บทที่ 558 พูดตรงๆ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 558 พูดตรงๆ (1)

เจ้ากรมยุติธรรมเดินทางมาถึงที่วังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้

ฮ่องเต้ที่กำลังตรวจฎีกาอยู่ในห้องทรงงาน พอได้ยินรายงานของเว่ยกงกง ก็สั่งให้คนพาเขาเข้าไปข้างใน

“ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้ากรมคุกเข่าถวายบังคมอย่างอ่อนน้อม

ฮ่องเต้ทรงประทับที่โต๊ะทรงงานก็วางฎีกาที่เพิ่งตรวจเสร็จหมาดๆ ลงแล้วเอ่ยทัก “มีเรื่องอันใดที่ทำให้เจ้ากรมกรมยุติธรรมต้องมาเข้าเฝ้ากะทันหันเช่นนี้”

เจ้ากรมลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “กระหม่อม…มีเรื่องจำต้องกราบทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องด่วนอันใดถึงมิอาจรอแจ้งในการประชุมในครั้งถัดไปได้” ฮ่องเต้คว้าฎีกาขึ้นมาตรวจต่อ

เจ้ากรมนึกในใจ เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงไม่ยินดีนักหากต้องให้เขาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเหล่าอำมาตย์และข้าราชบริพารทั้งหลาย

จะว่าไป เมื่อครู่นี้ที่เขาบังเอิญเจอกับจี้จิ่วอาวุโสระหว่างทาง พวกเขาคงไม่ได้เห็นเนื้อหาในจดหมายหรอกกระมัง

มองผ่านแวบเดียวแบบนั้นไม่มีทางเห็นได้ชัดหรอก

แต่ต่อให้พวกเขาเห็นเข้าจริงๆ ด้วยจรรยาบรรณของขุนนางเก่าอย่างไรคงไม่เผยแพร่เรื่องนี้ออกไปอยู่แล้ว

พอคิดได้ดังนั้น เจ้ากรมก็เริ่มวางใจ

เจ้ากรมกุมมือของเขาและเอ่ยด้วยความเคารพ “เกี่ยวกับคดีคดีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่แน่ใจว่าควรนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ที่ประชุมหรือไม่”

“คดีอันใดรึ” ฮ่องเต้สงสัย

“คดีหอเซียนเล่อพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมตอบไปตามจริง

“หอเซียนเล่อรึ” ฮ่องเต้ย่นหัวคิ้ว “หอนางโลมที่มีชื่อเสียงนั่นน่ะหรือ”

“ฮ่องเต้ทรงรู้จักด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมออกอาการตกใจ

ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกเช่นนั้น แม้หอเซียนเล่อจะมีชื่อเสียง แต่ว่ากันตามตรงก็เป็นเพียงแค่หอนางโลมแห่งหนึ่ง อยู่คนละโลกกับในวัง

ตราบใดที่ฮ่องเต้ไม่สนใจเรื่องท่องราตรี ก็คงจะเมินสถานที่แบบนั้นไปโดยปริยาย

“แค่เคยได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างก็เท่านั้น” ฮ่องเต้ตรัส “เหตุใดคดีหอนางโลมต้องมาแจ้งถึงราชสำนัก”

เจ้ากรมออกอาการสับสน “คดีนี้เกี่ยวพันอย่างกว้างขวาง รวมถึงราชวงศ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“มีองค์ชายท่านใดไปท่องราตรีแล้วก่อเรื่องที่หอนางโลมมารึ” ฮ่องเต้ตรัสถาม

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาคงไม่มาทูลให้ทรงลำบากพระทัยเปล่าๆ หรอก

เจ้ากรมมองว่าเรื่องนี้ต่อให้ถอยหลังหรือเดินหน้าต่อ สุดท้ายย่อมเกิดเรื่องอยูดี ดังนั้นวันนี้เขาจึงต้องเอ่ยออกไป “นางคณิกาของหอเซียนเล่อถูกพบเสียชีวิตในวันที่เจ็ดของปีใหม่ทางจันทรคติพ่ะย่ะค่ะ”

วันนั้นฮ่องเต้จดจำได้ดีว่าเป็นวันที่กองทัพเดินทางกลับมา และเขาก็ได้พบกับหนิงอันในวันถัดมา

