ตอนที่ 560 ได้ยินชื่อศัตรูเป็นครั้งแรก (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 560 ได้ยินชื่อศัตรูเป็นครั้งแรก (2)

ก่อนหน้านี้ เมื่อเจ้าขอให้แม่ทัพตงมู่รายงานเรื่องเผ่ามังกร เจ้าจงใจละเลยเรื่องสำนักบำเพ็ญประจิมและเพียงพูดถึงวิญญาณชั่วร้ายที่สร้างปัญหาวุ่นวายเหล่านั้นเท่านั้น

เดิมทีข้าคิดว่าเจ้ากลัวเกินไปและไม่อยากยั่วยุจอมปราชญ์ ข้าไม่คาดคิดว่าเจ้าจะอดกลั้นระงับมันเอาไว้ภายในมานาน และปรารถนาจะบั่นสองมือ[1]ของสำนักบำเพ็ญประจิมก่อน!”

หลี่ฉางโซ่วลุกขึ้นโค้งคำนับและกล่าวอย่างสงบว่า “สิ่งที่เทพน้อยได้กล่าวไว้ในบันทึกเสนอแนะ เทพน้อยหวังอย่างยิ่งว่าศาลสวรรค์จะแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยเร็วที่สุด และจะไม่ต้องทนรับความอัปยศอย่างที่เราได้รับในวันนี้ และเทพน้อยจะไม่แก้แค้นเอาคืนพวกเขาด้วยใจที่คำนึงถึงแต่ส่วนตน!”

“ฉางเกิง ไม่ต้องห่วง ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าบันทึกเสนอแนะนี้เขียนดีเกินไปจนอดจะแกล้งเจ้าไม่ได้”

องค์เง็กเซียนกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “เนื้อหาของบันทึกเสนอแนะนี้มีการกล่าวคร่าวๆ ถึงสิบสองกลยุทธ์ของเจ้าในตอนนั้น นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่ข้าคิดมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเช่นกัน เรามาพูดถึงบันทึกเสนอแนะนี้กันเถิด มา กลับมานั่งลงเถิด!”

“เอ่อ กระหม่อม” หลี่ฉางโซ่วกลับไปยังที่นั่งเดิมอย่างเชื่อฟัง

องค์เง็กเซียนเปิดบันทึกเสนอแนะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มหารือกับหลี่ฉางโซ่วทีละประเด็น…

หลี่ฉางโซ่วแอบหลั่งเหงื่อเย็นออกมาอย่างลับๆ โชคดีที่ยามเมื่อเขาเขียนบันทึกเสนอแนะก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้จงใจเน้นเรื่องการใช้สัมผัสคล้องจองเพื่อให้บันทึกเสนอแนะดูไพเราะด้วยคำบางคำที่ยากจะอธิบาย

ในไม่ช้า หอสมบัติหลิงเซียว ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยค่ายกลเวทก็เงียบสงบลง มีเพียงเสียงคู่สนทนาที่กำลังพูดคุย ปรึกษาหารือกันและหัวเราะรื่นกันเป็นบางครั้งคราว…

บนยอดเขาหยกน้อยในยามเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น หลี่ฉางโซ่วเดินออกจากหอโอสถและเหยียดยืดเส้นสายภายใต้แสงตะวันแห่งอรุณรุ่ง เขาดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย

หลี่ฉางโซ่วใช้ความพยายามอย่างมากในการพูดคุยกับองค์เง็กเซียนเป็นเวลานานจนทำให้แผนห้าร้อยปีแรกแห่งศาลสวรรค์สมบูรณ์แบบ

การเป็นเสนาบดีผู้ทรงอำนาจแห่งศาลสวรรค์นั้นไม่ง่ายเลย…

เขาแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ กวาดไปทั่วห้องเดินหมากเล่นไพ่และมองดูสถานการณ์ภายในนั้นได้อย่างง่ายดาย ภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก…

ในห้องบนชั้นสอง ไหสุราและผลไม้เชื่อมหวานถูกโยนทิ้งเกลื่อนไปรอบๆ หลิงเอ๋อร์เอนร่างพิงข้างเตียงและหลับตาลงงีบหลับพักผ่อน โหย่วฉินเสวียนหย่าเมามายไร้สติและนอนบนเตียงกับจิ่วจิ่ว

จิ่วจิ่วกอดเท้าราวหยกของโหย่วฉินเสวียนหย่าด้วยมือเล็กๆ ของนาง และปากของนางก็ยังคงพูดพล่ามไม่หยุด ทักษะติดตัวของนางถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบ…

ดูสิ!

