บทที่ 700 พูดแล้วห้ามคืนคำ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 700 พูดแล้วห้ามคืนคำ

บทที่ 700 พูดแล้วห้ามคืนคำ

“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน อย่าเพิ่งโมโหได้หรือไม่? ระวังกระทบลูกในท้องด้วย!”

ครั้นเจี่ยงเถิงเห็นหลินซือมีอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นแดงก่ำจึงรีบยื่นมือออกไปเตรียมประคองหลินซือไว้

แต่กลับถูกหลินซือยกมือกันออก แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเสียใจ “ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าทำเพื่อลูก ท่านเห็นหรือไม่ว่าตอนนี้ท่านใส่ใจลูกในท้องมากกว่า? ไฉนเลยจะมาใส่ใจข้า?”

ก่อนหน้านั้นเจี่ยงเถิงได้ยินหมอกล่าวไว้ว่าหญิงสาวในช่วงตั้งครรภ์จะมีอารมณ์อ่อนไหวและกังวลได้ง่าย ดังนั้นอารมณ์ของหลินซือในตอนนี้ เจี่ยงเถิงรู้ดีว่ากำลังตกอยู่ในความรู้สึกไหน

เขาจึงรีบข่มอารมณ์ของตัวเอง อธิบายให้หลินซือฟังอย่างละเอียด “ฮูหยิน ขอโทษนะ ที่ข้ามองข้ามความรู้สึกของเจ้า ข้าแค่เป็นห่วงลูกในท้องกลัวจะได้รับความกระทบกระเทือนเท่านั้น เจ้าวางใจได้ว่าหลังจากนี้ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี แล้วก็ความรู้สึกของลูกด้วยดีไหม? จะไม่มองข้ามใครทั้งนั้น”

“ข้าไม่เอา!”

คำตอบของเจี่ยงเถิง หลินซือยังไม่พอใจมากนัก กระทั่งปฏิเสธอย่างหัวรั้นกลับไป

“ในสายตาของท่าน ลูกและข้าสำคัญเหมือนใช่หรือไม่?”

ตอนนี้หลินซือกำลังระบายอารมณ์กับลูกน้อย ต้องการแข่งขันกับเจี่ยงเถิง อยากรู้ว่าตกลงแล้วลูกสำคัญกว่าหรือนางที่สำคัญกว่า

นี่เป็นคำถามชี้ชะตาเชียวนะ เจี่ยงเถิงถึงกับไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ

เขารู้ว่าตัวเองอยากตอบว่าลูกและหลินซือสำคัญพอกัน แต่คงทำให้หลินซือไม่พอใจอย่างแน่นอน

“แน่นอนว่าฮูหยินสำคัญต่อข้าที่สุด เจ้าคือคนที่ข้าอยากจะจับมือถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ถ้าลูกโตขึ้น เขาก็คงไปสร้างครอบครัวของตัวเอง ข้าเข้าใจแล้ว ก่อนหน้านั้นข้าผิดเอง ตอนนี้ข้าขอโทษเจ้าได้หรือไม่? เรากลับจวนกันเถอะนะ”

สุดท้ายเจี่ยงเถิงก็ทำการตัดสินใจ ซึ่งในใจเขาคิดเสมอว่าหลินซือสำคัญที่สุด

จนในที่สุดสีหน้าของหลินซือก็ดีขึ้น

แต่กลับไม่ได้ทำให้หลินซือพอใจมากนัก กระทั่งเห็นหลินซือกุมท้องตัวเองพลางเอ่ยต่อว่า “แล้วต่อไปท่านจะกักขังข้าไว้ในจวนทุกวันอีกหรือไม่ จะห้ามไม่ให้ข้าออกจากจวนอีกหรือไม่?”

“ไม่แล้วล่ะ เจ้าอยากออกไปที่ใดก็ออกไปได้เลย แต่ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อว่า เจ้าต้องพาคนติดตามเจ้าไปด้วย” เจี่ยงเถิงเลือกถอยหลังหนึ่งก้าว แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาความปลอดภัยให้แก่หลินซืออย่างเข้มงวด

หลินซือเห็นด้วยกับวิธีการนี้ จึงพยักหน้าอย่างพอใจ

“แล้วถ้าข้าอยากกินอาหารเผ็ดล่ะ ท่านจะห้ามไม่ให้ข้ากินอีกหรือไม่?”

