“นายท่านขอรับ! นั่นมันบทสวดพุทธคุณขับไล่วิญญาณร้ายนี่ขอรับ! มิหนำซ้ำยังเป็นบทสวดพุทธคุณขับไล่วิญญาณร้ายขั้นสูงสุดเสียด้วย!” เด็กชายตัวน้อยที่ตอนแรกยืนอยู่สุดกำแพงเพื่อรวบรวมปราณแห่งความเคียดแค้นสะดุ้งพร้อมกับกอดน้ำเต้าในมือแน่น เขาค่อยๆ หันหน้าไปทางจิ่งอู๋ซวงที่ยืนอยู่ข้างกาย
สุขภาพของจิ่งอู๋ซวงไม่ดีมาตลอดก็จริง แต่มันก็ไม่เคยย่ำแย่ถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาว ริมฝีปากของเขาดูซีดเซียวขณะเหม่อมองออกไปแสนไกล จากนั้นจึงคล้ายกับเอ่ยออกมาเบาๆ กับตัวเองว่า “ใช่ มันคือบทสวดพุทธคุณขับไล่วิญญาณร้ายขั้นสูงสุด ข้าไม่คิดเลยว่าพลังของนางจะพัฒนาเร็วถึงเพียงนี้…”
“นายท่าน” เด็กชายตัวน้อยยื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้อของจิ่งอู๋ซวง “ไม่เป็นไรนะขอรับ ข้าจะอยู่กับท่าน อีกอย่างหนึ่ง พวกเราก็หาหลุมศพของแม่นางหนีเจอแล้วมิใช่หรือขอรับ หากมีปราณแห่งความเคียดแค้นและเลือดสดๆ มากพอ นางก็จะสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้ หากใช้วิธีนี้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้กายเนื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวยอีก ทันทีที่แม่นางหนีฟื้นคืนชีพ สายเลือดของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็จะหายไปทันที พระชายาตัวจริงจะได้กลับมา และเมื่อถึงเวลานั้นนายท่านจะไม่ต้องอยู่เพียงลำพังอีกต่อไปแล้วขอรับ”
จิ่งอู๋ซวงไอแรงๆ ออกมาสองครั้ง เขาใช้นิ้วลูบศีรษะของเด็กชายแล้วส่งเสียงตอบรับอย่างใจเย็น รอยยิ้มบางที่ค้างอยู่ตรงมุมปากนั้นยังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเหมือนอย่างเคย แต่แสงสะท้อนในดวงตาของเขากลับดูโศกเศร้าอย่างมาก
เด็กชายตัวน้อยหยุดพูดทันทีที่เห็นสีหน้าของเขา จากนั้นจึงก้มหน้าลงอย่างอ้างว้าง
จิ่งอู่ซวงหัวเราะ “ไปกันดีกว่า เรายังต้องรีบไปเตรียมตัว มีหลายอย่างที่เราต้องทำเพื่อฟื้นคืนชีพให้กับพระชายา”
“อื้ม!” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง พร้อมกับเดินตามหลังจิ่งอู๋ซวงไปติดๆ
บทสวดพุทธคุณกำจัดวิญญาณร้ายกับดอกบัวสีทองแห่งพระธรรมล้วนแต่ทำให้เขานึกถึงอดีตของตน
ในเวลานั้นเขายังไม่มีกายเนื้อ เขาเป็นเพียงแค่ต้นโพธิ์บนสวรรค์ทั้งเก้าเท่านั้น
ถ้าไม่ได้คนผู้หนึ่งซึ่งคอยอ่านพระไตรปิฎกให้เขาฟังเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งส่งผลให้เขาเปลี่ยนความคิดตามแนวคิดแห่งการเริ่มต้นใหม่ เขาก็คงไม่ได้กลายร่างเป็นมนุษย์ผู้ชายได้อย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้…
จิ่งอู๋ซวงหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาของเขาส่องประกายราวกับม่านหมอก นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องพาคนคนนั้นกลับมา
แม้จะต้องแลกด้วยทุกสิ่งที่เขามีก็ตาม
เขาต้องทำให้นางได้เกิดใหม่พร้อมกับหงส์เพลิงแห่งธรรม!
