บทที่ 562 ปิดปากให้สนิท (2)
ในดินแดนเทวะประจิม ใต้ร่มเงาของต้นไม้ในภูเขาวิญญาณ
เวลานี้มีสัตว์เทพแปลกประหลาดตัวหนึ่งกำลังก้มเศียรลงและกำลังพูดคุยถึงการสนทนาที่เรียบง่ายระหว่างเทพธิดาหั่วหลิง และหวงหลงเจินเหริน
เมื่อมองข้ามสิ่งอื่นไป สัตว์เทพตัวนี้ มีรูปลักษณ์ไม่ธรรมดา มันมีเศียรพยัคฆ์ ร่างมังกร หางราชสีห์ หูสุนัข และเท้าเป็นกิเลนเขาเดียว และมันสูงกว่าสามจั้ง
ที่เท้าของสัตว์เทพตัว มีนักพรตเต๋าหนุ่ม กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในชุดเสื้อคลุมขาดรุ่งริ่ง ซึ่งกำลังค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ในขณะนี้
“เทพธิดาหั่วหลิงอยู่ในถ้ำหลัวฝู?” นักพรตเต๋ายิ้มกริ่มและกล่าวว่า มันน่าสนใจ จากนั้นเขาก็หยิบยันต์หยกออกมาและเขียนถ้อยคำสองสามคำลงไป
สัตว์เทพที่อยู่ข้างหลังเขาถามอีกครั้งว่า “นายท่าน เหตุใดท่านจึงใช้วิธีลับที่ยุ่งยากเช่นนี้เพื่อวางอุบาย?”
“มันเป็นอุบายร้าย อะไรคือเปิดเผยได้ อะไรคือเปิดเผยไม่ได้ จะให้เปิดเผยมันออกมาได้อย่างไร?”
จากนั้นนักพรตเต๋าหนุ่มก็ผลักยันต์หยกไปเบาๆ แล้วยันต์หยกนั้นก็กลายเป็นลำแสง บินไปยังอีกมุมหนึ่งของภูเขาวิญญาณ
นิ้วเรียวยาวของเขาดูราวกับอิสตรี พวกมันสะอาดและดูละเอียดบอบบางยิ่ง
“มันเป็นอุบายที่ดี หากข้าบรรลุเป้าหมายได้ หากเพียงหนึ่งหรือสองประโยคนั้น ทำให้เราทดสอบและค้นพบได้ว่าช่องว่างระหว่างสองสำนักนั้น ใหญ่มากเพียงใดและยังสามารถกระตุ้นให้วางแผนการได้มากขึ้น แล้วเหตุใดจะไม่ทำเล่า?”
“ขอรับ” สัตว์เทพตอบ แล้วหมอบศีรษะของมันลงอย่างช้าๆ
จากนั้นนักพรตเต๋าหนุ่มก็หลับตาลงอีกครั้งและทำสมาธิเงียบๆ มีดอกบัวสีฟ้าอ่อนวนเวียนอยู่ข้างหลังเขา แล้วเสี้ยวอักขระเต๋าที่สงบสุขก็แผ่กระจายออกไปทั่วทุกหนแห่ง
ดินแดนเทวะอุดร หนึ่งในดินแดนแห่งโลกบรรพกาล มันเชื่อมต่อกับทะเลอุดร และพื้นที่ระหว่างดินแดนเทวะทักษิณและดินแดนเทวะมัชฌิมา มันถูกปกคลุมด้วยไอพิษ ซึ่งคงอยู่เป็นเวลาหลายปี และมืดมิดไปทั่วทุกที่ตลอดเวลา
ในสงครามโบราณ เผ่าเวท และปีศาจได้เสื่อมถอยลง และเพื่อป้องกันการล่มสลายของเผ่าพันธุ์ เผ่าเวทจึงได้สาบานว่าจะอาศัยอยู่ในดินแดนเทวะอุดรตลอดไป หลังจากนั้น เผ่าเวทที่เหลือทั้งหมดก็เข้าสู่ดินแดนเทวะอุดรอันหนาวเหน็บเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นั่นมายาวนานเท่าใดแล้ว
หลังจากที่เผ่ามนุษย์เจริญรุ่งเรือง ดินแดนเทวะอุดรก็ค่อยๆ กลายเป็น “คลังสมบัติธรรมชาติ” ของผู้ฝึกบำเพ็ญมนุษย์ แม้ว่าที่นั่นจะมีแมลงมีพิษมากมาย แต่ก็มีสมุนไพรวิญญาณอยู่มากมาย ทว่าก็มีเผ่าปีศาจออกอาละวาด สร้างความหายนะที่พรมแดนระหว่างดินแดนเทวะอุดรและดินแดนเทวะมัชฌิมา ทั้งยังมีอาณาจักรปีศาจอยู่มากมาย แต่ถึงแม้ว่าที่นี่จะอันตราย ก็ยังมีโอกาสอยู่ด้วยเช่นกัน
เพื่อช่วยให้อาจารย์ของเขาข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้ หลี่ฉางโซ่วเคยเสี่ยงมาถึงดินแดนเทวะอุดรแล้วครั้งหนึ่ง ทว่าในเวลานั้น เขาเคลื่อนไหวอยู่รอบนอกเท่านั้น ระดับพลังของเขายังต่ำเกินไป เขาจึงไม่กล้าเข้าไปข้างในลึกจนเกินไป
