บทที่ 745 การสืบสวนของฮั่วจีว์3
ฮั่วจีว์มองรายงานเรื่องปีศาจถลกหนัง
ทั้งๆ ที่ข้อมูลไม่ได้มีมากมาย แต่กลับสร้างความหวาดกลัวได้ ปีศาจถลกหนังไม่ใช่ปีศาจจริงๆ แต่เป็นเพราะวิธีการที่เขาใช้กับเหยื่อโหดร้ายทารุณราวกับไม่ใช่มนุษย์ เขาจึงได้สมญาว่าปีศาจ
ครั้งแรกที่ปีศาจถลกหนังก่อเหตุ เกิดขึ้นเมื่อสามเดือนที่แล้วในเจียงหนาน เหยื่อทั้งหมดเป็นหญิงสาวในหอนางโลม เขาก่อคดีทั้งหมดสามคดี
โดยปกติแล้วทุกคดีมักจะพัวพันเกี่ยวกับเรื่องความรัก เงิน หรือความแค้น ทุกคดีจะมีร่องรอยให้ติดตามเสมอแต่ไม่ใช่กับคดีนี้ ทางการของเจียงหนานได้สอบสวนทั้งสามคดีแล้วแต่ไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างเหยื่อด้วยกันเลย
สิ่งเดียวที่พวกนางมีเหมือนกันคือเป็นหญิงคณิกา
หากเป็นเช่นนี้ ปีศาจถลกหนังอาจจะเป็นคนวิกลจริตและมีความชอบที่ผิดปกติ เช่น พึงพอใจกับการได้ถลกหนังหญิงสาวก็เป็นได้
เขาเลือกเหยื่อทุกคนจากหอนางโลม แสดงให้เห็นว่าเขามีเกลียดชังสตรีเหล่านี้ อาจจะมีสาเหตุมาจากโดนผู้หญิงจากหอนางโลมทำร้าย
การที่ปีศาจถลกหนังกระทำการทุกอย่างได้อย่างราบรื่น นั่นหมายความว่าเขาต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก
ฮั่วจีว์อ่านรายงาน ในคดีแรก มีคนให้การว่าปีศาจถลกหนังเป็นผู้ชายรูปร่างเตี้ย แต่ก็ไม่มีข้อมูลอื่นใด
ชายหนุ่มตรวจดูบันทึกอย่างถี่ถ้วน จากนั้นจึงเก็บบันทึกไว้ที่เดิมแล้วเดินออกไป
ฮั่วจีว์เห็นว่าขอทานเฒ่ากำลังดื่มสุราองุ่นอยู่ เขาจึงเดินไปหยิบไหสุราออกมาจากอ้อมแขนของขอทาน
“อ้าว! เสี่ยวฮั่วเจ้าทำอะไรน่ะ” ขอทานเฒ่าเป็นคนรูปร่างตัวเตี้ยเมื่อโดนแย่งสุราไป เขาจึงคว้าไม่ถึงได้แต่จ้องมองฮั่วจีว์อยู่เช่นนั้น
“สุราเจ้าหมดแล้ว” ฮั่วจีว์ว่า เขาเป็นคนซื้อให้กับขอทานเฒ่า เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาคิดจะเอาคืน
“ไหนเจ้าบอกว่าหัวหน้าอยู่ที่ห้องหนังสือไง เหตุใดเขาจึงอยู่ในหอจดหมายเหตุเล่า”
“ข้ากำลังจะบอก แต่เจ้าเดินเร็วเกินไป” ขอทานเฒ่าพูดพร้อมกระโดดไปหาไหสุรา ฮั่วจีว์คิดว่าเขากลั่นแกล้งมากพอแล้วจึงได้คืนไหสุราให้
“เจ้าว่าตอนนี้หัวหน้าอยู่ที่ไหน?”
