บทที่ 693 แวดวงอริยะที่แท้จริง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 693 แวดวงอริยะที่แท้จริง

“กลุ่มอิทธิพลที่ถูกคัดเลือกสามารถเลือกบุตรแห่งมหาเคราะห์ได้เองเลยหรือ” ผานซินถามด้วยความอยากรู้

จอมอริยะเสวียนตูส่ายหน้าพลางตอบว่า “ตอนนี้ระบุจำนวนบุตรแห่งมหาเคราะห์อย่างแน่นอนไม่ได้ หากระบุตัวบุตรแห่งมหาเคราะห์แล้ว ไม่ว่าจะชั่งวัดอย่างไร ก็ยุ่งยากทั้งสิ้น เหตุใดถึงไม่มอบโอกาสให้สรรพสิ่งทั้งปวงเล่า ยุคสมัยสร้างวีรบุรุษ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นในอดีต ถูกผูกขาดโดยสำนักนิกายแห่งอริยะ”

เหล่าอริยชนพยักหน้ารับ

ตอนนี้มีอริยะมากมาย หากต้องสับเปลี่ยนหมุนวนกัน ย่อมมีอริยะที่ต้องรั้งอยู่ท้ายแถวเสมอ คิดๆ ไปแล้วก็ชวนให้ปวดร้าวนัก

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยเตือน “เมื่อถึงเวลาที่บุตรแห่งมหาเคราะห์ถือกำเนิดขึ้นมา ทุกคนสามารถรับตัวไว้ได้ แต่ห้ามบังคับฝืนใจ และห้ามข่มขู่ด้วย เช่นนี้ถึงจะดีต่อมรรคาสวรรค์ หากมีอริยะคิดวางแผน จะทำลายสมดุลอย่างแน่นอน

“พวกเราวางแผนกันมานานขนาดนี้ สมควรมานะฝึกบำเพ็ญเช่นกัน วันหน้าอริยะมรรคาสวรรค์จะไม่เป็นเพียงตัวตนสูงสุดแห่งมรรคาสวรรค์ พวกเราต้องแสวงหาความก้าวหน้าอยู่ตลอด เดินนำหน้าสรรพสิ่งไปตลอดกาล”

เหล่าอริยะได้ฟังวาจานี้ก็พยักหน้าคล้อยตาม

หานเจวี๋ยไม่ได้เอ่ยแทรกเลย แต่ยังคงเห็นด้วยกับแนวคิดของจอมอริยะเสวียนตูยิ่งนัก

การต่อสู้กันเองภายในจะทำลายความก้าวหน้าแข็งแกร่งของอริยะทั้งกลุ่ม

จอมอริยะเสวียนตูไม่พูดมากเรื่องบุตรแห่งมหาเคราะห์อีก ผู้ใดจะโดดเด่นเฉิดฉาย ฝ่าดวงชะตาอันยิ่งใหญ่ออกมา ตอนนี้ยังไม่อาจทราบได้

เหล่าอริยะเริ่มหารือว่าจะให้สำนักนิกายแห่งอริยะคนใดไปรับตัวบุตรแห่งมหาเคราะห์เข้าสู่สำนัก

เรื่องนี้ยังไม่แน่ว่าจะใช่เรื่องดี

หากสำนักดวงชะตาแห่งหนึ่งมีบุตรแห่งมหาเคราะห์ปรากฏตัวขึ้น จะตกเป็นเป้าวิจารณ์ได้ง่ายๆ ถึงแม้มหาเคราะห์จะมิได้โหดร้ายเท่าในอดีตแล้ว แต่เหล่าอริยะก็ไม่ต้องการให้สำนักที่ตนค้ำจุนต้องล่มสลายลง

ถกเถียงกันไปมา เหล่าอริยะได้เปลี่ยนจากสำนักดวงชะตาไปเป็นเผ่าพันธุ์แทน พวกเขารู้สึกว่าสำนักดวงชะตาจะก่อให้เกิดความขัดแย้งได้ง่ายๆ