ครั้งนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่จำเป็นต้องเตรียมยันต์และโอสถต่างๆ เหล่านั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นเพียงร่างจำแลงตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ เพียงแค่พูดถึงคนข้างๆ เขาที่มาด้วย ศิษย์คนโตแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยผู้ที่สามารถต่อสู้และนอนลงได้ ยกตัวอย่างแค่นี้…
แล้วจะไปมีอะไรต้องกลัวเล่า?
จ้าวกงหมิงบีบนิ้วทำมุทราหยั่งรู้ จากนั้นเขาจึงเริ่มแผ่พลังสะกดข่มออกมาและขี่เมฆพาหลี่ฉางโซ่วไปทางเหนือ
ในระหว่างทางนั้น แมลงและสัตว์มีพิษต่างฝังหัวลง[1] ไม่ว่าโดยปกติแล้ว ราชาสัตว์อสูรผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูเขาปีศาจจะหยิ่งยโสเพียงใด พวกมันก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นร่างที่กำลังบินสูงอยู่บนท้องฟ้า
ขณะนั้นไอพิษที่ค่อยๆ เริ่มหนาขึ้นก็เบาบางลง และหลังจากนั้นไม่นาน หลี่ฉางโซ่วก็เห็นต้นสนเหมันต์ปราณอุดรเป็นหย่อม ๆ และรู้ว่า บัดนี้ เขากำลังเข้าใกล้สถานที่ที่เผ่าเวทอาศัยอยู่แล้ว
เขานึกถึงการเดินทางไปดินแดนเทวะอุดรในครั้งนั้นที่เขาและศิษย์น้องหญิงจอมพิษตัวอันตรายของเขากำลังรออยู่ในถ้ำเพื่อให้เหล่าเซียนในสำนักมาช่วยเหลือ นอกจากนี้นางยังเคยถามเขาถึงเรื่องจุดประสงค์ของการใช้ไม้สนเหมันต์ปราณอุดรที่เขาเผาอีกด้วย
บางทีอาจเป็นพรของมหาเทพผานกู่ที่มีต่อเผ่าเวทอย่างลับๆ หลังจากที่เผ่าเวทเข้าสู่ดินแดนเทวะอุดรแล้ว เผ่าเวทก็ค้นพบว่าไม้สนเหมันต์ปราณอุดรสามารถแยกไอพิษได้ และไม้สนเหมันต์ปราณอุดรก็กลายเป็นปราการกั้นสำหรับเผ่าเวทในการต้านไอพิษได้
หลี่ฉางโซ่วแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปตรวจสอบสภาพแวดล้อมและค้นพบ “ปราการกั้นไม้สนเหมันต์ปราณอุดร” มันกินพื้นที่ห้าถึงหกพันลี้และกว้างหลายร้อยลี้
ด้านหลังพื้นที่ป้องกันนั้น มีแดนรกร้างว่างเปล่า เดิมทีหลี่ฉางโซ่วคิดว่าเขาสามารถเห็นชาวเผ่าเวทที่ทรงพลังไม่กี่เผ่า แต่ทั้งหมดที่เขาเห็นคือ บ้านหินที่ถูกทิ้งร้างและค่ายที่เหลืออยู่
จ้าวกงหมิงถอนหายใจเบา ๆ ด้วยอารมณ์สะเทือนใจและกล่าวว่า “ชีวิตของเผ่าเวทไม่ง่ายเลยจริง ๆ”
“ใช่” หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจ “มันถูกสร้างขึ้นมาจากสายโลหิตของมหาเทพผานกู่ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”
“มีหลายสิ่งที่เกี่ยวพันมากเกินไป” จ้าวกงหมิงส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “อดีตจบลงแล้ว เผ่าเวทและเผ่าปีศาจได้เสื่อมสลายลง ทว่าเมื่อเทียบกับพวกเผ่าเวทแล้ว พวกปีศาจนั้นก็ยังโชคดีจริงๆ”
หลี่ฉางโซ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ก็ไม่เสมอไป”
