เรื่องการกลับเมืองหลวง เฉิงกั๋วกงมีความคิดอยู่แล้ว ยังบอกอีกว่ารอนายหญิงอวี้มาถึงค่อยหารือละเอียดอีกครั้ง คุณหนูจวินก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
เห็นใบหน้าบึ้งตึงของจูจั้นด้านข้าง คุณหนูจวินก็เป็นฝ่ายขอตัวจากไป
กลับเมืองหลวงเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง พวกเขาพ่อลูกมีคำพูดมากมายต้องพูดกัน มีเรื่องมากมายต้องหารือ
คุณหนูจวินกลับมาถึงที่พักของตนเอง จ้าวฮั่นชิงกำลังนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะยกถ้วยดื่มยาอย่างเชื่อฟังอยู่ เห็นนางกลับมาก็ร้องเรียกพี่สาว
คุณหนูจวินนั่งลงข้างนาง มองดูนางดื่มยา
ช่วงนี้ที่อยู่เหอเจียน อยู่ป้าโจวขัดขวางโจรจินสังหารศัตรู การรักษาแผลบนใบหน้าของจ้าวฮั่นชิงก็ไม่เคยหยุด
ยานี่ขมนัก ดื่มนานปานนี้ จ้าวฮั่นชิงยังคงไม่คุ้นชิน ดื่มไปพลาง ทำหน้าขมไปพลาง หยิบผลไม้เชื่อมเม็ดหนึ่งกิน
ดื่มคำหนึ่ง ขมทีหนึ่ง กินของหวานคำหนึ่ง แล้วทำซ้ำอีกครั้ง
คุณหนูจวินมองนางแล้วเหม่อลอยเล็กน้อย
เฉิงกั๋วกงกลับเมืองหลวง
ที่จริงนางเคยตั้งตาคอยมาก่อน
ตอนที่นางได้ทราบว่าพระบิดาไม่ได้ตายตามอายุขัย นางโกรธแค้นโลกที่ไม่มีใครรู้ความจริง แล้วคาดหวังว่าจะมีคนสงสัยการตายของพระบิดา
ตอนนางบุกเข้าพระราชวังลำพังคนเดียวเพื่อสังหารฮ่องเต้ นาทีนั้นก่อนตายนางเคยคาดหวังว่าจะมีคนมาช่วยนาง
“พี่สาว”
เสียงของจ้าวฮั่นชิงดังขึ้นข้างหู ในเวลาเดียวกันมือข้างหนึ่งก็โบกอยู่ตรงหน้า
คุณหนูจวินได้สติกลับมา
“ดื่มหมดแล้วรึ?” นางเอ่ยถาม
จ้าวฮั่นชิงพยักหน้า
“ท่านคิดอะไรอยู่?” นางเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“คิดถึงเรื่องในอดีตบางอย่าง” คุณหนูจวินยิ้มพลางเอ่ย
จ้าวฮั่นชิงร้องอ้อแล้วพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นไม่แปลกที่ท่านดูแล้วเสียใจนัก” นางเอ่ยแล้วพยักหน้า ไม่ได้จี้ถามว่าเรื่องในอดีตคือเรื่องอะไร “อาเซี่ย อาหยาง พวกเขาคิดถึงเรื่องในอดีตล้วนเป็นเช่นนี้”
คุณหนูจวินอยากหัวเราะอยู่บ้างแล้วก็ปวดใจอยู่บ้าง แต่คำพูดนี้ก็เตือนนาง
“ข้าจะไปดูพวกอาหยางสักหน่อย” นางเอ่ย “เจ้าไปด้วยกันกับข้าไหม?”
