บทที่ 567 การต่อสู้ของสองสำนักในดินแดนเทวะเทวะมัชฌิมา ภูเขาวิญญาณกำลังนั่งก่อกวน (1)
“ศิษย์พี่~”.
เมฆสีขาวกระจาย สลายตัวไปช้าๆ และเด็กสาวในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนก็ลอยไปตามสายลมในป่า และร่อนลงมาที่หน้าประตูหอโอสถเบาๆ อย่างสง่างาม
หลี่ฉางโซ่วนอนอยู่บนเก้าอี้โยก และเอามือโบกพัดปู๋ช่าน[1]อย่างสบายๆ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกสบายใจและเงียบสงบ
หลิงเอ๋อร์กะพริบตา และขณะที่นางกำลังจะถามศิษย์พี่ของนางว่ามีเรื่องใดน่ายินดีหรือไม่ นางก็ได้ยินข้อความเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เพียงเผื่อไว้ ห้ามคิดถึงเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งที่ข้าทำนอกสำนักในอนาคต ศัตรูในยามนี้ไร้ยางอายมากขึ้น และพวกเขาก็มีความสามารถในการฟังความคิดของผู้คน
ระดับฐานพลังของเจ้ายังต่ำเกินไป หากเจ้ามีความคิดวอกแวกว้าวุ่นใดๆ ผู้อื่นก็อาจได้ยินความคิดที่ทำให้ใจว้าวุ่นนั้น แม้ส้นเท้า[2]ของพวกเราจะยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ก็มีความเสี่ยงสูงถึงสามถึงสี่ในร้อยส่วนที่จะถูกเปิดเผยแล้ว พวกเราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ”
ไม่อาจทำได้แม้แต่จะคิดถึงมันหรือ?
ดูเหมือนว่าจะทำได้ยากยิ่ง
อืม เช่นนั้น ศิษย์พี่หมายความว่า… ขอบเขตเซียนเทียนเทียบเท่ากับระดับฐานพลังที่ต่ำเกินไปหรือ?
“เจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์ตอบกลับอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะเอามือเล็กๆ ไพล่ไว้ด้านหลังและก้าวไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นก็ถามผ่านการส่งข้อความเสียงอีกครั้งว่า “ศิษย์พี่ แล้วหากข้าอดคิดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้…”
“เช่นนั้นก็ไปที่ห้องลับใต้หอโอสถ” หลี่ฉางโซ่วส่งข้อความเสียงว่า “ข้าเพิ่งสร้างค่ายกลเวทล้อมรอบห้องลับเพื่อปกปิดความลับสวรรค์”
หลิงเอ๋อร์ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มเฉยไม่เอ่ยอะไรสักคำ เขาหรี่ตาและโบกพัดปู๋ช่านช้าๆ
หลิงเอ๋อร์แอบทำหน้าบูดบึ้ง และวิ่งไปเอาเบาะที่หอโอสถ จากนั้นนางก็นั่งขัดสมาธิและเข้าฌานไปเรื่อยๆ โดยมีประตูแยกศิษย์พี่และนางจากกัน
ชายเสื้อสีเขียวและขาวของนางตกลงมารอบกายนาง นางดูเหมือนดอกบัวที่ค่อยๆ แย้มบาน เส้นผมสลวยสวยงามของนางสยายลงมาทางด้านหลังหน้าอกของนาง และปลายผมของนางก็พลิ้วไหวส่ายไปมาเบาๆ ตามสายลม…
สองสามอึดใจต่อมา… หลิงเอ๋อร์ก็ใช้วิชาจากบรรพชนของนาง ส่งข้อความเสียงไปหาหลี่ฉางโซ่วว่า “ศิษย์พี่ วันนี้ท่านว่างกะทันหันหรือเจ้าคะ?”
“ว่างหรือ?”