สุดท้ายเหล่าอริยะจึงทำการลงคะแนนตัดสิน

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “ข้าเลือกเผ่าสวรรค์”

สือตู๋เต้ายกมือเห็นด้วย

ผานซินเอ่ยตามว่า “ข้าเลือกเผ่าเรืองนาม”

ดูเหมือนเขาจะเข้าควบคุมเผ่าเรืองนามไว้แล้ว

มหาจักรพรรดิเซียวและจิ้นเสินยกมือเห็นด้วย

อริยะที่เหลืออยู่มองหน้ากัน

หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “เผ่ามนุษย์แล้วกัน”

หลี่เต้าคง ฟางเหลียง เทพสูงสุดอู๋ฝ่า เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย ฉิวซีไหลและหวงจุนเทียนยกมือเห็นด้วย

เทพสูงสุดหนานจี๋เหลือบมองเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยแวบหนึ่ง ยังคงเลือกยกมือตาม

ผลลัพธ์ออกมาแล้ว

จอมอริยะเสวียนตูสงบนิ่ง

ผานซินมองหานเจวี๋ยด้วยความแปลกใจ ตอนแรกที่หารือกันหานเจวี๋ยมิได้เอ่ยแทรกเลย เขาหลงนึกว่าหานเจวี๋ยจะไม่สอดมือเข้ายุ่ง ไม่คิดเลยว่าคนผู้นี้จะเลือกออกมาตรงๆ

ที่สำคัญคือมีอริยะจำนวนมากเลือกเห็นชอบกับหานเจวี๋ย

เขาคิดว่ามาตลอดว่าผู้มีอำนาจออกเสียงในหมู่อริยะมากที่สุดคือจอมอริยะเสวียนตู ตอนนี้เห็นทีว่าจะมิใช่เช่นนั้นเสียแล้ว

‘เจ้าเด็กคนนี้…’

ผานซินจำเป็นต้องพิจารณาหานเจวี๋ยใหม่อีกครั้ง

หานเจวี๋ยใช้ความสามารถของระบบ ปกปิดตบะไว้ในระดับอริยะมรรคาสวรรค์ แต่ผานซินได้ยินมาว่าคนผู้นี้เป็นอริยะเสรีแล้ว

สำหรับสายตาที่มองมาของผานซิน หานเจวี๋ยไม่สนใจเลย

จอมอริยะเสวียนตูทำการตัดสิน บุตรแห่งมหาเคราะห์จะปรากฏขึ้นในเผ่ามนุษย์

ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นการถือกำเนิด หรือเป็นการกลับชาติมาเกิด นั่นก็ขึ้นอยู่กับลิขิตของมรรคาสวรรค์

หลังสิ้นสุดการหารือ หานเจวี๋ยหันหลังเตรียมจากไป

“สหายน้อยหาน คุยกันหน่อยดีหรือไม่” ผานซินเดินเข้ามาหาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

สหายน้อยหรือ?

หานเจวี๋ยยิ้มนิดๆ ขนาดจอมอริยะเสวียนตูเรียกเขาว่าสหายเต๋าหาน ผานซินผู้นี้ก็ยังคิดจะฉวยโอกาสหาประโยชน์อีก

ฉิวซีไหลเอ่ยยิ้มๆ “สหายเต๋าผาน ระวังคำพูดด้วย พวกเราล้วนเป็นอริยะเหมือนกัน มีศักดิ์เสมอกัน หากมีข่าวแพร่ออกไป พวกเราเหล่าอริยะไม่กลายเป็นตัวตลกหรอกหรือ”

พวกเจ้านิกายเทียนเจวี๋ย เทพสูงสุดอู๋ฝ่าและหลี่เต้าคงต่างก็เห็นพ้องด้วย

รอยยิ้มของผานซินแข็งทื่อไป เขาเผลอเรียกไปโดยไม่ตั้งใจ ไม่คิดเลยว่าจะถูกเหล่าอริยชนจับตามองอยู่