แม้ทัพใหญ่ตั้งทัพอยู่นอกเมือง แต่กองทหารชิงซานแยกออกมาจากในนั้น ในฐานะผู้คุ้มกันกับข้ารับใช้ของคุณหนูจวินจึงติดตามเข้ามาในเมืองติ้งโจวด้วย จัดการให้อยู่ในเรือนนายทหารผู้ติดตามคุ้มครองของจวนที่ว่าการเมือง
ตอนที่คุณหนูจวินกับจ้าวฮั่นชิงมาก็เย็นย่ำพลบค่ำแล้ว เรือนชั้นเดียวใหญ่โตหลังหนึ่งล้วนถูกกองทหารชิงซานยึดครองไว้ เวลานี้กำลังทานอาหารอยู่ ในเรือนวางโต๊ะเก้าอี้ไว้ เนื้อและสุราชามโต บุรุษทั้งหลายสี่โต๊ะสตรีทั้งหลายหนึ่งโต๊ะ กำลังกินดื่มคุยเล่นกันครึกครื้น
“คุณหนูจวิน นิวหนิ่วรีบมานั่งเร็ว”
เห็นพวกนางเข้ามา คนกลุ่มหนึ่งก็รีบร้องเรียกกระตือรือร้น เติมเก้าอี้ เติมชามตะเกียบและสุราอาหาร
เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องให้คนของกองทหารชิงซานมาทำ เพียงเรียกคำเดียวก็มีนายทหารหลายคนวุ่นวายทำ
“ลุงเถี่ย สุราที่ท่านต้องการขอรับ” นายทหารสองคนยกสุราไหหนึ่งมาอย่างเริงร่า “ไม่พอ ยังมีอีก”
เถี่ยเจี่ยวพยักหน้า
“พอแล้ว” เขาตอบจะยื่นมือออกมา
นายทหารสองคนนั้นรีบร้อนหลบออกไปแล้วยกเข้ามา
“พวกเราเอง พวกเราเอง ลุงเถี่ยท่านไม่ต้องใช้มือ” พวกเขาเอ่ย
เถี่ยเจี่ยวไม่ค่อยถนัดปฏิเสธ มองดูนายทหารสองคนนี้วางไหสุราเอ่ยขอบคุณคำหนึ่ง
“ลุงเถี่ยท่านเกรงใจเกินไปแล้วจริงๆ” สองคนลูบศีรษะอิ่มอกอิ่มใจ
เถี่ยเจี่ยวก็ลูบศีรษะมองดูนายทหารสองคนนี้ดีอกดีใจออกไป
“พวกเราเกรงใจทหารเหล่านี้นัก” เซี่ยหย่งเอ่ยกับคุณหนูจวิน “ล้วนพึ่งใบบุญของคุณหนูจวิน”
ไยแค่เกรงใจ เคารพเลื่อมใสชัดๆ นายทหารทุกคนถือว่าการพูดคุยกับคนเหล่านี้ของกองทหารชิงซานเป็นเกียรติ
คุณหนูจวินมองดูนายทหารที่ส่งสุราอาหารเสร็จออกไปเหล่านั้น ทหารเหล่านี้เป็นทหารที่ประจำการที่ติ้งโจว พวกเขาไม่เหมือนกองทหารซุ่นอันเช่นนั้นที่ร่วมรมด้วยกันกับสหายร่วมบ้านเกิดเหล่านี้ แต่ยังคงเลื่อมใสเต็มเปี่ยม
“นี่ไม่ใช่เพราะข้า เพราะภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงต่างหาก” นางเอ่ยพลางมองดูผู้คนที่นั่งอยู่
ตอนแรกที่ออกมาจากเขาจางชิงซานทั้งหมดมีสี่สิบห้าคน ตอนนี้ที่นั่งอยู่เหลือสามสิบสองคน
ตายในสนามรบสิบสามคน ไม่มีผู้บาดเจ็บหนัก คนของกองทหารชิงซานมีเพียงพลีชีพในสนามรบเท่านั้น
“นี่เป็นสิ่งที่พวกท่านได้มาด้วยตนเอง” คุณหนูจวินเอ่ย “กองทหารชิงซานกล้าหาญชื่อเสียงโด่งดังทุกคนล้วนรู้จัก ทุกคนเลื่อมใส”
ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งก็ยิ้ม สหายร่วมหมู่บ้านที่เหลือก็ล้วนเขินอายอย่างยิ่งยามถูกชมเฉกเช่นก่อนหน้านี้