วันดีๆ แบบนี้ดันเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจนได้

ฮ่องเต้ได้แต่ขมวดคิ้วแน่น

ในตอนแรก เจ้ากรมคิดเพียงว่าเป็นคดีฆาตกรรมในหมู่ชาวเมือง และไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนถึงพระองค์ จึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ในองค์ประชุม

เจ้ากรมกล่าวต่อไปว่า “แต่หลังจากการสืบสวน กระหม่อมบังเอิญพบว่านางคณิกานางนั้นกลับยังมีชิวิตอยู่ และใช้นางนกต่อในการตบตาผู้คน จุดประสงค์ที่แท้จริงของนางคือต้องการเข้าใกล้ท่านหมอกู้พ่ะย่ะค่ะ”

พอฮ่องเต้ได้ฟังถึงตรงนี้ก็เริ่มออกอาการสนพระทัย “หมอกู้คนไหน โรงหมอแห่งใด”

“โรงหมอเมี่ยวโส่วถังที่อยู่ข้างสำนักบัณฑิตสตรีพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมยังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับกู้เจียว เขาจึงพูดเสริมขึ้นเพื่อให้เรื่องนี้ดูสำคัญยิ่งขึ้น “ท่านหมอกู้เป็นภรรยาของเซียวลิ่วหลังพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวลิ่วหลังคือจอหงวนที่ฮ่องเต้คัดเองกับมือ อย่างน้อยน่าจะพอยกระดับความสำคัญขึ้นมาได้บ้าง

ที่จริงตัวกู้เจียวเองก็มีศักดิ์เป็นบุตรสาวของติ้งอันโหว เพียงแต่นางไม่ยอมรับจนถึงตอนนี้

แววตาของพระองค์เริ่มเย็นชา “เหตุใดนางคณิกาจากหอนางโลมถึงต้องเข้าใกล้หมอด้วย”

“ทูลฝ่าบาท เพื่อลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ”

“ลอบสังหาร…” หมอเทวดาเนี่ยนะ!

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าคดีหอเซียนเล่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ เป็นไปได้ไหมว่า…มีสมาชิกในราชวงศ์บงการให้ทำร้ายหมอกู้” ท่าทีของฮ่องเต้เผยให้เห็นความคลางแคลงใจ

เจ้ากรมไม่ตอบไปตรงๆ แต่ใช้วิธีหยิบจดหมายออกจากแขนเสื้อที่เขาเพิ่งเย็บเสร็จชั่วคราวตอนระหว่างทางที่มาออกมา

ฮ่องเต้หยิบมันขึ้นมาอ่าน และทรงจำได้ทันทีว่านี่เป็นลายมือของเซียวลิ่วหลัง

เซียวลิ่วหลังดำรงตำแหน่งชู่ลิ่งในกรมยุติธรรม หากใช้คำพูดของกู้เจียวอธิบาย ก็คือเซียวลิ่วหลังทำหน้าที่เป็นอาลักษณ์และโฆษกของกรม หากไปได้สวย อนาคตเขาอาจได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งหัวได้

จึงไม่แปลกที่หน้าที่ของเขาคือการเขียนจดหมายสารภาพ

แน่นอนว่าไม่ใช่จดหมายสารภาพทุกฉบับจะถูกเขียนโดยเจ้าหน้าที่กรม บางทีนักโทษก็ลงมือเขียนด้วยตัวเอง

ในจดหมายมีกำกับไว้ว่าไป่คุนไม่รู้จักศัพท์มากนัก จึงให้เซียวลิ่วหลังเป็นผู้เขียนแทน

หลังจากที่ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร ก็รีบตบพระหัตถ์ลงบนโต๊ะพร้อมด้วยจดหมาย “มีอย่างที่ไหนกัน! ผู้ใดรับผิดชอบสอบสวนนักโทษ”

เพื่อไม่ให้เรื่องราววุ่นวายไปมากกว่านี้ เจ้ากรมสิงจึงตอบรวบรัดไปว่า “กระหม่อมเป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนเองพ่ะย่ะค่ะ โดยมีเซียวลิ่วหลังทำหน้าที่บันทึกคำสารภาพของนักโทษพ่ะย่ะค่ะ”

โดยทั่วไปแล้ว อัยการของกรมจะทำหน้าที่จดบันทึกคำสารภาพของนักโทษ แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้อยู่ที่กรม เจ้ากรมยุติธรรมจึงมีอำนาจในการมอบหมายหน้าที่ตามความเหมาะสม