หลี่ฉางโซ่วโบกมือซ้าย แล้วกาน้ำชาสีแดงก็ลอยออกมาจากหอโอสถ เขาจิบมันเข้าปากและทุบมันสองครั้ง
“หากข้าว่าง ข้าจะมานอนอาบแดดที่นี่ได้อย่างไร? ข้าคงหลอมโอสถนานแล้ว มันเป็นเพียงความสงบก่อนเกิดพายุ ข้าต้องสงบใจและรอการพัฒนาที่ตามมาต่อไป
เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากำลังมองดูวังอวี่ซวีแห่งเขาคุนหลุนจากระยะไกล หอสมบัติหลิงเซียวแห่งศาลสวรรค์และเกาะเต่าทองแห่งทะเลทักษิณโดยใช้ความคิดของข้า? และบางครั้ง ข้าก็ยังต้องดูแดนยมโลกอีกด้วย ข้ายุ่งมาก”
หลิงเอ๋อร์อดจะกล่าวด้วยความประหลาดใจไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ ความจริงแล้ว ตอนนี้ท่านยังสามารถท่องบทกวีได้อยู่!”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันใด
“หุบปากได้แล้ว ข้ามีงานยุ่ง”
“เจ้าค่ะ!”
หลิงเอ๋อร์แอบทำหน้าบูดบึ้งที่ด้านข้างในขณะที่หลี่ฉางโซ่วหันศีรษะลับมาแล้วชำเลืองมองนาง หลิงเอ๋อร์พลันกลับมานั่งตัวตรงทันที และเข้าสู่สภาวะเข้าฌานเพื่อฝึกบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว
หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้ม และขณะที่เขากำลังจะเพ่งจิตสนใจไปที่แขนเสื้อของหวงหลงเจินเหรินในวังอวี่ซวีแห่งเขาคุนหลุน สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาก็จับร่างที่คุ้นเคยสองร่างซึ่งบินออกมาจากยอดเขาพิชิตสวรรค์และพุ่งไปที่ประตูภูเขาของสำนักได้
โหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งเพิ่งออกจากยอดเขาพิชิตสวรรค์ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการ และบินออกจากประตูภูเขาของสำนักไปพร้อมกับเจียงจิ่งชาน อาจารย์ของนาง …
หลังจากนั้นก็มีผู้อาวุโสสองคนและผู้บริหารสำนักสามคนบินออกมาจากยอดเขาพิชิตสวรรค์ทันที แล้วบินออกจากประตูภูเขาไปเพื่อเข้าร่วมกับโหย่วฉินเสวียนหย่าและอาจารย์ของนาง จากนั้นก็ขี่เมฆไปในทางทิศใต้ด้วยกัน
หลี่ฉางโซ่วก็งงงวยเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น
แต่ในขณะนั้นเขายังคงยุ่งอยู่กับการต่อสู้ระหว่างสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน สำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย สำนักบำเพ็ญประจิม และศาลสวรรค์ เขาจึงไม่อาจให้ความสนใจกับสหายศิษย์ของเขาได้อีก
เขาจึงตัดสินใจสอบถามในภายหลัง
หลี่ฉางโซ่วสงบจิตใจของเขาและเพ่งจิตจดจ่อไปที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในแขนเสื้อของหวงหลงเจินเหริน…
……
เวลานี้หวงหลงเจินเหรินได้กลับไปที่วังอวี่ซวีเป็นเวลาสองสามชั่วยามแล้ว
เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยและเดินไปมาในห้องโถงที่เขากำลังฝึกบำเพ็ญ ทั้งยังทำแจกันล้ำค่าแตกสองใบอีกด้วย
มังกรผู้ซื่อสัตย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน ได้แค่นเสียงคำรามออกไปแล้วหกครั้ง ทั้งกัดฟันหลายครั้ง และกระทืบเท้านับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันหมายถึง ‘ยิ่งคิดถึงมันมากเท่าใด ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคิดถอยหนึ่งก้าว ก็ยิ่งเสียหายมากขึ้น’…