ดู!

เทพธิดาทั้งสามซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะเมล็ดพันธุ์เซียนจินของสำนักตู้เซียนนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อิสระไร้กังวลและไร้การยับยั้งเหนี่ยวรั้งใดๆ หรือภูเขาน้ำแข็งเย็นชาอ้างว้าง หรือสูงส่งสง่างามต่อหน้าผู้อื่น ทว่าโดยส่วนตัวแล้ว พวกนางดื่มและเล่นทุกวัน พวกนางไม่ได้คิดถึงเรื่องการฝึกบำเพ็ญ พวกนางเมาค้างสนุกสนานสำราญใจอยู่เสมอ และเสื้อผ้าของพวกนางก็มักดูยุ่งเหยิงไม่เรียบร้อย!

เขามองไปที่ห้องที่เงียบสงบบนชั้นหนึ่ง มีผู้ฝึกบำเพ็ญหญิงที่เพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นใหม่ ซึ่งฝีกบำเพ็ญและมานะพากเพียรอย่างหนักเพื่อความก้าวหน้าทุกวัน—อาจารย์อาจิ๋วอวี่ซือ!

นางเป็นคนที่มีทัศนคติถูกต้องอย่างยิ่ง นางไม่ค่อยออกไปที่ใดและมีใจมุ่งเน้นจดจ่ออยู่กับการฝึกบำเพ็ญและแสวงหาเต๋าใหญ่อย่างสุดใจ!

เอ่อ อาจารย์อาจิ๋วอวี่ซือ ไฉนท่านถึงพบจุดตีบตันเร็วจริงๆ…

มุมปากของหลี่ฉางโซ่วกระตุกเล็กน้อย

ช่างเถิด ข้าจะทำเป็นว่าไม่เห็นอะไรเลย

หลังจากอาบแสงแดดไปได้สักพัก หลี่ฉางโซ่วก็นอนบนเก้าอี้โยกและหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายใจ

บัดนี้หลี่ฉางโซ่วได้ข้อสรุปเกี่ยวกับความพ่ายแพ้ของทะเลบูรพาในครั้งนี้แล้ว

ผลสรุปคือ – ไม่มั่นคงพอ

ในอนาคต สิ่งแรกที่เขาต้องทำในการวางแผนทุกครั้งก็คือ การรู้เขา รู้เรา

หากข้าไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของสำนักบำเพ็ญประจิมเลย แล้วข้าจะคว้าชัยในทุกๆ สมรภูมิรบได้อย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้น ศาลสวรรค์ยังมีไพ่ไม้ตายน้อยเกินไปจริงๆ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขยายคลังไพ่ไม้ตายของศาลสวรรค์…

ความมั่นคงก่อนหน้านี้ของเขาถูกจำกัดไว้เพียงที่ตัวเขาเองเท่านั้น

ความมั่นคงในยามนี้ จะต้องขยายไปยังกองกำลังที่เขาอยู่และสามารถมีอิทธิพลได้ จากนั้นเขาก็จะสามารถตามทันต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกบรรพกาลและอยู่ในตำแหน่งไร้เทียมทานอยู่เสมอ

แดนยมโลกเป็นจุดสนใจสำคัญแห่งกลยุทธ์ต่อไปของศาลสวรรค์

หลี่ฉางโซ่วมีลางสังหรณ์ว่า สำนักบำเพ็ญประจิมจะโจมตีแดนยมโลกหลังจากนี้

ลางสังหรณ์นี้ไร้มูลและที่มา

ประการแรก เป็นเพราะสำนักบำเพ็ญประจิมได้เข้ามาแทรกแซงในแดนยมโลกแล้ว และแม้แต่ถึงกับออกคำสั่ง เรียกทะเลเลือดอสุราออกมา

ประการที่สอง ในชีวิตชาติก่อน หลี่ฉางโซ่วเคยได้ยินแนวคิดของ “แดนพุทธ” และหากเขาต้องการสร้างแดนพุทธในตรีสหัสโลกธาตุ มันย่อมจะเป็นหนทางที่สะดวกที่สุดในการมีอิทธิพลต่อสังสารวัฏหกวิถี ซึ่งจะเกี่ยวพันกับการรวบรวมเหล่าสานุศิษย์ผู้ศรัทธาให้ได้ไปเกิดในที่แห่งเดียว

มันเป็นไปได้ นอกจากนี้ มันยังเป็นแผนระยะยาวของสำนักบำเพ็ญประจิมเพื่อให้ได้รับบุญเครื่องสักการะมากมาย

ประการที่สาม จริงๆ แล้ว มีทรัพยากรมากมายในระหว่างสวรรค์และปฐพีทุกวันนี้เท่านั้นที่สามารถใช้วางแผนต่อต้านได้ ซึ่งเผ่ามังกรและแดนยมโลกจะรุ่งเรืองมากหากได้รับพวกมันมา!