เจี่ยงเถิงจะไม่ตอบคำถามนี้ได้อย่างไร เขาส่งสัญญาณว่าได้ แต่อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

“ข้ารู้ว่าไม่ใช่แค่ท่านหรอกที่เป็นห่วง ข้าเองก็เป็นห่วงลูกในท้องด้วย ข้าจะกินในปริมาณที่เหมาะสม”

เรื่องนี้ทำให้หลินซือรู้สึกเบิกบานใจไม่น้อย ไม่ได้คะยั้นคะยอต่อ ก่อนจะเดินเข้ามาจูงมือของเจี่ยงเถิงกลับจวน

แต่กลับไม่คิดว่าเจี่ยงเถิงจะดึงปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งออกมาจากใต้แขนเสื้อ แล้วยื่นมาตรงหน้าของนาง บนปิ่นปักผมชิ้นนั้นถูกประดับด้วยหงส์ที่เตรียมจะโผทะยาน

เป็นงานฝีมือที่ละเอียดประณีตมาก หลินซือมองเจี่ยงเถิงตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ

“นี่คือของที่ข้าทำเองกับมือ ตอนนี้เจ้าตั้งครรภ์คงจะลำบากน่าดู แถมข้ายังมองข้ามความรู้สึกของเจ้าอีก ข้าเลยอยากมอบสิ่งนี้ให้เจ้า”

ครั้นเห็นเจี่ยงเถิงกล่าวด้วยท่าทีจริงใจ ในใจของหลินซือจะโกรธเขาต่อได้อย่างไร ตอนนี้ทั้งสองคนต่างก็พูดเปิดใจกันแล้ว

ประกอบกับของขวัญที่เจี่ยงเถิงทำมันด้วยตัวเองเพื่อมอบให้นาง ต่อให้หลินซือจะใจแคบเพียงใดก็ไม่อาจโกรธเจี่ยงเถิงได้ลง

“งั้นตอนนี้ท่านใส่ให้ข้าได้หรือไม่?”

ครั้นได้ยินคำพูดของหลินซือ เจี่ยงเถิงจึงรู้ว่าตอนนี้นางคลายความโกรธลงแล้ว จึงรีบถือปิ่นปักผมชิ้นนั้นมาข้างกายของหลินซือ แล้วปักลงบนมวยผมของนางอย่างเบามือ

“ฮูหยินของข้างดงามที่สุด”

ครั้นได้ยินเจี่ยงเถิงแสดงความในใจอย่างไม่ลังเล หลินซือรู้สึกหวานเยิ้มในใจ

แต่หลังจากนั้นก็นึกได้ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในที่สาธารณะ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่

ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างได้ยินบทสนทนาชวนเลี่ยนของทั้งสองคน แล้วแสดงพฤติกรรมแตกต่างออกไป

หลินซือขวยเขินจนหน้าแดงก่ำ รีบลากเจี่ยงเถิงเดินไปยังประตูใหญ่ ก่อนจะเอ่ยกับเขาว่า “ท่านทำอะไร มาพูดจาหวานเลี่ยนกลางวันแสก ๆ คนอื่นได้ยินเข้ามันไม่งามรู้หรือไม่?”

เจี่ยงเถิงกระตุกยิ้มมุมปาก แล้วดึงหลินซือมาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะกระซิบข้างหูนางแผ่วเบา “ความหมายของเจ้าคือรอให้ค่ำก่อนแล้วค่อยพูดกับเจ้าในรังรักของเราใช่หรือไม่?”

ใบหน้าของหลินซือยิ่งแดงก่ำมากขึ้น กระทั่งรีบผลักเจี่ยงเถิงออกไป “ท่านนี่มันไม่รู้จักกาลเทศะจริง ๆ”

ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินเข้าไปในจวน

เจี่ยงเถิงรีบเดินตามไป หยิบเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองมาคลุมไหล่ให้หลินซือ “ระวังหนาว”

“อื้อ”

หลินซือกระตุกมุมปากเล็กน้อย คลี่ยิ้มอันหวานหยาดเยิ้ม

“แต่วันนี้เหตุใดท่านถึงกลับมาเร็วนักล่ะ?”