“แม่นาง เจ้ารู้จักบทสวดพุทธคุณขับไล่วิญญาณร้ายได้อย่างไร” บุตรแห่งราชานรกถือขวานพร้อมกับขยับเข้าไปหานาง ไม่ว่าจะมองอย่างไร ใบหน้าเล็กๆ ของเขาก็ดูเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาอย่างไม่ใส่ใจ “แปลกหรือ”
“ก็ไม่แปลก ข้าเพียงแค่คิดว่ามันน่าสนใจเท่านั้น” ดวงตาของบุตรแห่งราชานรกส่องแสงเป็นประกาย “ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่เคยหวาดกลัวผู้ที่รู้จักบทสวดพุทธคุณเป็นที่สุด”
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเขาพูดถึงองค์ชาย นางก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที “มันผ่านมานานเพียงใดแล้วหรือ”
“ข้าคิดว่าน่าจะสองสามพันปีก่อนเห็นจะได้ เวลานั้นยังไม่มีแม้กระทั่งเมืองเลยด้วยซ้ำ ภพทั้งสามเองก็ยังไม่ได้แยกออกจากกันเหมือนในเวลานี้ และราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังไม่ได้เป็นตัวหายนะของแดนปีศาจ สมัยนั้นตอนที่เขายังใช้ชีวิตปะปนอยู่ในโลกมนุษย์ คนสุดท้ายที่เขาต้องการเผชิญหน้าก็คือคนที่รู้จักบทสวดพุทธคุณขับไล่วิญญาณร้าย” บุตรแห่งราชาปีศาจอธิบาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยดีดเขาที่อยู่บนศีรษะของเขา “สองสามพันปีก่อนหรือ เจ้าอายุเท่าไหร่กัน”
“ตอนนั้นข้ายังไม่เกิด แต่แม่นาง เจ้าอย่าได้ดูถูกพลังของยันต์แปดเหลี่ยมไป ไม่กี่ร้อยปีหลังจากนั้น ทุกครั้งที่ท่านพ่อของข้าพ่ายแพ้ให้กับราชาปีศาจ เขาก็มักจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดทุกครั้ง” บุตรแห่งราชานรกลูบคางตัวเอง “ข้าจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นความจริง”
หนนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ตอบ นางเพียงแค่กระแอมให้เขาเบาๆ เท่านั้น
บุตรแห่งราชานรกกำลังติดลม มีหรือที่เขาจะยอมหยุดพูดง่ายๆ เขารีบเล่าต่อว่า “จากที่ท่านพ่อของข้าเล่ามา ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ทำตัวเหมือนหนูเวลาเจอแมวไม่มีผิด ทุกครั้งที่เขาเจอหน้าคนคนนั้น เขาจะดูหวาดกลัวอย่างมาก เฮ้อ ข้าผิดเองที่เกิดมาผิดเวลา ถ้าข้าเกิดเร็วกว่านั้นสักสองสามพันปี ข้าก็คงได้เห็นด้านขี้ขลาดตาขาวของราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่นั่นด้วยตาตัวเอง! เพียงแค่คิดข้าก็ตื่นเต้นแล้ว!”
