง กระทั่งแค่เขาเรียกอีกฝ่ายว่าอาวุโส ก็ทำให้อีกฝ่ายคล้ายจะหวาดกลัวอย่างหนัก

ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบ

ตอนนี้ในบรรดาผู้อาวุโสระดับเพลิงทองแดงของลัทธิบูชาไฟแทบทุกคน ล้วนเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งสิ่งต้องห้าม ที่มิอาจตอแยล่วงเกินได้โดยเด็ดขาด!

เหล่าผู้อาวุโสเพลิงทองแดงนั้นไม่ได้แค่กลัวพลังฝีมือของเขาเท่านั้น ยังหวาดกลัวความบ้าดีเดือดของเขาด้วย!

ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะมีใครบ้าถึงขั้นทำให้ศิษย์ของอาวุโสเพลิงทองอับอายขายหน้าท่ามกลางผู้คน และกล้าบีบคั้นบุตรชายของรองจ้าวหอคุมกฏให้จนตรอกก ถึงขั้นต้องยอมก้มหัวขอขมา!!

ไม่ได้กล่าวผิดแต่อย่างใดหากบอกว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ศิษย์ที่แท้จริงคนเดียวที่มีพลังฝีมือสูงกว่าเวินเยี่ยนกับต่งหลิน

แต่คนที่กล้าหาเรื่องเวินเยี่ยนกับต่งหลินนั้น…เกรงว่าในบรรดาศิษย์ของลัทธิบูชาไฟทั้งหมดคงมีแค่ต้วนหลิงเทียนคนเดียว!

ดังนั้นในสายตาของอาวุโสเพลิงทองแดงทั้งหลายของลัทธิบูชาไฟ แม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะเป็นแค่ศิษย์ที่แท้จริง แต่อีกฝ่ายเสมือน ‘สัตว์ประหลาด’ ในบรรดาศิษย์ที่แท้จริงทั้งหมด เป็นตัวตนที่ไม่อาจล่วงเกินตอแยด้วยได้!

ด้วยเหตุนี้ทำให้เผิงปิงทั้งเคารพทั้งหวาดกลัวไม่น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน

“อาวุโสเผิงปิง รบกวนท่านช่วยแนะนำหอคุมกฏให้ข้าฟังคร่าวๆได้หรือไม่?”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม

“ย่อมได้”

เผิงปิงเร่งพยักหน้าตอบคำทันที หลังจากนั้นก็เริ่มอธิบายเรื่องหอคุมกฏให้ต้วนหลิงเทียนฟัง “หอคุมกฏของพวกเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนหลักๆ อันได้แก่ส่วนหอหลัก ส่วนหอลงทัณฑ์ และส่วนหอคุมขัง”

“ในบรรดา 3 ส่วน ส่วนของหอหลักนั้น…ฯลฯ”

หลังได้ฟังคำอธิบายของเผิงปิง ต้วนหลิงเทียนก็มีความเข้าใจในหอคุมกฏคราวๆ

หอคุมกฏแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ

ส่วนหอหลัก ส่วนหอลงทัณฑ์ และส่วนหอคุมขัง

และเขาก็ได้รับทราบว่าพวกเค่อเอ๋อแม่ลูกสมควรถูกกักขังอยู่ที่หอคุมขัง ซึ่งเป็นดั่งเรือนจำของหอคุมกฏ

“อาวุโสเผิงปิงที่หอคุมขัง.. สมควรมีอาวุโสระดับเพลิงเงินคุมเข้มเลยใช่หรือไม่?”

ต้วนหลิงเทียนเจตนากล่าวถามออกมาอย่างเลื่อนลอยคล้ายไม่จงใจ

เพราะตอนนี้เขาอยากรู้สถานการณ์ของหอคุมขังนัก หากมีแค่อาวุโสเพลิงทองแดงที่ควบคุมดูแล เขาอาจมีโอกาสช่วยเหลือพวกกเค่อเอ๋อแม่ลูกออกมา

แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงเรื่องแบบนี้คงแทบเป็นไปไม่ได้

หอคุมกฏสมควรมีอาวุโสเพลิงเงินมากมาย แล้วไหนเลยหอคุมขังที่สมควรมีความสำคัญไม่น้อย จะให้อาวุโสเพลิงทองแดงไปรับหน้าที่สำคัญอย่างการควบคุมดูแลได้

“ใช่”

ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน เผิงปิงพยักหน้ากล่าวตอบทันที “ในหอคุมขังนั้นปกติแล้วจะมีอาวุโสเพลิงเงินคอยควบคุมดูแลความเรียบร้อยทั้งสิ้น 3 คน…หากใครคิดเข้าไปในเรือนจำ ยังต้องได้รับอนุญาติจากอาวุโสเพลิงเงินทั้ง 3 ท่านเสียก่อน”

“นอกจากนี้หากเกิดเรื่องใดๆขึ้นที่หอคุมขัง อาวุโสเพลิงเงินทั้ง 3 ยังมียันต์เต๋าที่สามารถติดต่อใต้เท้าจ้าวหอคุมกกฏและรองจ้าวหอคุมกฏทั้ง 2 คนได้ทันที”