จู่ ๆ หลินซือก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ เอ่ยถามเจี่ยงเถิงที่อยู่ถัดไปด้วยความประหลาดใจ คิดว่าเวลาออกว่าราชการในวันปกติมักกินเวลายาวนาน วันนี้เขากลับจวนตั้งแต่ยังไม่ค่ำ

“จู่ ๆ ก็มีบางคนวิ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าเป็นห่วงกลัวว่าใครบางคนจะเกิดเรื่อง ทางนั้นต่อให้ข้ามีเรื่องสำคัญมากเพียงใด ข้าก็ต้องรีบกลับมา”

เจี่ยงเถิงตั้งใจพูด น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน หลินซือยิ้มด้วยความลำบากใจ กระทั่งเป็นฝ่ายยื่นมือออกไป แล้วควงแขนของเจี่ยงเถิง

“ท่านวางใจเถอะ เราจะปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่ อีกอย่างไม่ใช่เพราะท่านเอาแต่ขังข้าอยู่แต่ในจวนมาตลอดหรอกหรือ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่แอบหนีออกไปหรอก วางใจเถิด ต่อไปข้าจะไม่ทำแล้ว จะไม่ถ่วงเวลางานของท่านทั้งนั้น งั้นท่านรีบกลับไปดูงานของท่านเถอะ”

เจี่ยงเถิงยื่นมือออกไปเขกศีรษะของหลินซืออย่างแผ่วเบา แล้วมองหลินซือด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เรื่องนี้เจ้าวางใจเถอะ ทางนั้นไม่มีเรื่องอะไรสำคัญนักหรอก สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้สำหรับข้าก็คือการอยู่กับฮูหยิน เจ้าต้องกินมื้อค่ำเยอะ ๆ”

“งั้นข้าขอกินเนื้อผัดเผ็ด!”

หลินซือสั่งรายการอาหารด้วยความดีใจ

“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เจ้าไปโรงเตี๊ยมเมื่อตอนเที่ยงวันนี้นะ อีกทั้งยังสั่งอาหารจานเผ็ดเต็มโต๊ะ วันนี้ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ากินแล้ว กินวันละจานก็พอ”

ครั้นเห็นเจี่ยงเถิงกลับมาแสดงท่าทีขึงขังเหมือนเปาปุ้นจิ้น หลินซือได้แต่ทอดถอนใจอย่างจนปัญญา “งั้นก็ได้”

หลินซือมองดูอาหารมื้อค่ำตรงหน้า มีแต่ความหวานความเค็มแต่ไม่มีเผ็ดสักนิด

นางจึงอดทอดถอนใจไม่ได้ กระเพาะไม่เจริญอาหารอีกแล้ว สมองตอนนี้เต็มไปด้วยอาหารจานเผ็ดเต็มโต๊ะที่ได้กินเมื่อตอนเที่ยงวันของวันนี้

ครั้นเห็นท่าทางเช่นนี้ของหลินซือ เจี่ยงเถิงตกอยู่ในสความคิดชั่วคู่ และแล้วก็นึกความคิดดี ๆ ออก จากนั้นก็คีบลูกชิ้นเนื้อใส่ชามของนาง

“เจ้าต้องกินลูกชิ้นเนื้อลูกนี้ให้หมด ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า เจ้าต้องดีใจมากแน่นอน”

หลินซือมองเจี่ยงเถิงด้วยความประหลาดใจ แต่สุดท้ายก็กินลูกชิ้นเนื้อในชามนั้นจนหมด จากนั้นก็ปรายตามองเขาด้วยแววตาเปล่งประกาย

“เรื่องอะไร?”

“อีกสองสามวันอากาศดี ข้าจะพาเจ้าออกไปเดินเล่นพร้อมกับสักการะในอารามบนภูเขาเป็นอย่างไร? แบบนี้เจ้าจะได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกด้วย”

ครั้นหลินซือได้ยินคำพูดของเจี่ยงเถิงจบลง ใบหน้าก็แต้มรอยยิ้มออกมาทันที

“เจ้าพูดแล้วห้ามคืนคำเด็ดขาดนะ!”

——————————————–