“ถ้าเจ้าไม่กลับไปยมโลกเดี๋ยวนี้ ข้าจะทำให้เจ้าเจอเรื่องน่าตื่นเต้นยิ่งกว่านี้อีก” น้ำเสียงไร้อารมณ์ดังขึ้นจากทางด้านหลังของบุตรแห่งราชานรก บนใบหน้าสมบูรณ์แบบของเขามีรอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏอยู่ แต่ดวงตาของเขากลับฉายแสงเย็นยะเยือก
มันทำให้บุตรแห่งราชานรกหายวับไปในความมืดมิดยามค่ำคืนอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะจัดผมเผ้าให้เรียบร้อยเลยด้วยซ้ำ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังตั้งใจฟัง นางจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นธรรมดาเมื่อเห็นบุตรแห่งราชานรกกลับไปดื้อๆ เช่นนั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขาแล้วถามตรงๆ ว่า “สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอนหายใจพร้อมดึงนางเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นจึงเริ่มสอนนางว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วนี่ว่าคนของยมโลกล้วนแต่โง่เขลาเบาปัญญา ดังนั้นเจ้าจึงควรอยู่ให้ห่างจากพวกเขาเอาไว้ แต่เจ้ากลับไม่เชื่อฟังข้า ดียิ่งนัก ทีนี้เจ้าก็โง่เหมือนกับพวกเขาแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวย :… ไม่เห็นต้องพูดจาใจร้ายถึงเพียงนี้เลยนี่นา
“เช่นนั้นความจริงเป็นอย่างไรหรือ อย่างไรถ้าไม่มีไฟก็คงไม่มีควันกระมัง” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบเขาด้วยความมั่นใจ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูค่อนข้างขี้เกียจตอบคำถามนั้น “คนผู้นั้นมีตัวตนอยู่จริง แต่พวกเราไม่เคยพบกันมาก่อน”
“เอ๋?” เฮ่อเหลียนเวยเวยทำตาโต
น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงราบเรียบ “เพราะเราไม่เคยพบกันมาก่อน ดังนั้นจึงเริ่มมีข่าวลือว่าข้ากลัวนางแพร่สะพัดออกไป ราชาแห่งนรกหน้าโง่นั่นก็ดีแต่แต่งเรื่องเท่านั้น เจ้าอย่าคิดมากเลย”
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับอับจนวาจา
นางนึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แล้วเรื่องยันต์แปดเหลี่ยมอะไรนั่นล่ะ
“แต่ข้าคิดว่าคนผู้นั้นไม่ใช่คนธรมดา” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นแล้วมองมาทางนาง หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงพูดขึ้นว่า “นางค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก เพราะหายากนักที่องค์ชายจะให้การยอมรับใครสักคน
ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงมีภาพมากมายปรากฏขึ้นในหัว เช่นภาพของยอดฝีมือสองคนที่รู้จักกัน แต่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน...
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชินกับการเห็นคนที่อยู่ในอ้อมแขนตกอยู่ในอาการเหม่อลอยเป็นครั้งคราวเช่นนี้ดี เขาหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว ก่อนจะเดินนำนางออกจากลานบ้านตระกูลหวัง
ทันทีที่ประตูไม้เปิดออก เสนาบดีประจำกรมขุนนางก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับพุงยื่นๆ ของเขา เขาดูเกร็งไปทั้งตัว!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงมองเขาอย่างเย็นชา
เสนาบดีประจำกรมขุนนางหยุดยืนอยู่ข้างๆ อย่างรู้ฐานะ
เขาถามเฮ่อเหลียนเวยเวยเบาๆ ว่า “พระชายาสาม สถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“คลี่คลายได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขาไม่กล้าคุยกับองค์ชายโดยตรง หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยต่อ “นอกจากเหยียนหลิ่วเอ๋อร์แล้ว หญิงสาวคนอื่นๆ ต่างก็ไม่สามารถช่วยชีวิตได้แล้ว ศพของพวกนางอยู่ในห้องด้านหลัง และคนร้ายก็คือแม่เฒ่าหวัง คิดให้ดีก็แล้วกันว่าจะปิดคดีนี้อย่างไร”
“ฆาตกรเป็นคนแก่จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ” แม้เขาจะได้ฟังที่พระชายาวิเคราะห์คดีมากับตัว หรือแม้ความจริงจะถูกเปิดเผยออกมาเช่นนี้ แต่เสนาบดีประจำกรมขุนนางก็ยังรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่ออย่างมาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงตอบในลำคอเป็นการยืนยัน “หวังหลิงจะให้การสารภาพและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟัง หลังจากนี้เจ้าค่อยพาคนส่วนหนึ่งไปที่ตระกูลจางแล้วยึดทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขามาแจกจ่ายให้กับตระกูลที่อยู่ในซอยนี้ จำไว้ให้ดีล่ะว่าต้องเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้ให้พวกเขาฟัง นอกจากจางหลิงเอ๋อร์แล้ว พ่อแม่ของผู้เคราะห์ร้ายทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รู้ความจริง”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีประจำกรมขุนนางประหลาดใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ช่างผิดปกติอย่างมาก แม้พระชายาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ทุกคนต่างก็มองเห็นพลังปราณอันน่าสยดสยองที่ทะลักออกมาจากในนั้นได้ แต่ตอนนี้มันหายไปไหนเสียแล้ว? ใครเป็นคนจัดการกับพวกมัน?