“คนผู้เดียวเป็นกองทัพไม่ได้” เซี่ยหย่งเอ่ย “นี่ก็เป็นความดีความชอบของคุณหนูจวินท่านด้วย”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“มา” นางไม่เอ่ยถ้อยคำตามมารยาทอีก ยกจอกสุราขึ้น “พวกเราดื่มหนึ่งจอก”
พูดจบก็หันหน้ากลับมา
“ฮั่นชิงห้ามดื่ม”
จ้าวฮั่นชิงที่กำลังแอบยกจอกสุราขึ้นได้แต่วางลงอย่างไม่ใคร่จะยินยอม
มองดูสีหน้าของฮั่นชิง บุรุษสตรีที่นั่งอยู่ล้วนหัวเราะขึ้นมา ผู้หญิงหลายคนยังโอบหัวไหล่ของฮั่นชิงไว้ด้วย
“นิวหนิ่วไม่ต้องรีบร้อน รอโรคของเจ้าหายดีแล้วก็ดื่มได้แล้ว” พวกเขาหัวเราะเอ่ย
เพราะต้องกินอาหารดื่มสุราจ้าวฮั่นชิงจึงปลดผ้าปิดหน้าลง สีหน้าไม่มีหลุกหลิกหวาดกลัว ได้ยินถ้อยคำก็พยักหน้า
ผู้คนด้านนี้ดื่มสุรารวดเดียวหมด หลังสุราสามจอกทุกคนก็กินดื่มอย่างเต็มที่
ส่วนหยางจิ่ง เซี่ยหย่งเชิญคุณหนูจวินเข้าไปในห้อง
“คุณหนูจวินมีเรื่องอะไรหรือ?” เซี่ยหย่งเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
คุณหนูจวินบอกเรื่องที่เฉิงกั๋วกงจะเข้าเมืองหลวง
ตอนแรกออกจากเขาจางชิงซานก็เพื่อคุ้มครองนายหญิงอวี้ไปเหอเจียนกับป้าโจวปกป้องประชาชน หลังจากนั้นสิ่งที่ทำย่อมเกินกว่าที่คาดไว้ล่วงหน้าแล้ว
ตอนนี้อารักขาประชาชนเสร็จสิ้น เฉิงกั๋วกงก็ปลอดภัยกลับมาแล้ว ต่อไปต้องทำสิ่งใด นี่ต้องถามความเห็นของพวกเขาหรือ? หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งสบตากัน
“คุณหนูจวินต้องการให้พวกเราทำอะไรพวกเราก็จะไปทำ” หยางจิ่งเอ่ย “พวกเราฟังท่าน”
“ใช่แล้ว อารักขาเฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวงก็ไม่เป็นปัญหา หากไม่ต้องการ พวกเราก็กลับบ้านไป” เซี่ยหย่งเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า
“เรื่องนี้ไม่รีบร้อน รอนายหญิงอวี้มาเก็บเงินแล้ว พวกเราค่อยคุยการค้าครั้งต่อไป” นางเอ่ย
หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งล้วนยิ้ม
“ข้าอยากถามอดีตของพวกท่าน” คุณหนูจวินพลันเอ่ยขึ้น
หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งตะลึงไปนิดหนึ่ง
“ข้าไม่ถามอดีตของอาจารย์ข้า” คุณหนูจวินมองพวกเขา “ข้ารู้ว่าไม่มีวาจาของน้าเซียว พวกท่านไม่กล้าแล้วก็ไม่คิดยอมรับว่ารู้จักเขา”
นางถอนหายใจแผ่วเบา ยื่นมือกุมหน้าผาก ท่าทางนานมากแล้วที่ไม่ได้ดื่มสุรามากปานนี้ บนหน้าค่อยๆ เมามายหนักขึ้น
“ที่ข้าถามคือพวกท่าน” นางเอ่ยต่อ “กองทหารชิงซานที่แท้คืออะไร?”
……………………………………….