เซียวลิ่วหลังมาจากสำนักฮั่นหลิน งานแค่นี้ย่อมไม่เหนือบ่ากว่าแรงของเขา

หากเป็นคนอื่น อาจต้องมีการสอบสวนหลายขั้น แต่ด้วยความที่ทั้งเจ้ากรมสิงและเซียวลิ่วหลังคือคนที่ฮ่องเต้เลือกมาและไว้ใจให้ทำงาน

ฮ่องเต้ทรงคลาแคลงใจถึงฝีมือการสอบสวนของเซียวหลัง หากทรงรู้ว่าเขาเข้าไปสอบสวนเพียงลำพัง ฮ่องเต้อาจทรงคิดว่าเซียวลิ่วหลังถูกอีกฝ่ายหลอกโน้มน้าว แต่ถ้าเป็นเจ้ากรมสิงอยู่ด้วยก็ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือมากขึ้น

แล้วเรื่องนี้…มีองค์หญิงชักใยอยู่เบื้องหลังจริงๆ อย่างนั้นหรือ

แต่นี่มันไร้สาระสิ้นดี ไม่ใช่หรือ

นายแห่งหอเซียนเล่อคือน้องสาวของพระองค์อย่างนั้นรึ

มีน้องสาวอยู่เพียงแค่สามคน ได้แก่หนิงอัน ซิ่นหยาง และไหวชิ่ง

ในสามคนนี้ ไม่มีใครน่าสงสัยเลยแม้แต่คนเดียว

หนิงอันยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง นางเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา จะไปเป็นเจ้าของหอนางโลมได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่มีทางทำร้ายหมอเทวดาได้อย่างแน่นอน

ส่วนไหวชิ่งนั้นสติไม่สมประกอบ ไม่มีทางคิดหรือทำอะไรแบบนั้นได้อยู่แล้ว

และไม่มีทางจะเป็นซิ่นหยางไปได้แน่นอน

ต้องยอมรับว่าในบรรดาองค์หญิงทั้งหมด ซิ่นหยางคือคนที่โดดเด่นที่สุด แม้จะไม่ได้รับความเอ็นดูจากเสด็จแม่และเสด็จพ่อ แต่นางก็ไม่เคยยอมให้ใครมาเอาเปรียบนางได้

อีกทั้งนางยังได้รับการอภิเษกที่ดีที่สุดก่อนที่เสด็จพ่อจะสิ้นพระชนม์

เรียกได้ว่าองค์หญิงซิ่นหยางเป็นคนที่เพรียบพร้อมทุกอย่าง

แต่ไม่มีเหตุผลอันใดที่นางจะคิดปองร้ายหมอเทวดาเลย!

เจ้ากรมสิงทำใจดีสู้เสือเอ่ยถาม “ฝ่าบาทเริ่มมีพระดำริเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“เราน่ะหรือมีดำริอะไร เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ถูกนักโทษหลอกเอาน่ะ” ฮ่องเต้ตอบอย่างไม่สบอารมณ์

แม้ว่าพระองค์จะไว้วางใจความสามารถของเจ้ากรมสิงมากเพียงใด ทว่าทรงเลือกยอมตั้งคำถามถึงการตัดสินเสียยังดีกว่าเลือกสงสัยน้องสาวของพระองค์

เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ เจ้ากรมสิงเริ่มจะคาดเดาอะไรได้บ้างแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด

เซียวลิ่วหลังให้เบาะแสกับเขาว่าหวงฝู่เจิงถูกบุตรชายตระกูลกู้สังหาร ซึ่งเป็นวิธีการในการคาดเดาแรงจูงใจของผู้กระทำผิดตัวจริง

แต่แน่นอนว่าเจ้ากรมไม่อาจทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาทได้โดยตรง

ขณะที่เจ้ากรมสิงกำลังคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรต่อ เสียงรายงานข่าวของเว่ยกงกงเป็นอันดังขึ้น

“องค์หญิงหนิงอัน มีธุระอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าตุ๋นโสมไว้ เลยนำมาถวายให้เสด็จพี่น่ะ ทรงประทับอยู่ข้างในใช่หรือไม่”

“เอ่อ…”

ไอ้อยู่น่ะอยู่หรอก แต่จะสะดวกไหมนี่สิ

“หนิงอัน เข้ามาสิ” ฮ่องเต้เอ่ย