บทที่ 671 ช่องว่างที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 671 ช่องว่างที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

บทที่ 671 ช่องว่างที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

บางคนพูดไม่เก่งจึงทำแค่ยิ้มแทน ส่วนคนที่อายุมากกว่าหน่อยก็เดินมาร่วมวงคุยกับคนบ้านซู พวกคุณย่าซูคุยเรื่องชีวิตประจำวันกับคนอื่น ๆ อย่างสนิทสนม เหล่าผู้หญิงในหมู่บ้านโล่งใจที่บ้านซูไม่ได้ดูแคลนพวกเขา แม้จะมีชีวิตดีขึ้นแล้วก็ตาม

มิตรภาพเมื่อก่อนยังเหมือนเดิมแม้จะไม่ได้พบเจอกัน ถึงตอนนี้คนบ้านซูจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแล้ว แต่ก็ยังไม่ลืมรากเหง้าที่อยู่ในหมู่บ้านหนานหลิ่งของตน

ด้วยความคิดที่ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแค่คุยกันสองสามประโยคความสัมพันธ์ก็ฟื้นฟูกลับมาเช่นเคย

ส่วนหลี่หลินหลินหลานสะใภ้คนใหม่ไม่รู้จักใครเลย ทั้งยังไม่เข้าใจภาษาถิ่นด้วยจึงดูขัดเขินเล็กน้อย

ที่เมืองหลวง ทุก ๆ คนจะพูดภาษาจีนกลางเลยไม่มีอุปสรรคในการสื่อสารนัก แต่คนที่นี่จะพูดภาษาถิ่น ทั้งยังพูดเร็วจนเธอฟังไม่เข้าใจ

โชคดีที่ข้าง ๆ มีเสี่ยวเถียนอยู่ด้วย เด็กสาวจึงแนะนำคนในหมู่บ้านให้เธอรู้จัก

รวมถึงซูเสี่ยวเฉ่าด้วย

หญิงสาวจบการศึกษาในปีนี้เหมือนกัน

หลังเรียนจบก็ตั้งใจจะกลับบ้านมาหางานทำ เพราะพ่ออยู่ในกองชุมชนมาหลายปีแถมยังรู้จักคนมากมาย

แต่พอเขาเห็นความวุ่นวายที่บ้านในตอนนี้ก็ไม่อยากให้ลูกสาวลำบาก จึงหาลู่ทางให้คนช่วยรับลูกสาวไปทำงานที่โรงเรียนมัธยมต้นอันดับ 2 ในตัวเมืองแทน

“ขอแสดงความยินดีกับพี่เสี่ยวเฉ่าด้วยนะคะ” เสี่ยวเถียนรู้ข่าวก็ดีใจเป็นอย่างมาก

การได้อยู่และทำงานในตัวเมืองมณฑล ดีกว่ากลับมาที่ตำบลหรืออำเภอเสียอีก

“หน้าเนียนจังเลย ในหมู่บ้านมีสาว ๆ ตั้งหลายคน ทำไมผิวหน้าเธอถึงเนียนอยู่เสมอเลยเนี่ย” เสี่ยวเฉ่าหยิกแก้มน้องสาวตัวน้อย

เสี่ยวเถียน “พี่เสี่ยวเฉ่า หนูโตแล้วนะคะ ทำไมยังหยิกแก้มอยู่เนี่ย”

พี่สาวหัวเราะลั่น ความเคยชินนี่นา

“ก็ชินนี่นา ผ่านมาหลายปีเสี่ยวเถียนจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ”

เป็นคำพูดที่มีความตื้นตันใจ แต่ก็ดูหมดหนทางเช่นกัน

ตอนนั้นบ้านเรากับบ้านเสี่ยวเถียนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แถมยังได้รับการดูแลจากเสี่ยวเถียนดีด้วย แต่ใครจะไปรู้ว่าพี่สะใภ้รองจะเอาแต่ใจ อยากเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ไม่พอยังโทษเขาที่ไม่ยอมให้ตนเอาเปรียบอีก ถึงโดยผิวเผินความสัมพันธ์ระหว่างบ้านเราจะไม่ได้แย่อะไร แต่เสี่ยวเฉ่ารู้สึกได้ว่ามันมีความห่างเหินกัน

