บทที่ 674 ช่วย
บทที่ 674 ช่วย
คนแบบเถียนเสี่ยวเหอ ต่อให้พูดอะไรไปก็ไม่พอใจหรอก ยิ่งเป็นแบบนี้แล้วด้วยงั้นก็ปล่อยให้พูดออกมาเองเถอะ
มีบางคนที่ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนก็คิดว่าคนอื่นสงสารเธอ
เถียนเสี่ยวเหอเป็นคนแบบนี้แหละ
จางไฉ่อวิ๋นรู้สึกเธอผูกมิตรกับคนแบบนี้ไม่ได้ ตรงกันข้ามกับคนบ้านซูที่เป็นคนดีมาก เธอคิดว่าตนเองสนิทกับพวกเขาได้
“ถ้าเธอคิดได้ก็ดี!” ซูสี่เล่อเองก็รู้สึกว่าสะใภ้รองไม่ใช่คนดีเท่าไร
ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากสนิทกับสะใภ้รองมากเกินไป อย่างน้อยจะได้ไม่แย่ตามไปด้วย
เขาพยักหน้ารับ
หลังจากปรึกษากันแล้วเราก็ไปช่วยพวกเขา
ซูผิงอันและเถียนเสี่ยวเหอออกมาเจอคนทั้งคู่กำลังไปบ้านซู
เถียนเสี่ยวเหออารมณ์แย่ลงกว่าเดิม มือหยาบกร้านของเธอกำหมัดแน่น สองคนนี้เอาแต่ประจบสอพลอ สรุปแล้วอยู่ครอบครัวไหนกันแน่?
จางไฉ่อวิ๋นและซูสี่เล่อไม่รู้เลยว่าสะใภ้รองเห็นพวกตนเองแล้ว
ตอนเดินเข้ามาก็เจอคนคอยช่วยเหลือเยอะแยะเลย ทั้งเก็บผักล้างผัก หั่นเนื้อตุ๋นเนื้อ แล้วก็นวดแป้งนึ่งซาลาเปา…
ทุกคนทำหน้าที่อย่างขะมักเขม้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข
“ไฉ่อวิ๋น พวกเธอมาแล้วหรือ พอดีเลยตอนนี้น้ำใกล้หมดแล้ว ให้สี่เล่อไปช่วยขนหน่อยสิ” คนที่สนิทเห็นพวกเขาก็เอ่ยตรง ๆ
“ได้เลยครับ งานอื่นผมทำไม่เป็นเลย เดี๋ยวช่วยตักน้ำแล้วกัน” ซูสี่เล่อยิ้ม
“ฉันขอซอยต้นหอมแล้วกันจ้ะ ฉันทำแล้วไม่แสบตา!” จางไฉ่อวิ๋นหางานหั่นผัก
ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังหั่นหอมวางมีดทั้งน้ำตา “เร็วเข้าไฉ่อวิ๋น ตาฉันไม่ไหวแล้ว”
สะใภ้ใหญ่หยิบมีดต่อ “พี่สะใภ้ออกมานั่งพักก่อนจ้ะ เดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว!”
แม้อีกฝ่ายจะขยับออกไปคุยกับคนอื่นแล้ว แต่ก็ยังเลือกต้นหอมอย่างระมัดระวังอยู่ดี
“เธอบอกเด็กโตมาเหมือนกัน งั้นทำไมเสี่ยวเถียนถึงเก่งขนาดนั้นล่ะ?”
“ใครบอกมาเนี่ย พี่น้องบ้านนี้เข้ามหาวิทยาลัยกันหมดแล้วนะ อนาคตจะกลายเป็นคนเมืองกรุงแล้ว!”
“หลังจากนี้ไปบ้านซูจะไม่ใช่คนของหมู่บ้านเราแล้ว! ฉันอิจฉาจริง ๆ!”
คนที่กำลังคุยกันอิจฉากันมาก
แต่โชคดีที่เป็นคนจริงใจ เลยไม่ได้คิดจริงจังขนาดนั้น
“ฉันว่าจะกลับไปชวนเจ้าเด็กที่บ้านให้ไปเรียนสักหน่อย ดูบ้านซูซิ เรียนหนังสือมันดีขนาดนี้เลยนะ”
“จะมีครอบครัวไหนในหมู่บ้านที่จัดงานแต่งงานหรูหราขนาดนี้ล่ะ? ได้ยินว่างานเลี้ยงมีอาหารจานหลัก 12 อย่าง แล้วก็มีน้ำแกงด้วยนะ”
“แล้วใครเป็นคนทำล่ะ?” มีคนหนึ่งสงสัย
อาหารจานหลัก 12 อย่าง น้ำแกงอีก 1 อย่างหมู่บ้านเราเรียกสือซานฮวา เป็นงานเลี้ยงที่ดูมีหน้ามีตามากกว่าอาหารจานหลัก 8 อย่างมาก
คนจนแบบเรา ๆ ไม่ยินดีจะเตรียมอาหารเยอะขนาดนี้หรอก แถมถ้าอาหารเยอะขนาดนี้ซองแดงก็ต้องเยอะขึ้นด้วยสิ
ไม่รู้แม่ครัวบ้านไหนหาเงินเก่งขนาดนี้!
“ต้าหง เธอบื้อไปแล้วเรอะ? บ้านซูเขาเปิดร้านอาหารในเมืองหลวงนะ ก็ต้องเป็นคนทำอาหารอยู่แล้วสิ”
ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าต้าหงเพิ่งนึกขึ้น
“ดูฉันซิ ลืมไปหมดแล้ว”
“ว่าก็ว่าเถอะ การเรียนหนังสือก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ อนาคตมีงานดี ๆ ทำ ได้แต่งงานกับสะใภ้ดี ๆ ด้วย” มีคนหนึ่งเอ่ยด้วยความตื้นตันใจ
“ก็จริงนะ สะใภ้โส่วเวินเก่งกว่าคนในหมู่บ้านเราอีก!”