“กองทหารชิงซาน…”
และเวลานี้ในจวนหลังหนึ่งที่เมืองหลวง ชิงเหอปั๋วที่สวมชุดคอกลมธรรมดาก็ลูบเคราเอ่ยขึ้นเช่นกัน
“เหมือนเคยได้ยินมาก่อน”
บุรุษหลายคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขาสีหน้าตกตะลึง
“ท่านปั๋วรู้จักหรือ?” พวกเขาเอ่ยท่าทางดีใจอยู่บ้าง “ท่านปั๋วรอบรู้กว้างขวางจริงๆ ใต้เท้าหวงควรถามท่านเร็วหน่อยจริงๆ”
ชิงเหอปั๋วยิ้มแล้ว
“รอบรู้กว้างขวางอะไร แค่มีชีวิตอยู่นานอยู่บ้างก็เท่านั้น” เขาเอ่ยขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหมือนจะเป็นเรื่องเกือบยี่สิบปีก่อน ที่แดนเหนือข้าคลับคล้ายได้ฟังใครเอ่ยชื่อนี้อยู่”
ยามนั้นเป็นตอนที่ชิงเหอปั๋วรุ่งเรืองที่สุด
สีหน้าของชิงเหอปั๋วท่าทางย้อนคิด
แต่บุรุษหลายคนนี้ตรงหน้าไม่ได้มีความทรงจำร่วมแล้วก็ไม่สนใจย้อนคิด
“ถ้าเช่นนั้นพวกเขาเป็นทหารจริงหรือ?” พวกเขาอดไม่ได้เร่งถาม
ชิงเหอปั๋วขมวดคิ้วครู่หนึ่ง
“ทหารอะไร” เขาแค่นเสียงเอ่ยขึ้น “ทหารอาสา”
ทหารอาสา?
คำนี้ บุรุษเหล่านี้ล้วนรู้
ต้าฉี ต้าจิน ต้าโจวสามแคว้นรบกันโกลาหลอยู่นานปี แดนเหนือเวลานั้นวุ่นวายยิ่งนัก โจรผู้ร้ายเกลื่อนกลาด ผู้ดีชนบทตระกูลมั่งคั่งไม่น้อยก็เลี้ยงดูข้ารับใช้ในตระกูลไว้ คนเหล่านี้อยู่ในพื้นที่สงครามนานปีเข้า แย่งอำนาจชิงผลประโยชน์ต่อสู้กันหรือสู้กับชาวจินเพื่อปกป้องตนเอง นานวันเข้าก็เกิดกำลังพลไม่น้อยที่แข็งแกร่งจนไม่อาจดูแคลนได้
ทหารของต้าโจวยามรบกับชาวจินก็ต้องการความช่วยเหลือของพวกเขา ดังนั้นจึงรวบรวมกองกำลังเหล่านี้ไม่น้อยเข้ามาร่วมมือกัน ถูกเรียกว่ากองทหารอาสา
ที่แท้กองทหารชิงซานนี่ก็เป็น
ชิงเหอปั๋วกลับโบกมืออีกครั้ง
“ไม่ ไม่ พวกเขายังนับเป็นกองทหารอาสาไม่ได้ พูดตรงๆ ก็คือโจร” เขาเอ่ยต่อพลางเลิกคิ้ว “โจรพวกนี้ไม่อาจเชื่อถือได้อย่างสิ้นเชิง แล้วก็นับเป็นสาระสำคัญไม่ได้ด้วย ข้าคลับคล้ายคลับคลาจำได้ว่าช่วยเหลือศึกใหญ่ครั้งหนึ่งแล้ว ต่อมาก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย”
ส่ายศีรษะ
“คนสารพัดสารเพรวมกลุ่มกันกลุ่มหนึ่ง คาดว่าคงวิ่งกลับไปเป็นโจรอีกแล้ว”
……………………………………….
“กองทหารชิงซานไม่ใช่โจร”
หยางจิ่งเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยศีรษะมองคุณหนูจวินพลางเอ่ยขึ้น
“กองทหารชิงซานเป็นทหาร”
……………………………………….