เผิงปิงกล่าว

“แบบนี้…หอคุมขังไม่ใช่ว่ามีการคุ้มกันแน่นหนาประหนึ่งมีอาวุโสเพลิงทองคอยดูแลอยู่ถึง 3 คนหรือไร? คงยากนักที่จะมีใครบุกเข้าไปช่วยเหลือนักโทษในนั้นได้!”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

แต่ที่จริงแล้วในใจของเขากลับตึงเครียดไม่น้อย

เพราะนี่หมายความว่า…

ก่อนที่เขาจะมีพลังฝีมือเหนือล้ำกว่าจ้าวหอคุมกฏที่ผนึกกำลังกับ 2 รองจ้าวหอคุมกฏ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถช่วยเหลือเค่อเอ๋อแม่ลูกได้

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

เผิงปิงพยักหน้าค่อยกล่าวสืบต่อ “ในส่วนขอหอคุมขังของหอคุมกฏเรา เกรงว่าหากผู้ที่คิดช่วยคนไม่มีพลังฝีมือเทียบเท่าใต้เท้าจ้าวหอคุมกฏรวมถึงท่านจ้าวลัทธิซึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในลัทธิบูชาไฟเรา…เกรงว่าคิดช่วยเหลือคนจากหอคุมขัง นับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”

ขณะกล่าวถึงจ้าวลัทธิ และจ้าวหอคุมกฏ สีหน้าท่าทางเผิงปิงฉายความเคารพให้เห็นชัด

เพราะสำหรับอาวุโสในหอคุมกฏแล้ว จ้าวหอคุมกฏของพวกมันถือเป็นตัวตนอันดับ 2 ในใจรองจากจ้าวลัทธิบูชาไฟ

กระทั่งผู้พิทักษ์ทั้ง 3 คนของลัทธิบูชาไฟ ในสายตาของพวกมันก็ไม่อาจเทียบกับจ้าวหอคุมกฏของพวกมันได้

เผิงปิงกล่าวออกไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นเลย

ว่าตอนนี้สีหน้าของต้วนหลิงเทียนได้เปลี่ยนเป็นมืดมนแล้ว

ไม่จนกระทั่งเผิงปิงหันกลับมามองต้วนหลิงเทียนอย่างไม่รู้ตัว สีหน้ามืดมนคล้ายมีเมฆหมอกอึมครึมปกคลุมของต้วนหลิงเทียนจึงหวนกลับมากระจ่างใสแลดูสนอกสนใจอีกครั้ง

“เบื้องหน้านั่นก็เป็นส่วนหอหลักของหอคุมกฏพวกเราแล้ว…”

ครู่ต่อมาเสียงของเผิงปิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง ดึงความสนใจต้วนหลิงเทียนให้หันมองไปยังเบื้องหน้า

ไกลออกไปปรากฏสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตดั่งพระราชวัง มองคล้ายมังกรตัวเขื่องหนึ่งกำลังหลับไหลอยู่ ให้ความรู้สึกกกดดันเสมือนมีแรงกดดันไร้สภาพบีบคั้นจิตใจผู้คนแผ่พุ่งออกมา…

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ทันใดนั้นปรากฏสายลม 2 สายพัดผ่านไปฉับไว ต้วนหลิงเทียนจึงคืนสติกลับมาจากอาการเหม่อมอง เขาเห็นได้ทันทีว่าเป็นร่าง 2 ร่างที่เหินผ่านไปด้วยความเร็วสูง และทั้ง 2 ร่างก็พุ่งเข้าไปในหอคุมกฏ

‘สองคนนั่นเป็นศิษย์ที่แท้จริงงั้นเหรอ?’

ถึงแม้ความเร็วในการเหินบินของทั้งคู่จะสูงไม่น้อย แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังสังเกตเห็นเครื่องแต่งกายของทั้งคู่ได้ชัดเจน มันเป็นเครื่องแต่งกายของศิษย์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์…

“เอาล่ะ ข้าจักกลับไปลาดตระเวนต่อแล้ว เช่นนั้นข้าส่งเจ้าไว้ที่นี่เลยแล้วกัน…หากครั้งหน้ามีโอกาสไว้พบกันใหม่”

เผิงปิงยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะเตรียมย้อนกลับไป

“อาวุโสเผิงปิง ขอบคุณท่านมากที่ช่วยแนะนำเรื่องราวต่างๆให้ข้า วันหน้าหากมีโอกาสข้าต้วนหลิงเทียนค่อยตอบแทนท่าน”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกเผิงปิง อีกฝ่ายพยักหน้าบรับด้วยรอยยิ้มค่อยเหินร่างจากไป

หลังจากเผิงปิงไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะเหินร่างตามศิษย์ที่แท้จริง 2 คนที่นำไปก่อนหน้า ไม่นานก็มาถึงหน้าหอคุมกฏ

‘หวังว่าพวกเค่อเอ๋อแม่ลูกจะถูกขังไว้ที่เดียวกับก่านหรูเยี่ยน…หากเป็นแบบนี้ข้ายังมีโอกาสได้พบเจอพวกนาง’

ขณะที่ก้าวเท้าเข้าสู่หอคุมกฏ ต้วนหลิงเทียนก็ลอบภาวนาในใจอย่างวาดหวัง