บทที่ 702 พาเจ้าไปชื่นชมทิวทัศน์แห่งต้าเหยียน
บทที่ 702 พาเจ้าไปชื่นชมทิวทัศน์แห่งต้าเหยียน
“อ๊ากกกก”
เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของหลินซือดังออกมาจากข้างในอย่างต่อเนื่อง โดยที่เจี่ยงเถิงยืนกระวนกระวายใจอยู่ข้างนอก
ผู้คนไม่น้อยที่ยืนออกันอยู่หน้าประตูต่างมีสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน
แต่มีแค่เจี่ยงเถิงคนเดียวที่ร้อนใจที่สุด หน้าผากที่ดูร้อนใจนั้น บัดนี้เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองผุดพรายราวกับคนที่ให้กำเนิดเด็กน้อยไม่ใช่หลินซือแต่เป็นเขา
เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดของหลินซือเหมือนกับมีดที่ปักลงมากลางใจของเจี่ยงเถิง
เขารู้สึกแค่ว่าหัวใจของตัวเองถูกถูกบีบรัดเข้าหากันอย่างรุนแรง
หมอตำแยภายในห้องคลอดนั่งล้อมอยู่ข้างเตียง แต่ละคนก็ช่วยกันให้กำลังใจหลินซือ
“ฮูหยินสู้ ๆ ตอนนี้เห็นหัวเด็กแล้วเจ้าค่ะ อีกแค่นิดเดียวเด็กก็จะคลอดออกมาแล้ว ฮูหยินจะไม่ทรมานแบบนี้อีกแล้ว ออกแรงอีกนิดเจ้าค่ะ”
หลินซือกัดฟันแน่นพยายามรวบรวมพลังทั้งหมดที่มี แล้วเตรียมเบ่งลูกน้อยในท้องออกมา
แต่ไม่ว่าหลินซือจะทำอย่างไรก็หมดหนทาง
ผลลัพธ์ปรากฏว่า ในเวลานี้ หลินซือรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เหมือนโดนกระชากร่างแผ่ขยายมาจากร่างกายท่อนล่างอย่างฉับพลัน เดิมทีร่างกายท่อนล่างก็เจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว จู่ ๆ ตอนนี้ความเจ็บปวดนี้ก็กำเริบขึ้นทวีคูณ
หลินซือเจ็บปวดจนแทบสลบ หากแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ส่วนพวกสาวใช้ที่อยู่ข้างกายถึงกับทำอะไรไม่ถูกรีบหยิบโสมชิ้นหนึ่งขึ้นมายัดใส่ปากของหลินซือ
“ฮูหยินอมโสมนี้ไว้ใต้ลิ้นนะเจ้าคะ ท่านห้ามเป็นลมเด็ดขาด ถ้าจะเป็นลม ท่านและลูกจะเป็นอันตรายถึงชีวิต”
หลินซือพยักหน้าบ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจ นางจะไม่มีวันเป็นลมเด็ดขาด
ตอนนี้นางยังไม่อยากตาย ถ้าตายไปเจี่ยงเถิงจะมีชีวิตอยู่ใต้หล้านี้ต่อไปเพียงลำพังได้อย่างไร หลินซือไม่กล้าคิด ดังนั้นนางต้องมีชีวิตอยู่ให้จงได้
ลูกก็ต้องมีชีวิตรอดออกมา ลูกและนางจะต้องปลอดภัย
“ไม่ได้การแล้ว ฮูหยินเสียเลือดมากเกินไป ดูท่านางกำลังตกเลือดแล้ว”
หมอตำแยอีกคนตะโกนขึ้นอย่างร้อนใจ ทุกคนต่างชุลมุนกันชั่วขณะ การตกเลือดนี้เป็นข้อห้ามอย่างใหญ่หลวง สำหรับสตรีตั้งครรภ์ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก
ถ้าทำไม่ดี นั่นมันสองชีวิตเลยนะ ดังนั้นตอนนี้ต้องให้ผู้เป็นแม่และครอบครัวของฝ่ายหญิงทำการตัดสินใจ
ถ้าเลือกแม่ก็ต้องทิ้งเด็ก ถ้าอยากให้เด็กรอดแม่อาจสิ้นใจ
เหล่าหมอตำแยปรึกษาหารือกันในตอนสุดท้าย จากนั้นก็รีบออกไป
“เกิดอันใดขึ้น!” ครั้นเจี่ยงเถิงเห็นหมอตำแยเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก็รีบรุดหน้าเข้าไปถามเรื่องนี้ทันที
“พวกเจ้ารีบบอกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดตอนนี้ถึงยังไม่คลอดออกมาอีก? คลอดยากใช่หรือไม่?”