“เมื่อวานเธอเพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือว่าอ่อนแอไปหน่อยน่ะ!”
“อ่อนแอแต่ก็หน้าตาดีไม่ใช่หรือไง? แต่วางแผนมีครอบครัวกันแล้วนะ มีลูกสักคนสองคนต่อให้อ่อนแอก็ไม่สำคัญหรอก!”
ทุกคนหัวเราะคิกคัก
คุณย่าซูที่พาลูกสะใภ้ทำทั้งงานในงานนอกตอนนี้ยิ้มหน้าบานเลย โดยเฉพาะตอนได้ยินคนในหมู่บ้านชมลูกหลานครอบครัวเธอ แกมีความสุขจริง ๆ!
“ฉันรู้สึกว่าหลายปีมานี้ทุกคนที่สนิทกับบ้านซูชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ?” จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
และมันทำให้คนอื่น ๆ คิดเช่นกัน
หลี่จู้จื่อที่เป็นโรคเกลื้อนบนหัวในตอนนั้นหาภรรยาแต่งงานไม่ได้เลย แต่พอสนิทกับคนบ้านซู ชีวิตตอนนี้ดีขึ้นขนาดไหนล่ะ?
ตอนนี้พวกเขาทั้งซื้อบ้านและเปิดร้านค้าในอำเภอแล้วด้วย
ดูเถาฮวาที่หย่ากับสามีสิ เรื่องของเธอกลายเป็นเรื่องตลกไปกี่หมู่บ้านกัน? แต่ตอนนี้ได้แต่งงานกับคนในเมือง แถมใช้ชีวิตผาสุกที่เมืองหลวงอีก
หม่านซิ่วอีกคน ตอนนี้เธอมีชีวิตที่ดีมาก
สามีเธอตอนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงแล้ว เธอหลายเป็นภรรยาข้าราชการแล้วนะ
“ที่พี่สะใภ้พูดก็จริงค่ะ”
“ส่วนคนที่ไม่อยากเห็นบ้านซูได้ดี บอกคนบ้านซูไม่ดีงั้นงี้ก็เหมือนไปไม่รอดสักคน”
ทุกคนรู้ว่าหมายถึงใคร
ตอนบ้านซูให้เถียนเสี่ยวเหอเปิดร้านในเมือง ผู้หญิงคนนั้นไม่เต็มใจจะแบ่งกำไรให้ 20% สักนิด แถมยังบอกบ้านซูเป็นพวกนายทุนและหมายจะเอาไปรายงานด้วย
แล้วดูฟาร์มตอนนี้ที่รับช่วงต่อมาสิ มีแต่เสียเงินทั้งนั้น แต่เพราะจางไฉ่อวิ๋นอยู่ตรงนี้ด้วย ทุกคนเลยไม่กล้าพูด เพราะยังไงก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่ พ่อสามีเธอก็ยังเป็นหัวหน้าหมู่บ้านด้วย!
“ไฉ่อวิ๋น ลูก ๆ บ้านเธอกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้ใช่ไหม? ให้ลูกสาวเรียนด้วยหรือเปล่า?” มีคนหนึ่งหัวไวนึกถามเรื่องนี้
“ทำไมจะไม่ให้เรียนล่ะ ดูเสี่ยวเฉ่าสิ เรียนจบแล้วกำลังจะไปทำงานในเมืองนะ จวิ้นไห่ก็ต้องได้เรียนเหมือนกัน” จางไฉ่อวิ๋นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
เธอไม่มองคนอื่นนอกจากน้องสามีเลย และรู้อยู่เต็มอกว่าเรียนหนังสือดีกว่าเยอะ
“ในอนาคตเสี่ยวเฉ่าจะอยู่ในเมือง มีงานทำ มีสามี ไม่รู้เลยว่ามันดีขนาดไหน!”
คนพูดคือสะใภ้ใหญ่บ้านฉาง พอเห็นลูกสาวบ้านอื่นมีงานทำก็นึกเสียใจ ทำไมรักลูกชายมากกว่า ไม่ยอมให้ลูกสาวไปเรียนหนังสือ ไม่งั้นคงจะได้เห็นความหวังแล้ว!
“ก็ตอนนั้นเธอไม่ยอมให้ลูกสาวเรียนตั้งแต่แรกนี่ ตอนนี้เลยมาเสียใจไงล่ะ!”
“ฉันเสียใจจริง ๆ นะ ต้องบอกลูกสาวแล้วว่าถ้ามีลูกเมื่อไรให้เรียนหนังสือด้วย อย่าทำแบบฉันอีก!” เธอยอมรับความผิดอย่างจริงใจ
“ลูกอีกสองคนยังมีเวลา ดูแลให้ดีและให้เขาเรียนหนังสือซะ อนาคตถึงจะเทียบลูกหลานบ้านซูไม่ได้ แต่ดีกว่าพวกเราแน่นอน”
“จะไปกล้าเทียบกับเด็กบ้านซูได้ยังไงเนี่ย พวกเขาโดดเด่นกว่าคนอื่นอีกนะ ฉันแค่หวังว่าเขาจะเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ในอนาคตได้ก็พอ”
หลายปีที่ผ่านมา หมู่บ้านหนานหลิ่งผลิตนักศึกษาออกมาได้เพียบเลย แต่พวกผู้หญิงที่รู้เรื่องมหาวิทยาลัยกับเป็นนักศึกษามันต่างกันมากนะ คนละชั้นเลย