บัดนี้ เผ่ามังกรได้คืนกลับสู่ศาลสวรรค์แล้ว ศาลสวรรค์ยังได้ใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มมังกรนี้เพื่อลดวงจรการย่อยพลังของเผ่ามังกรให้มีระยะเวลาสั้นลงอย่างมาก และในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า ศาลสวรรค์ย่อมจะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทุกวันนี้ แดนยมโลกยังเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวในสามอาณาจักรที่ได้รับบุญและโชคอยู่

เป็นไปได้มากว่า เหล่าปรมาจารย์จากสำนักบำเพ็ญประจิมที่วางแผนโจมตีทะเลบูรพาอาจได้เล็งเป้าหมายไปที่แดนยมโลกแล้ว

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ดูเบาพวกเขามานานแล้ว เขาไม่รู้สึกอีกต่อไปว่า จะสามารถทำให้แดนยมโลกเข้ามารวมอยู่ภายใต้การปกครองของศาลสวรรค์ได้อย่างแน่นอนอีกต่อไป

เขายังต้องวางแผนอย่างรอบคอบและวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ในวันพรุ่งนี้ เขาจะให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ มุ่งหน้าไปยังดินแดนเทวะอุดรเพื่อสืบหาสถานการณ์ของเผ่าเวท…

วิ้ง-วิ้ง~

เหวินจิง?

หลี่ฉางโซ่วตื่นตกใจและเต็มไปด้วยความสงสัย ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ปรากฏขึ้นในห้องโถงด้านในของวิหารเทพทะเลและชี้ไปที่คานหลังคา ทำให้สถานที่นั้นได้รับการปกป้องกำบังจากแผนภาพไท่จี๋

ทันใดนั้นยุงเลือดที่บินมาจากห้องโถงด้านหน้าก็กลายเป็นผู้บำเพ็ญเหวินจิงที่ร่างมีส่วนเว้าโค้งมนและทรงเสน่ห์ นางยังคงสวมเสื้อคลุมผ้าโปร่งบางสีเลือดที่นางโปรดปราน ทว่าเสื้อผ้าด้านในของนางดูมิดชิดมากขึ้น ซึ่งรายละเอียดนั้นทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกพึงพอใจ

ทว่าก่อนที่หลี่ฉางโซ่วจะทันได้เอ่ยอะไร ร่างของผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็สั่นสะท้าน นางใช้แขนเสื้อกว้างปิดปากและจมูก จากนั้นก็พึมพำเบาๆ ว่า “ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่นั้น…ช่างพาให้คนจิตใจกระวนกระวายไม่เป็นสุขเลยเสียจริงๆ!”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบว่า “เจ้าหมายถึงความจริงที่ว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ไปที่ภูเขาวิญญาณใช่หรือไม่?”

“ใช่!”

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยและถามอย่างละเอียดว่า “ท่านเทพวารี เมื่อใดกันที่ท่านจะให้ข้าได้พบกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง?”

เพื่ออันใดกัน?

สะเทือนใจเจ้าจนหยาดน้ำตาซาบซึ้งท่วมท้นริมฝีปาก?

“ปกติแล้ว ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ มักจะบำเพ็ญเพียรในวังดุสิต และข้าก็ไม่สะดวกที่จะพาเจ้าไปที่นั่นเช่นกัน”

“แน่นอนว่าข้าไม่กล้า”

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงรีบกล่าวว่า “ข้ายังไม่พร้อม…”

หลี่ฉางโซ่วระงับความอยากจะพร่ำบ่นและถามว่า “ใครเป็นผู้วางแผนทำร้ายเผ่ามังกรในครั้งนี้? ข้ารู้สึกขึ้นมากะทันหัน ดูเหมือนว่าจะมีคนเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังสำนักบำเพ็ญประจิม ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นั้นยังควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้อย่างแข็งแกร่งทีเดียว”

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกล่าวว่า “เขาเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์ มีนามว่า ตี้จั้ง เขาเพิ่งออกจากการปิดด่านมาเมื่อไม่นานมานี้”

ตี้จั้ง?

