ตอนที่ 179-2 สี่คนพ่อแม่ลูก
เช้าวันต่อมาหลังจากวันมงคลสมรสใหญ่ ถึงเวลาต้องยกน้ำชาคารวะให้แม่สามี
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวไม่มีนิสัยชอบนอนตื่นสายด้วยกันทั้งคู่ แต่เมื่อเห็นเด็กน้อยในอ้อมแขนยังคงหลับสนิท เลยออกจะไม่อยากลุกขึ้นมาตะหงิดๆ
สาวใช้ที่อยู่ข้างนอกเอ่ยเร่งอยู่สามรอบ เฉียวเวยทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นเองก่อน
พอนางขยับตัว จิ่งอวิ๋นก็ตื่น
จิ่งอวิ๋นไม่นอนต่อแล้ว จีหมิงซิวจะนอนต่อก็กระไรอยู่ จึงเหลือเพียงวั่งซูกับเสี่ยวไป๋ที่นอนกินบ้านกินเมืองกันต่อบนเตียง
ครั้งนั้นที่จีหว่านเอาหนังสือกามสูตรมาให้เฉียวเวย ได้อธิบายสภาพการณ์คร่าวๆ ในบ้านตระกูลจีให้เฉียวเวยพอเข้าใจแล้ว บ้านตระกูลจีมีทั้งหมดสี่จวน จวนตะวันออก จวนตะวันตก จวนใต้และจวนเหนือ พักอาศัยกันจวนละหนึ่งครอบครัว
อาจฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อลองคิดโดยละเอียดแล้วก็ไม่ได้มีอะไรน่าแปลก ตระกูลเป่าอวี้ยังมีจวนถึงสองจวนที่แคว้นหรงกับแคว้นหนิงเลย ตระกูลที่ยิ่งใหญ่มาเป็นร้อยปีอย่างตระกูลจีคงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
จีเหล่าฮูหยินกับเรือนใหญ่พักอยู่ในจวนใต้
เรือนรองพักอยู่จวนตะวันออก
เรือนสามเดิมทีพักอยู่จวนตะวันตก แต่เมื่อหลายปีก่อนนายท่านสามย้ายไปรับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองที่ฝู่โจว ครอบครัวของเขาจึงย้ายตามไปด้วย จวนตะวันตกจึงกลับมาว่างลง
จวนเหนือเป็นจวนที่ท่านอากับอาเขยพักอยู่ ที่น่าเอ่ยถึงก็คือ จีซวงที่เป็นอาหญิงของจีหมิงซิวแต่งลูกเขยเข้าบ้านตระกูลจี บุตรของพวกเขาก็แซ่จี ดังนั้นพวกเขาจึงถือเป็นเรือนสี่ของตระกูลจี
เรือนรอง เรือนสามล้วนเป็นบุตรสายรอง
เรือนใหญ่กับเรือนสี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของจีเหล่าฮูหยิน
เฉียวเวยพอล้างหน้าล้างตาเสร็จก็จัดการดูแลบุตรทั้งสองจนเรียบร้อย
จีหมิงซิวไม่ได้เคร่งครัดกับการต้องให้ภรรยาคอยปรนนิบัติสามี และไม่ได้เรียกสาวใช้เข้าไปรับใช้ในห้อง เขาแต่งกายเองจนเรียบร้อย จูงบุตรกับเฉียวเวยไปคนละคน มุ่งหน้าไปคารวะเหล่าฮูหยินกับแม่สามีที่เรือนลั่วเหมย
ตระกูลจีใหญ่โตเกินไปมากจริงๆ เดินมาเป็นสิบนาทีแล้วก็ยังไม่เห็นตัวเรือนลั่วเหมยเสียที
“เหนื่อยหรือไม่” จีหมิงซิวถามเด็กทั้งสอง
พวกเด็กๆ ส่ายหน้า