“โอ้?” จ้าวกงหมิงกล่าวอย่างจริงจังว่า “แม้ในตอนนี้ เผ่าปีศาจจะไม่ทรงพลังเท่าเผ่ามนุษย์ แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกมันจะฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง มีราชาปีศาจมากมายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง และยังมีปรมาจารย์รุ่นอาวุโสของเผ่าปีศาจซ่อนตัวอยู่มากมายหลายคน
นอกจากนี้ยังเป็นการยากที่จะแยกความแตกต่างระหว่างปีศาจและวิญญาณ มีสหายศิษย์ของเราหลายคนและปรมาจารย์ของเผ่าปีศาจที่มีความเกี่ยวข้องกันเช่นกัน แล้วเผ่าปีศาจจะไม่มั่นคงได้อย่างไร?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “โชคของเผ่าปีศาจอยู่ที่ใดกัน”
“นี่…”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวต่อว่า “โชคของเผ่าเวทได้รับการปกปักรักษาจากสังสารวัฏหกวิถี และร่างสังสารวัฏหกวิถีของต้าเต๋อโฮ่วถู่ ซึ่งทิ้งเปลวไฟไว้เบื้องหลังให้เผ่าเวท”
“โชคของเผ่าปีศาจล่มสลายไปนานแล้ว พวกมันเป็นดั่งเถ้าถ่านที่ไฟกำลังจะมอดดับได้หลงเหลือเอาไว้ ตอนนี้พวกเขาอาศัยฐานรากของพวกเขาเพื่อประคองตัวเอง”
“ในท้ายที่สุดแล้ว ราชินีจอมปราชญ์ก็คือ เทพธิดาแห่งเผ่ามนุษย์ นางใส่ใจดูแลเผ่าปีศาจเพียงบางเผ่าเท่านั้น”
“นอกจากนั้น…”
จ้าวกงหมิงกะพริบตา “อย่าปล่อยให้ข้าอยากรู้สิ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มสงบและกล่าวว่า “ในอนาคต ศาลสวรรค์จะเกณฑ์ทหารและฝึกฝนทหารสวรรค์ คนกลุ่มแรกที่จะถูกใช้เพื่อสร้างอำนาจอิทธิพลเหนือผู้คนของศาลสวรรค์ก็คือ เผ่าปีศาจ”
จ้าวกงหมิงลูบเคราพลางยิ้มและกล่าวว่า “สมควรแล้วที่เป็นเสนาบดีใหญ่แห่งศาลสวรรค์ น้องชายของข้ามีอำนาจเหนือผู้คนจริงๆ”
“พี่ชาย ศาลสวรรค์จะเป็นผู้ปกครองของสามอาณาจักรอย่างแน่นอน นี่คือ ชะตากรรมของศาลสวรรค์” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ศาลสวรรค์เพิ่งก่อตั้งขึ้นและได้รับการสนับสนุนจากเผ่ามังกรแล้ว ต่อจากนี้ หากมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงในเกือบทุกๆ ร้อยปีหรือพันปี”
จ้าวกงหมิงพยักหน้าช้าๆ และตั้งใจฟัง แต่… เขาก็ไม่ได้เผยอาการสนใจใดๆ แม้แต่น้อย
หลี่ฉางโซ่วเงียบงัน
ข้าไม่อาจเกลี้ยกล่อมเขาได้ต่อไป
มาพูดคุยเรื่องงานสำคัญกันเถิด
ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วและจ้าวกงหมิงกำลังสนทนากันนั้น พวกเขาก็มาถึงเผ่าเวทที่มีขนาดใหญ่แล้ว
เมื่อมองลงไป เขาก็ตระหนักว่าสถานที่นี้อาจไม่ดีเท่ากับสถานที่ชุมนุมของเผ่าเวทในเมืองเล็กๆ ในโลกมนุษย์ของดินแดนเทวะทักษิณ และในที่สุดมันก็มีชีวิตเล็ก ๆ
อย่างน้อยๆ ก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง มีเด็กมากกว่าสิบคนที่สวมใส่ชุดหนังสัตว์ พวกเขาแต่ละคนล้วนแบกต้นไม้ใหญ่หนาเท่าเอวของพวกเขา พวกเขากำลังหัวเราะ วิ่งเล่นกันอย่างมีความสุขสนุกสนาน และในบางครั้งพวกเขาก็จะซัดหินกลมสองสามก้อนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางห้าฉื่อ ปลิวไปในอากาศ…
จ้าวกงหมิงยิ้มและกล่าวว่า “เราลงไปดูกันดีหรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “พี่จ้าว ไยเราไม่ไปหาที่ดื่มกันเล่า?”