“ใช่ค่ะ เมื่อก่อนพี่เสี่ยวเฉ่ากับพี่เสี่ยวเหมยดูแลหนูอย่างดีเลย”

เสี่ยวเถียนจำวันที่เธออยู่กับพี่สาวทั้งสองได้

“เสี่ยวเหมยก็เรียนจบปีนี้เหมือนกันนี่นา ได้งานเรียบร้อยแล้วหรือ?” เสี่ยวเฉ่ยเอ่ยถามถึงอีกคน

แม้หลายปีที่ผ่านมาจะพอติดต่อกันอยู่บ้างแต่มันก็ไม่ได้สะดวกเท่าไร สู้ถามจากเสี่ยวเถียนตรง ๆ เลยดีกว่า

“ลุงเสิ่นบอกให้พี่เสี่ยวเหมยเรียนต่อค่ะ”

ยังต้องเรียนต่ออีกหรือ?

เสี่ยวเฉ่าตกใจมาก เสี่ยวเหมยอายุไม่น้อยแล้วนะ ถ้าเรียนต่อแล้วจะเรียนจบตอนอายุเท่าไรล่ะ? และด้วยวัยของเธอ บางคนในหมู่บ้านก็บอกอายุเยอะแล้ว แต่งงานไม่ได้แล้ว แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าอีกฝ่ายอยู่เมืองหลวงนี่นา ได้ยินว่าผู้คนที่นั่นความคิดเปิดกว้าง และจะก้าวหน้ามากขึ้นด้วย

คงไม่เป็นไรถ้าจะแต่งงานช้าหน่อย

พี่น้องที่โตมาด้วยกันต่างก็มีเส้นทางที่ต่างออกไป

ตอนแรกคะแนนสอบเธอแย่ไปหน่อยเลยได้เรียนแค่วิทยาลัยครูในตัวเมืองมณฑล ตอนนั้นไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาตรงไหน แต่พอผ่านไปหลายปีความต่างก็เริ่มชัดขึ้น

เสี่ยวเถียนไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในจิตใจพี่ จึงเอ่ยออกมาด้วยความจริงจัง “พี่เสี่ยวเฉ่า ไว้พี่ไปที่โรงเรียนมัธยมต้นอันดับ 2 เมื่อไรอย่าลืมหาพี่เขยนะคะ แล้วพี่ก็จะได้อาศัยอยู่ที่นั่นเลย”

ได้เป็นครูที่จริงมันไม่แย่นะ อย่างน้อยอีกหลายสิบปีข้างหน้ามันจะเป็นอาชีพที่ทุกคนต้องอิจฉา

โดยเฉพาะพวกผู้หญิง การเป็นครูถือได้ว่าเป็นงานที่น่าอิจฉามาก

โรงเรียนมัธยมต้นอันดับ 2 เป็นโรงเรียนที่สำคัญในมณฑล อนาคตของพี่เสี่ยวเฉ่าจะไม่แย่อย่างแน่นอน

พอได้ยินเรื่องหาคู่ครอง เสี่ยวเฉ่าอดหน้าแดงไม่ได้

“สาวน้อย เธออายุไม่เท่าไร แต่กลับคุยเรื่องนี้ได้หน้าตาเฉยเลยนะ” เธอเอ่ยเคือง ๆ

เสี่ยวเถียนที่ไม่ได้หน้าแดงหัวเราะคิกคัก “ชายหนุ่มต้องแต่งภรรยา หญิงสาวต้องออกเรือนค่ะ ไม่ใช่เรื่องที่พูดไม่ได้เสียหน่อย หนูรอลูกอมมงคลงานแต่งพี่นะคะ”