หวงจุนเทียนและจิ้นเสินล้วนเห็นกระจ่างแล้ว

อันสิ่งที่เรียกว่าแวดวงอริยะ มีศูนย์กลางคือเจ้าสำนักซ่อนเร้น ส่วนผานซิน ยังไม่ได้เข้าสู่แวดวงอริยะอย่างแท้จริง

หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย “สหายเต๋าผาน ข้าไม่สนใจเข้าร่วมภารกิจในมรรคาสวรรค์ หากเจ้ามีธุระสามารถหารือกับอริยะท่านอื่นได้เลย”

พูดจบเขาก็เคลื่อนย้ายกลับไปยังเขตเซียนร้อยคีรี

หานเจวี๋ยนั่งลงบนแท่นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรอีกครั้ง รู้สึกรื่นรมย์อยู่ในใจ

ความรู้สึกที่ได้เล่นงานฝ่ายตรงข้ามทั้งต่อหน้าและลับหลังช่างน่ารื่นรมย์นัก

มิน่าเล่าเหล่าอริยะถึงได้วางท่าทรงภูมิกันทั้งสิ้น

ส่วนผานซินมีความคิดอย่างไรนั้น หานเจวี๋ยคร้านจะพิจารณาแล้ว

ผานซินเปลี่ยนไปมาก แต่ไม่ช้าก็เร็วเขาจะหวนคืนฟื้นฟูสู่ปณิธานดั้งเดิม เริ่มปิดด่านฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง

เรื่องเล่นเล่ห์วางอุบายกับเหล่าอริยะ เขาไม่ได้เรื่องจริงๆ

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ตำหนักเอกภพ เขาสังเกตหวงจุนเทียนอยู่ตลอด พบว่าหวงจุนเทียนคล้ายจะไม่ได้รับผลกระทบจากสื่อหยวนหงเหมิงเลย

โลงศพของสื่อหยวนหงเหมิงยังคงตั้งอยู่ที่ห้วงอวกาศมืดมิดนอกเขตยมโลก จารึกเบิกฟ้าก็ยังตั้งตระหง่านนิ่งสงบ คาดว่านอกจากหานเจวี๋ยแล้ว คงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าสื่อหยวนหงเหมิงผสานรวมกับหวงจุนเทียน

หานเจวี๋ยไม่ได้คิดมากอีก ทำความเข้าใจมหามรรคต้นกำเนิดต่อ

….

หลังจากเหล่าอริยะกำหนดแล้วว่าบุตรแห่งมหาเคราะห์จะปรากฏขึ้นในเผ่ามนุษย์ ดวงชะตาของเผ่ามนุษย์ก็เริ่มเพิ่มสูงดั่งเรือลอยตามน้ำ สำนักนิกายแห่งอริยะแต่ละแห่งล้วนคอยสนับสนุนเผ่ามนุษย์ทั้งในทางตรงและทางอ้อม ร่องรอยของเผ่ามนุษย์เริ่มแผ่ขยายออกไป ทั่วทั้งแดนเซียนล้วนมีเมืองที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยเผ่ามนุษย์

หากเป็นไปตามแนวโน้มนี้ เผ่ามนุษย์จะถึงยุคสมัยอันรุ่งโรจน์อย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน

ในเวลานี้เอง เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลเริ่มได้รับการยอมรับจากสรรพสิ่งแล้วเช่นกัน มีผู้บำเพ็ญเดินทางมาเยือนไม่ขาดสาย ข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับฟ้าบุพกาลเริ่มแพร่กระจายออกไป

เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลมีบรรทัดฐานอยู่ ตบะต่ำกว่าระดับจักรพรรดิเซียนไม่อาจเข้าไปได้

ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่สิ่งมีชีวิตระดับต่ำกว่าจักรพรรดิเซียนไม่สามารถอยู่รอดในแดนต้องห้ามอันธการได้