เฉียวเวยจึงบอกว่า “เด็กจากชนบท เดินเป็นสิบลี้ก็ยังได้”
เจ้าคนใจร้าย พูดจี้ใจข้าอีกแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขารู้สึกผิดจะตาย สงสารพวกเขาจะตายอยู่แล้ว
“อยากนั่งเสลี่ยงหรือไม่” จีหมิงซิวเอ่ยถาม
“เสลี่ยงคืออะไร” ทั้งสองถามขึ้นพร้อมกัน
จีหมิงซิวหันไปทำท่าทางบอกบ่าวที่อยู่ด้านหลัง บ่าวผู้นั้นถอยออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมเสลี่ยงและคนหามสี่คน เสลี่ยงหนึ่งหลังใช้คนแบกสองคน สิ่งที่เรียกว่าเสลี่ยงนั้นก็คือมีไม้สองท่อนแล้วเอาเก้าอี้ผูกไว้ตรงกลางนั่นเอง
เด็กทั้งสองไม่เคยนั่งมาก่อน จึงนึกอยากลองขึ้นมาทันที พวกเขาหันไปมองเฉียวเวยกันเป็นตาเดียว
เฉียวเวยพยักหน้า “ไปนั่งสิ”
ทั้งสองถึงได้เดินไป
จิ่งอวิ๋นตัวเบามากจนแทบจะไม่หนักเลย บ่าวแค่ออกแรกก็ยกตัวเขาขึ้นได้แล้ว
วั่งซูกลับต่างออกไป พอเจ้าหนูน้อยกระโดดขึ้นนั่งบนเสลี่ยงก็ได้ยินเสียงดังโครม เก้าอี้พังเสียแล้ว…
วั่งซูเสียใจยิ่งนัก
วั่งซูจึงได้จีหมิงซิวอุ้มไปที่เรือนลั่วเหมยแทน พอได้วางวั่งซูลง แขนสองข้างของจีหมิงซิวก็ชาจนไร้ความรู้สึกไปเลยทันที
“ท่านย่าทวด ท่านย่าทวด!” วั่งซูยกกระโปรงวิ่งตึกตักๆ เข้าไปในห้องของจีเหล่าฮูหยิน
เมื่อวานจีเหล่าฮูหยินได้พบเด็กทั้งสองคนแล้ว นางชอบพอเด็กทั้งสองมาก เฝ้าคิดถึงอยู่ทั้งคืน ฟ้ายังไม่ทันสางก็มานั่งรอพวกเขาอยู่ในห้องแล้ว อาหารเช้าก็กินไม่ลง นับว่ารอจนพวกเขามาถึงได้สักที
จีเหล่าฮูหยินยิ้มพริ้มพลางจับมือวั่งซูไว้ นางเรียกจิ่งอวิ๋นให้มาตรงหน้าด้วย มองดูทั้งสองอย่างมีเมตตายิ่ง “เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่”
วั่งซูยิ้มกว้าง “ดีเจ้าค่ะ! ข้ากับท่านลุงหมิง ไม่สิ เวลานี้เป็นท่านพ่อแล้ว ข้ากับท่านพ่อนอนด้วยกัน!”
“จิ่งอวิ๋นเล่า” จีเหล่าฮูหยินยิ้มขณะเอ่ยถาม
จิ่งอวิ๋นตอบว่า “เหมือนกันขอรับยังมีท่านแม่ด้วย”
แสงเทียนในห้องหอถูกซาลาเปาน้อยทั้งสองก่อกวนเสียแล้ว จีเหล่าฮูหยินไม่รู้ว่าควรโกรธหรือควรหัวเราะดี แต่อย่างไรก็นึกเอ็นดูเด็กทั้งสอง ผู้ใหญ่อดทนกันไปก็แล้วกัน ให้เด็กๆ กินอิ่มนอนหลับถือว่าสำคัญที่สุด
จีเหล่าฮูหยินมองหลานคนสำคัญทั้งสองแล้วใจพลันอ่อนยวบ
หรงมามายกขนมจานหนึ่งเข้ามา “คุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยยังไม่ได้กินมื้อเช้ากระมัง”
วั่งซูลูบหน้าท้องที่เหี่ยวผอมของตน “ใช่แล้ว! ข้าหิวมากๆ!”