นอกจากนี้หลี่ฉางโซ่วยังคงคอยให้คำแนะนำว่า “ท่านต้องดึงดูดความสนใจผู้อื่นเพื่อแสดงออกให้ดูเหมือนว่าท่านต้องการให้ผู้อื่นฟังท่าน แต่ท่านไม่อาจบังคับตัวเองให้พูดได้ นั่นจะสมจริงที่สุด…”
“โดยปกติแล้ว ควรแสดงอารมณ์เพียงหนึ่งส่วนเท่านั้นและเก็บอารมณ์เก้าส่วนเอาไว้ อย่าคิดโน้มน้าวให้ผู้อื่นสนใจด้วยวิธีเพียงหนึ่งส่วนนี้ ท่านต้องใช้ตัวตนของท่าน… การใช้เสียงคำรามของท่านนั้น ไร้ประโยชน์ ดวงตาเป็นสิ่งสำคัญมาก”
แม้ว่าหวงหลงเจินเหรินจะรู้สึกว่าเทพวารีนั้น พิถีพิถันมากเกินไป แต่ครั้นเมื่อคิดพิจารณาละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่เทพวารีเอ่ยออกมานั้น มีเหตุผล
ในที่สุด หวงหลงเจินเหรินที่กระสับกระส่ายไม่สบายใจก็ดึงดูดความสนใจของบรรดาสหายศิษย์ร่วมสำนักของเขาได้ …
คนแรกที่มาถึงก็คือ ฉื้อจิ้งจื่อ ซึ่งอยู่ในอันดับที่สองในบรรดาสิบสองเซียนจิน
นักพรตเต๋าชรา สวมเสื้อคลุมเต๋าสีน้ำตาลและดูผอมกว่าเมื่อก่อน เมื่อเขามาถึงห้องโถงของหวงหลงเจินเหริน ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความสับสน
“ศิษย์น้อง เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ?”
หวงหลงเจินเหรินยืนเอามือไพล่หลัง พลางเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจ ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย เขาอยากมองฉื้อจิ้งจื่อ แต่ก็เบือนหน้ามองไปทางอื่น ดวงตาของเขาเปียกชื้นคลอเบ้าเล็กน้อย…
ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็คิดว่า ท่านไปไกลเกินไปแล้ว ทำเกินไปแล้ว ท่านปรมาจารย์หวงหลง!
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉื้อจิ้งจื่อก็รีบกล่าวว่า “เป็นเพราะเจ้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับดวงตาแห่งท้องทะเลบูรพาใช่หรือไม่? เจ้ากำลังเข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียร เจ้าอย่าได้โทษตัวเองเลย”
ทันทีที่ฉื้อจิ้งจื่อกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา หวงหลงเจินเหรินก็เผยท่าทีละอายใจ แล้วเขาก็เข้าถึงขอบเขตที่อารมณ์ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ จนไม่อาจแยกแยะระหว่างจริงและเท็จได้แล้ว
“เฮ้อ!”
หวงหลงเจินเหรินถอนหายใจอย่างสลดใจและกล่าวว่า “ข้าไม่อาจช่วยเผ่ามังกรได้ ข้าได้ละทิ้งสายเลือดสืบสานนี้ แถมวันนี้ข้ายังถูกบรรดาศิษย์พี่น้องแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยดูถูกด่าว่าอีก ข้าจึงรู้สึกหดหู่ใจยิ่ง!”
“เกิดอันใดขึ้น?”
ฉื้อจิ้งจื่อรีบเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวอย่างจริงจังว่า “พวกเขายังดูถูกเหยียดหยามเราอีกด้วย? เรื่องของเผ่ามังกรเกี่ยวอันใดกับสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยเล่า!?!”
“มันไม่เกี่ยวกับเผ่ามังกรหรอก… เฮ้อ!”
“ศิษย์น้องหวงหลง บอกข้ามาให้ละเอียดเถิด หากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยรังแกผู้คนมากเกินไป พวกเราก็ต้องไปหาพวกเขาเพื่อขอคำอธิบายอย่างแน่นอน!”
………………………………………………………………..
[1] พัดที่ทำจากใบปาล์ม
[2] ร่องรอย และยังหมายถึงภูมิหลังด้วย