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า

ราชวงศ์เผ่ามนุษย์ผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องปานหน่อไม้งอกหลังฝนพรำ จักรพรรดิมวลมนุษย์ปิดด่านอยู่ตลอด กระจายอำนาจในเผ่ามนุษย์ต่อไป ทำให้เกิดราชาและจักรพรรดิเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั่นมีสงคราม

มักจะมีผู้ที่จิตใจทะเยอทะยานไม่เห็นหัวอริยะและไม่แยแสต่อความสงบสุขสันติ ราชวงศ์ต่างขยายอาณาเขตออกไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีพรมแดนติดกับราชวงศ์อื่น ย่อมมีสงครามปะทุขึ้นอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

หานเจวี๋ยไม่ทราบถึงเรื่องราวเหล่านี้เลย หรือต่อให้ทราบ เขาก็ไม่สนใจอยู่ดี

เมื่อครบกำหนดเวลาห้าพันปี หานเจวี๋ยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

เขารับรู้ได้ว่าตนเข้าใกล้ระดับมหามรรคเข้าไปเรื่อยๆ แล้ว

เขาตั้งตารอคอยระดับมหามรรคมากขึ้นกว่าเดิม

เขาเริ่มตรวจดูจดหมายด้วยจิตใจที่เบิกบาน

….

ในส่วนลึกของฟ้าบุพกาล

สตรีชุดขาวที่ส่องแสงเจิดจ้าพร่างพราวกำลังเคลื่อนตัวไปด้านหน้า รูปโฉมนางงามพิสุทธิ์ ท่อนล่างที่อยู่ใต้กระโปรงคือหางงูท่อนหนึ่ง

เป็นเจ้าแม่หนี่ว์วา

เจ้าแม่หนี่ว์วาถือขวดหยกใบหนึ่งไว้ ตลอดทางที่เหาะลอยไป ได้เทวารีวิเศษเจ็ดสีในขวดหยกไปด้วยตลอดทาง

มีอุกกาบาตนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่ในอาณาเขตนี้ เมื่ออุกกาบาตถูกรินรดด้วยวารีวิเศษเจ็ดสีก็กลายเป็นทวีปผืนหนึ่งอย่างรวดเร็ว ดอกไม้ใบหญ้านับไม่ถ้วนเติบใหญ่งอกงาม

กระบวนการทั้งหมดนี้น่าอัศจรรย์นัก

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดเจ้าแม่หนี่ว์วาก็ร่อนลงบนแท่นศิลาแห่งหนึ่ง กลางแท่นมีบุรุษคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นฝูซีเทียน

ฝูซีเทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วยหรือ”

เจ้าแม่หนี่ว์วาส่ายหน้า เอ่ยด้วยความจนใจ “กาลเวลาไม่คอยข้า สุดท้ายแล้วแดนบรรพกาลซุกซ่อนสิ่งใดไว้ พวกเราก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ข้ามีลางสังหรณ์บางอย่าง มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่อาจจะมิได้เกิดจากเทพมารอนธการ แต่เป็นแดนบรรพกาล”

ฝูซีเทียนขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “ความหมายของเจ้าคือท่านอาจารย์หลอกพวกเราหรือ”

เจ้าแม่หนี่ว์วามิได้ตอบ

ฝูซีเทียนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

เจ้าแม่หนี่ว์วาเบี่ยงหัวข้อสนทนา “ระยะนี้มีใครบางคนกำลังฝ่าเข้าสู่ระดับมหามรรค เจ้าเดาดูเถิดว่าเป็นผู้ใด”

ฝูซีเทียนเอ่ยเสียงขรึม “ผู้บำเพ็ญที่จะมาถึงขั้นนี้ได้มีไม่มาก ผู้ที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุดน่าจะเป็นจอมเทพข่งเซวี่ยกระมัง ได้ยินว่าระยะนี้เขาไล่ตามเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่งอยู่ตลอด”

เจ้าแม่หนี่ว์วาส่ายหน้า “มิใช่ เป็นหานเจวี๋ย”

………………………………………………………………