จ้าวกงหมิงไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ขี่เมฆแล้วร่อนลงไปในป่า จากนั้นเขาก็ตั้งเตาย่างอย่างชำนาญ หยิบเนื้อสัตว์วิญญาณแช่แข็งแสนอร่อยชิ้นใหญ่ออกมา และก้มหน้าลงเพื่อวุ่นวายกับการจัดการมัน
ไม่นานหลังจากนั้น กลิ่นเย้ายวนใจของเนื้อสัตว์ก็โชยมาจากป่า เด็ก ๆ หลายสิบคนที่เล่นกับลูกหินกลมก็ได้กลิ่นหอมนั้น และเฝ้ามองมาแต่ไกลจากริมชายป่า
หลังจากคำนวณเล็กน้อย ฉันก็เข้าใจความหมายของคำเหล่านี้จากก้นบึ้งของหัวใจ…
ทันใดนั้นหูของหลี่ฉางโซ่วก็กระตุก เขาได้ยินคำพูดของเผ่าเวทผ่านการใช้เวทวายุวัจน์ และหลังจากการคาดเดาบางอย่างได้ เขาก็เข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านั้น…
“รีบไปหาท่านพ่อท่านแม่เร็วเข้า! มีเผ่าปีศาจอีกเผ่ามาวางยาพิษเราแล้ว!”
ในงานเลี้ยงเซียนจัดขึ้นเป็นประจำในสถานที่แห่งหนึ่งในภูเขาคุนหลุน
ตู้เอ้อร์เจินเหรินซึ่งแต่งตัวประณีตงดงาม รู้สึกกระสับกระส่ายไม่สบายใจ เขานั่งอยู่ร่วมกับสหายสนิทของเขากว่าสิบคนและคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาทำผิดพลาดหลังจากดื่มเหล้าไปครั้งล่าสุดที่ทำให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว
ข้าไม่อาจดื่มสุราของมึนเมาได้ตามอำเภอใจอีกในอนาคต …
“สหายเต๋า สหายเต๋า?”
จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนหนึ่งดังมาจากด้านข้าง ตู้เอ้อร์เจินเหรินรีบยิ้มและหันกลับมา แล้วเขาก็เห็นสหายสนิทของเขาที่เขารู้จักมานานนับพันปีเดินเข้ามาใกล้พร้อมจอกสุรา
คนผู้นั้นลดเสียงลงและยิ้ม “มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ข้าเพิ่งได้ยินจากคนของวังอวี้ซวีว่า หวงหลงเจินเหรินกำลังบ่นกับใครบางคน”
“โอ้?” ตู้เอ้อร์เจินเหรินอดจะสนใจไม่ได้พลางถามว่า “เรื่องอันใดกัน?”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศิษย์คนโตแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย และศิษย์หลานของปรมาจารย์จอมปราชญ์ ข้าไม่กล้าแพร่งพรายออกไป!”
“ไม่ต้องห่วง เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ? ข้าจะปิดปากให้สนิท!”
………………………………………………………………..
[1] ทำเป็นไม่รับรู้ ไม่เห็น (เหมือนนกกระจอกเทศฝังหัว)