เหล่าหมอตำแยส่ายหน้า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ร้ายแรงยิ่งกว่าคลอดยาก ฮูหยินเสียเลือดมาก”
“ว่าอย่างไรนะ?” คนอื่นต่างพากันมองเหล่าหมอตำแยด้วยความประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจี่ยงเถิงตกใจถึงกับถอยหลังหนึ่งก้าว
เขาตระหนักถึงเรื่องการให้ความสำคัญกับสตรีที่ตั้งครรภ์มาก ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าการตกเลือดนี้คือความร้ายแรงที่สุดของเรื่องนี้
“ได้โปรดนายท่านทำการตัดสินใจด้วยว่า อยากจะเก็บแม่หรือเด็กไว้?”
หมอตำแยคนนี้เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยอีกคนก็เร่งเร้าขึ้นมา
“จริงสิ เป็นเด็กผู้ชาย เห็นหัวแล้วจึงมองออกว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”
หมอตำแยตระหนักได้ว่าครอบครัวใหญ่เช่นนี้จะต้องให้ความสำคัญกับเด็กผู้ชายอย่างแน่นอน เกรงว่าต้องสละชีวิตของผู้เป็นแม่เพื่อลูก
กลับคาดไม่ถึงว่าทันทีที่เจี่ยงเถิงได้ยินประโยคของพวกเขา ราวกับไม่เคยได้ยินว่าเด็กที่หลินซือให้กำเนิดออกมาคือเด็กผู้ชาย จึงตอบกลับไปโดยไม่คิดไตร่ตรองแต่อย่างใด
“ไม่เอาเด็ก เก็บผู้ใหญ่ไว้ พวกเจ้ารีบไป!”
เหล่าหมอตำแยต่างมองหน้ากัน คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เจี่ยงเถิงเลือกจะเป็นเช่นนี้
แต่ตอนนี้อยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว พวกเขาขี้เกียจจะถามไถ่ จึงรีบหมุนตัวกลับเข้าห้องคลอดไป
“เขาว่าอย่างไร?”
เหล่าหมอตำแยกลับมา หลินซือยื่นมือออกไปจับมือของหมอตำแยไว้
นางอยากรู้ว่าเจี่ยงเถิงจะตอบว่าอย่างไร
“นายท่านบอกว่ารักษาฮูหยินไว้” หมอตำแย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หลินซือจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก มือที่จับหมอตำแยไว้ได้คลายออก
จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างผ่อนคลาย “ได้ยินเขาพูดประโยคนี้ข้าก็อุ่นใจแล้ว เก็บเด็กไว้เถอะ”
“แต่นายท่านบอกว่าถ้าเก็บเด็กไว้…” หมอตำแยรู้สึกลำบากใจ
หลินซือยิ้มอย่างพอใจ รู้สึกว่าชีวิตนี้ของตัวเองได้รับความสุขอย่างมหาศาลแล้ว เวลาแบบนี้เจี่ยงเถิงยังเลือกตน
ไม่ได้เลือกเด็ก นั่นหมายความว่านางยังเป็นคนที่สำคัญที่สุดในใจเขา
“ทำตามที่ข้าบอก”
ช่วยไม่ได้ หมอตำแยเห็นหลินซือยังคงยืนยันว่าจะเก็บเด็กไว้ พวกเขาทำได้แค่เลือกเช่นนี้