ภาพเด็กสาวหัวเราะข้าง ๆ ดูมีชีวิตชีวามาก

เสี่ยวเฉ่าเป็นคนเข้ากับคนง่าย เธอคิดมาสักพักแล้วว่าตนไม่ดีเท่าญาติเลย แต่พอเทียบกับผู้หญิงในหมู่บ้านแล้ว ก็รู้สึกว่าตนโชคดีจริง ๆ ถ้าไม่ได้มีพ่อแม่ที่ความคิดเปิดกว้างให้เรียนหนังสือ ป่านนี้คงแต่งงานมีลูกไปตั้งนานแล้ว

ซูฉางจิ่วยืนอยู่นอกบ้านซูมาสักพักแล้ว ไม่รู้ว่าควรเข้าไปดีหรือเปล่า

ก่อนหน้านี้ครอบครัวเราก็ถือว่าเป็นครอบครัวที่ดี แต่เพราะลูกสะใภ้รองมีความคิดไม่สมควร ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปหมด ถึงฟาร์มจะประสบผลสำเร็จแต่มันไม่ได้ทำเงินใด ๆ เลย คาดว่าอนาคตคงทำไม่ได้เหมือนกัน ไม่ทำครอบครัวสูญเสียก็ถือว่าดีแล้ว

แต่ลูกสะใภ้คนนี้ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองมีความผิด เอาแต่คิดว่าคนบ้านซูไม่มีมาตราฐาน และไม่คิดจะสอนวิธีดูแลฟาร์มให้กับเธอเลย

มันจะไปมีวิธีที่ดีได้ยังไง? ไม่ใช่ว่าต้องใช้ใจทำหรือ?

แล้วคนแบบนั้นที่คิดแต่เรื่องหาเงิน ไม่คิดจะออกแรง หาเงินได้ก็คงแปลก

อีกอย่างพูดไปก็ไม่เข้าหูหรอก

ตอนนี้ได้แต่ดีใจที่แยกบ้านออกมาแล้ว ไม่งั้นครอบครัวเราต้องข้องเกี่ยวไปด้วยแน่นอน!

“ฉางจิ่ว มาแล้วทำไมไม่เข้ามาล่ะ?” คุณปู่ซูไม่อยู่บ้านเพราะไปคุยกับเพื่อนเก่าในหมู่บ้านมา เลยเพิ่งกลับมาถึงบ้าน

พอเดินมาถึงประตูก็เห็นหัวหน้าซูยืนอยู่หน้าบ้านด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

จากนั้นฉางจิ่งก็รีบร้อนยิ้ม “ผมได้ยินเสียงผู้หญิงในบ้านน่ะครับ เข้าไปคงดูไม่ดี”

คุณปู่ซูไม่สงสัย เพราะวันนี้ผู้ชายที่บ้านออกไปข้างนอกกันหมด

“งั้นไปดื่มกับลุงสักแก้วซิ” ชายชรายิ้มแล้วเชิญอีกฝ่ายเข้าไปราวกับไม่ได้ทะเลาะกัน

อีกฝ่ายคิดอยู่พักหนึ่ง “ได้ครับ วันนี้ผมจะดื่มกับลุงสักมื้อนะ”

ถึงจะละอายใจที่ต้องเผชิญหน้ากับลุงและป้าสะใภ้ แต่เขายังหวังว่าเราจะยังรักษาความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ไว้ได้

เมื่อคุณย่าซูเห็นซูฉางจิ่วเข้ามา ใบหน้าแกดูเฉยเมยเล็กน้อย เพราะได้ยินมาว่าลูกสะใภ้บ้านนี้ไม่พอใจบ้านเรา แต่นั่นไม่ใช่ซูฉางจิ่วที่บอกเสียหน่อย แกเลยไม่คิดจะฉีกหน้าอีกฝ่าย

“หลินหลิน ลุงฉางจิ่วมาน่ะ เข้าครัวไปทำกับแกล้มให้ปู่กับลุงเขาหน่อยนะ”