“เขาไม่ได้อยู่ที่หน่วยแล้ว เขาออกไปข้างนอก” ขอทานเฒ่ากอดสุราในมือไว้แน่นเขาเหลือบมองฮั่วจีว์
“เสี่ยวฮั่ว เหตุใดเจ้าถึงสนใจเขามากเช่นนั้น”
เขาสนใจหัวหน้าเป่ยหรือ? ฮั่วจีว์ตัวสั่นเมื่อนึกถึงสีหน้าเย็นชาของคนผู้นั้น
“สนใจหรือ? อย่าพูดแบบนั้นอีก ข้าแค่ไม่อยากเห็นหน้าเขา”
ฮั่วจีว์ตบบ่าขอทานเฒ่าแล้วหันหลังเดินออกไป เขาตรงไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง ช่วงนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว ร้านอาหารจึงไม่ค่อยมีคนมากนัก เขาขอห้องส่วนตัวในทำเลที่ดีที่สุด จากห้องนี้เขาสามารถเฝ้ามองไปยังจือฮวาโหลวได้
ฮั่วจีว์ลอบมองไปยังอาคารฝั่งตรงกันข้ามจือฮวาโหลวที่คึกคักในยามค่ำคืน แต่ตอนกลางวันกลับเงียบเชียบ มีเพียงหญิงชราที่ยืนกวาดพื้นตรงหน้าประตูเท่านั้น
ในขณะที่เขากำลังใจลอยตกอยู่ในภวังค์ ร่างที่เหมือนนางฟ้าก็ปรากฏขึ้นในหัวใจของฮั่วจีว์ เขาสงสัยว่าตอนนี้แม่นางชิงลั่วกำลังนอนหลับอยู่หรือไม่?
เมื่อคิดว่านางอาจจะกำลังนอนหลับอยู่ภายในห้องใดห้องหนึ่งของฝั่งตรงกันข้าม สายตาของเขาก็อ่อนเชื่อมลง
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีสาวงามราวกับนางฟ้าเช่นนี้
ทันใดนั้นหน้าต่างของห้องถัดไปก็เปิดออก เขาหันไปมองทันทีแล้วะดุ้งราวกับสุนัขที่ถูกเหยียบหาง
“หัวหน้าเป่ย เหตุใดท่านถึงได้มาอยู่ที่นี่” ฮั่วจีว์ตกใจ ความวาบหวามในใจของเขาหายไปทันที มีคนน่ารำคาญมายืนอยู่ข้างๆเขา ฮั่วจีว์อยากให้คนผู้นี้หายตัวไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ชายคนนั้นยังจ้องมองมาที่เขา พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหน็บหนาว
“เจ้ามาได้ แล้วข้ามาไม่ได้หรือ?”
ความคิดบางอย่างแว่บเข้ามาในใจ
“ท่านคงไม่ได้มาตรวจสอบคดี…?” แน่นอนว่าฮั่วจีว์เดาถูก หัวหน้าเป่ยมาที่นี่เพื่อสืบคดีของปีศาจถลกหนัง
“มานี่สิ” เป่ยเหยียนเรียกแต่หน้าตายังคงเคร่งขรึมเช่นเดิม
ฮั่วจีว์มองเขาอย่างระแวดระวังราวกับแมวที่กำลังจดๆ จ้องๆ
“ข้าไม่ทุบตีเจ้าหรอก มาคุยกันเรื่องคดีกันก่อนเถิด” เป่ยเหยียนพูดต่อ
“ถึงจะสู้กันแต่ก็ไม่รู้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ ข้าไม่กลัวท่านหรอก” ฮั่วจีว์ตะคอก แต่ในเมื่อหัวหน้าเป่ยต้องการจะพูดคุยเรื่องคดีนี้ เขาก็อยากรู้ข้อมูลอื่นจากหัวหน้าเป่ยเช่นกัน
เขาตัดสินใจลุกขึ้นเดินเข้าในห้องถัดไป เป่ยเหยียนทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ ฮั่วจีว์เลือกนั่งเก้าอี้ที่ไกลจากเขาที่สุด
“หัวหน้าเป่ย ท่านคิดว่าปีศาจถลกหนังจะพุ่งเป้าไปที่แม่นางชิงลั่วหรือไม่?” ฮั่วจีว์ถาม
“ปีศาจถลกหนังชอบมุ่งเป้าไปที่สาวงาม แม่นางชิงลั่วมีความงดงามราวกับนางฟ้า” แม้ว่าคนที่เขาไม่ชอบหน้าจะนั่งอยู่ตรงข้าม แต่เมื่อพูดถึงสตรีที่เขาโปรดปรานแล้ว ฮั่วจีว์กลายเป็นคนช่างพูดไปได้
หากถอดหน้ากากของเป่ยเหยียนในตอนนี้ออกมา จะเห็นว่าสีหน้าเขาแปลกพิกล แต่เพราะสวมหน้ากากไว้จึงเห็นเพียงความเย็นชาในดวงตาเท่านั้น
ฮั่วจีว์ยังชื่นชมแม่นางชิงลั่วไม่หยุด แต่เป่ยเหยียนขัดจังหวะทันที
“แล้ว?”