“งั้นฮูหยินทำจิตใจให้ผ่อนคลายนะเจ้าคะ เราจะกดท้องของฮูหยินอีกครั้ง ซึ่งมันจะเจ็บมาก เจ็บกระทั่งปางตายเลยทีเดียว ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ฮูหยินอาจเป็นลมสลบไปซึ่งโดยพื้นฐานจะไม่ฟื้นกลับมาอีก แต่เด็กจะรอดปลอดภัย”
เมื่อได้ยินคำพูดของหมอตำแย หลินซือก็กัดริมฝีปากล่างพยักหน้าอย่างมีความสุข จากนั้นก็ค่อย ๆ หลับตาลง
หมอตำแยเหล่านั้นเห็นหลินซือเตรียมพร้อมแล้ว จึงยื่นมือออกไปอย่างชำนาญ วางลงบนท้องของหลินซือ เริ่มค้นหาตำแหน่งของตัวเด็ก จากนั้นก็กดลงไล่เด็กออกมา
ถ้าจะให้เปรียบเปรยถึงความเจ็บปวดนี้ บอกได้ว่าร้าวรานเหมือนกับมีดนับไม่ถ้วน ปักลงมาบนท้องของหลินซือพร้อมกัน
แต่ครั้งนี้หลินซือไม่ได้ร้องออกมา นางกัดริมฝีปากจนแตกส่งผลให้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วปาก
สุดท้ายเสียงร้องไห้ของเด็กก็ดังขึ้น และดังแจ่มชัดด้วย
หลินซือลืมตาขึ้น
ร่างทั้งร่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใด
“ยินดีด้วย ยินดีด้วย ฮูหยินให้กำเนิดลูกชายเจ้าค่ะ”
หมอตำแย่คนหนึ่งอุ้มเด็กผู้ชายพลางตะโกนบอกด้วยความดีใจ
ส่วนหมอตำแยอีกคนนั้นประหลาดใจยิ่งกว่า “ฮูหยิน ท่านรอดแล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นสตรีคลอดลูกตกเลือดแล้วยังรอดชีวิต น่ายินดียิ่งนัก ข้าจะนำข่าวดีที่สองแม่ลูกปลอดภัยไปบอกทุกคน”
หมอตำแยพูดพลางวิ่งออกไปบอกข่าวที่สองแม่ลูกปลอดภัยทั้งคู่กับทุกคน
ครั้นเจี่ยงเถิงรู้ข่าวนี้ เขาไม่ได้วิ่งเข้าไปดูเด็ก แต่กลับวิ่งเข้าไปในห้องคลอด ทันทีที่เข้าไปก็ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทั่วห้องก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
ตั้งใจว่าต่อไปเขาจะไม่ให้หลินซือคลอดลูกอีก ความเจ็บปวดทรมานนี้เขาไม่อยากนางต้องเผชิญเป็นรอบที่สอง
“อาซือ”
เจี่ยงเถิงใช้มือลูบหน้าผากของหลินซืออย่างแผ่วเบา นั่นคือเหงื่อทั้งหมดของนาง แต่เขากลับไม่ชอบแม้แต่น้อย
“พี่อาเถิง เซียงกง[1]*”
เสียงของนางช่างอ่อนแอยิ่งนัก
เจี่ยงเถิงโอบกอดนางไว้ “นอนเถอะ เอ้อเป่า ข้ารับปากเจ้า ไว้เจ้าหายดี ข้าจะพาเจ้าไปชมทิวทัศน์แห่งต้าเหยียน”
อาซือหลับไปท่ามกลางเสียงปลอบโยนของเขา
*[1] เซียงกง คำที่ภรรยาเรียกสามีในสมัยก่อน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คนเขียนเขียนซะน้ำตาซึมเลยนะคะ เกือบร้องไห้ซะแล้วนะคะเนี่ย
ไหหม่า (海馬)
——————————————–