ตี้จั้งหวางผูซ่า[2]? สัตว์เทพตี้ทิง[3]?

หลี่ฉางโซ่วถามว่า “เขามี … สัตว์พาหนะดีหรือไม่?”

“ข้าไม่รู้เรื่องนั้น” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกะพริบตา “แต่ข้าได้ยินมาว่าเขาปรากฏตัวมาไม่กี่ครั้งนั้น เขากำลังขี่สัตว์พาหนะ…”

“ข้ารู้แล้ว”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างสงบและหรี่ตาลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ด้วยปณิธานที่ว่า หากนรกยังไม่ว่างจากสัตว์นรก ข้าก็จะยังไม่ขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า? เมื่อดูจากรูปการณ์เช่นนี้แล้ว เขากำลังจะต่อสู้กับสำนักบำเพ็ญประจิมในแดนยมโลกอย่างแน่นอน

ทว่า… เมื่อรวมกับสถานการณ์บนภูเขาวิญญาณในยามนี้ ก็ดูเหมือนว่า ข้าจะอับจนหนทางเล็กน้อย

เป็นไปได้หรือไม่ว่า เมื่อสำนักบำเพ็ญประจิมเปลี่ยนชื่อสำนัก ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นภายใน และการเปลี่ยนแปลงอำนาจ และในระหว่างการเปลี่ยนแปลงอำนาจนั้น ศิษย์ของจอมปราชญ์ผู้นี้ก็ ‘บังเอิญ’ ถูกผลักออกจากศูนย์กลางอำนาจ และถูกบีบบังคับให้ต้องทะเยอทะยานครั้งใหญ่เพื่อปกป้องตัวเอง?

แล้วเชื่อมต่อกับเหล่าจื้อฮวาหู[4]…

น่าสนใจ!

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงถอยหลังไปสองก้าวเงียบๆ

ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ นางก็รู้สึกว่า ตี้จั้ง ซึ่งถือว่าเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิม ดูเหมือนว่า…

เย็นชา?

ในขณะนั้น ก็มีเมฆขาวลอยมาจากทางทิศตะวันตก นั่นเป็นจ้าวกงหมิงที่ขี่เมฆมา

หลี่ฉางโซ่วมองไปที่ผู้บำเพ็ญเหวินจิง และผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็โค้งคารวะให้ทันที แล้วกลายเป็นเสี้ยวลมปราณเลือดที่ระเหยไปอย่างรวดเร็วในอากาศ

และเพียงขณะที่แผนภาพไท่จี๋หยุดลง จ้าวกงหมิงก็ร่อนลงมาอย่างรวดเร็วก่อนจะสาวเท้าราวดาวตก[5]เข้ามาด้วยท่าทางดูกังวล

“ฉางเกิง เร็วเข้า! ขอความคิดหน่อย! คราวนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น!”

………………………………………………………………..

[1] สังหารคน ลดทอนกำลังคน

[2] หรือพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์ ผู้ทรงมีปณิธานสำคัญในการช่วยสรรพชีวิตให้พ้นจากนรกภูมิ จึงถือว่าพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์แห่งสัตว์ผู้ทุกข์ยาก

[3] ตี้ทิง หมายถึงฟังแต่สิ่งที่เป็นความจริง ว่ากันว่า สัตว์เทพตี้ทิงนี้ มีเขาหนึ่งเขา หูเหมือนสุนัข มีกายเป็นมังกร มีเศียรพยัคฆ์ หางราชสีห์ และเท้าเป็นกิเลน

[4] เหตุการณ์เหล่าจื้อฮวาหู-มีบางตำนานเล่าว่า เหล่าจื้อไปจุติในครรภ์ราชินีในอินเดีย ภายหลังกำเนิดได้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา และเริ่มแสดงธรรมโปรดชาวเผ่าหูที่โหดร้ายป่าเถื่อน จนทำให้เผ่าหูเข้าถึงพระธรรม…จึงเรียกว่า “เหล่าจื้อฮวาหู” ถือว่าเป็นอีกปางหนึ่งของพระพุทธเจ้าและเปรียบเหตุการณ์นี้ว่าเปลี่ยนคนร้ายให้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้

[5] ก้าวเท้าแต่ละก้าวเป็นก้าวยาวๆ ในลักษณะเร่งรีบมาก