“ข้าคิดว่าหากข้าตามปกป้องแม่นางชิงลั่ว ข้าอาจจะค้นพบตัวฆาตกรก็ได้” ฮั่วจีว์ว่า
“ปีศาจถลกหนังเคยก่อคดีที่เจียงหนานก็จริง แต่เขาก็ไม่เคยก่อคดีที่นี่ เหตุใดเจ้าจึงได้คิดว่าเขามาเมืองหลวงแล้วล่ะ?”
ฮั่วจีว์รู้สึกว่าตัวเขากำลังโดนทดสอบ จึงได้รีบตอบไปรวดเร็ว
“เพราะมีการพบผิวหนังของมนุษย์ในเมืองหลวง เมื่อตามเบาะแสไปก็พบว่าเป็นฝีมือปีศาจถลกหนังจริงๆ” เรื่องนี้ถูกเขียนอยู่ในบันทึกรายงาน ฮั่วจีว์จำได้ดี
“ตัวตนของเขาในเจียงหนานลึกลับเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงทำผิดพลาดในเมืองหลวงได้เล่า?” เป่ยเหยียนถาม
ฮั่วจีว์จมดิ่งลงไปในความคิด ใช่แล้วท่าทีของฆาตกรคนนี้แปลกเกินไป เหมือนกับว่าเขากำลังตั้งใจให้เป็นแบบนั้น ถ้าไม่ทิ้งไว้ร่องรอยเอาไว้ หน่วยลาดตะเวนเองก็ไม่สามารถหาเบาะแสได้ เขาจะไม่มีทางสังเกตจนกระทั่งมีเหยื่อเกิดขึ้น ฮั่วจีว์คิดเคราะห์อยู่ในหัว
“หมายความว่ามันไม่กลัวเราแต่มันกำลังยั่วยุเราสินะ มันคงคิดว่าแบบนี้น่าตื่นเต้นกว่าเป็นไหนๆ”
เป่ยเหยียนมองฮั่วจีว์ แววตาของเขาอ่อนลง คุณชายเสเพลคนนี้ก็ยังพอมีสมองอยู่บ้าง
“ปีศาจถลกหนังอาจจะเป็นคนวิกลจริตและยากจะรับมือมากกว่าที่เจ้าคิด” เป่ยเหยียนว่า
“ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เมืองหลวงกำลังเปลี่ยนแปลง ผู้สำเร็จราชการมีหลายอย่างที่ต้องจัดการ หากเกิดคดีใหญ่ที่สร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชนแบบนี้ย่อมส่งผลกระทบแน่ เราจะไม่ปล่อยให้มันก่อคดีได้”
ฮั่วจีว์พยักหน้า ตอนนี้น้องเขยของเขาเหนื่อยมาก เขาต้องลดภาระของน้องเขยเพื่อที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับน้องสาวของเขามากขึ้น
“ในเมื่อมันกล้ายั่วยุเราแบบนี้ มันจะต้องไม่ตายดีแน่!” เสียงของเป่ยเหยียนพูดขึ้นแบบสบายๆ แต่รอบตัวเขามีความหนาวเหน็บเกิดขึ้น
“ใช่ เอาให้ตาย!” ฮั่วจีว์พูดด้วยความดุเดือด แม้ทั้งสองจะไม่ชอบหน้ากันแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาเห็นพ้องต้องเป็นเอกฉันท์
“หัวหน้าเป่ย” ฮั่วจีว์เรียก เป่ยเหยียนเหลือบมองเขา
“ข้าจะจับปีศาจถลกหนังได้ก่อนท่านแน่นอน”
เป่ยเหยียนไม่พูดอะไร เขาแค่ชายตามองอย่างดูถูกราวกับว่าฮั่วจีว์กำลังพูดเรื่องไร้สาระ จิตวิญญาณการต่อสู้ของฮั่วจีว์ลุกโชนขึ้น ยิ่งเป่ยเหยียนดูถูกเขามากเท่าไร เขายิ่งอยากจะพิสูจน์ตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ในตอนนี้เรียกได้ว่าพวกเขาสองคนกลายเป็นคู่แข่งที่ไม่ชอบหน้ากันไปแล้ว