หรงมามาส่งขนมไปให้เด็กทั้งสอง พวกเขาหยิบกันไปคนละชิ้น กินกันอย่างเอร็ดอร่อย หรงมามายกรังนกที่ตุ๋นได้ที่แล้วเข้ามาอีก
เด็กทั้งสองอยากกิน แต่พอเห็นเป็นชามก็ยังรู้ว่านี่ต้องกินข้าวแล้ว จึงไม่มีใครขยับช้อน
“เหตุใดถึงไม่กินเล่า” จีเหล่าฮูหยินถาม
จิ่งอวิ๋นบอกว่า “อยากรอกินพร้อมท่านแม่” ตอนนี้ต้องรอกินพร้อมท่านพ่อหมิงด้วย
จีเหล่าฮูหยินลูบหน้าผากเขาด้วยความเอ็นดู “ช่างรู้ประสานัก”
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวเข้ามาในห้อง
จีเหล่าฮูหยินได้รู้จากหรงมามาแล้วว่าเฉียวเวยเป็นหมอหญิงที่ช่วยชีวิตตนไว้ติดต่อกันสองครั้ง จึงไม่ต้องพูดถึงว่าจะชอบพอนางเพียงใด ซ้ำยังรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ตนทำเรื่องงี่เง่าลงไปด้วย
จีหมิงซิวเพิ่งได้รู้ความจริงทั้งหมดเมื่อวาน เลยทั้งอยากหัวเราะทั้งอยากร้องไห้
“มา เข้ามาคารวะท่านย่า” จีหมิงซิวจับมือเฉียวเวยเอาไว้เบาๆ
หรงมามาหยิบที่รองเข่าออกมา
คู่สามีภรรยาคุกเข่าลงคำนับเหล่าฮูหยิน
จีเหล่าฮูหยินประคองเฉียวเวยให้ลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น “เด็กน้อย ลำบากเจ้าแล้ว”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ทุกอย่างผ่านไปแล้วเจ้าค่ะ”
ไม่ปฏิเสธความทุกข์ยากที่เคยประสบพบเจอมา แค่เพียงเลือกที่จะเดินหน้าต่อไป
เป็นคนไม่เสแสร้ง จีเหล่าฮูหยินลอบพยักหน้า นางจับมือเฉียวเวยแล้วมองขึ้นลงซ้ายขวา ยิ่งมองก็ยิ่งถูกใจ เรื่องรูปลักษณ์ไม่มีสิ่งใดให้ติติง รูปร่างก็ดี ก้นงอนเด้ง มิน่าเล่าถึงคลอดบุตรชายได้ “มา มากินรังนกรองท้องก่อน กินเสร็จแล้วค่อยไปคารวะแม่สามีของเจ้า”
“มากันหมดเลยหรือ” เฉียวเวยถาม
จีเหล่าฮูหยินให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ “ไม่เป็นไร พวกเจ้ากินเสียก่อน”
จีหมิงซิวอุ้มเด็กทั้งสองขึ้นนั่งเก้าอี้ ส่วนตนนั่งลงข้างๆ เฉียวเวยแล้วช่วยหยิบช้อนให้นาง “กินเถอะ”
มีเหล่าไท่ไท่คอยปกป้อง กินก็กินแล้วกัน! เฉียวเวยรับช้อนไป
จีเหล่าฮูหยินมองนางด้วยความพอใจ หากนางเป็นเหมือนคนอื่นที่มีท่าทีแปลกๆ ไม่ยอมกิน นางกลับจะรู้สึกผิดหวัง นางควรจะเป็นตัวเองสักหน่อย อยากกินก็กิน
ทั้งสี่กินรังนกเสร็จ ก็ตามจีเหล่าฮูหยินไปกันที่โถงหมิง
ที่นั่นมีผู้ใหญ่ในตระกูลจีนั่งรอกันอยู่เต็มห้อง
ทุกคนเห็นพวกเขาถึงขั้นมาพร้อมกับเหล่าฮูหยิน จึงอดอึ้งไปเล็กน้อยไม่ได้ ไม่นานทุกคนก็ยืนขึ้น พอเหล่าฮูหยินนั่งลงแล้ว ทุกคนถึงได้กลับลงนั่งที่ของตนเองเหมือนเดิม
จีเหล่าฮูหยินนั่งลงในตำแหน่งประธานทางฝั่งซ้าย ที่นั่งประธานสองที่ทางฝั่งขวามีบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่ง กับสตรีอ่อนเยาว์คนหนึ่งนั่งอยู่
บุรุษผู้นั้นดูมีบารมีสง่าผ่าเผย แต่สีหน้ากลับดูเคร่งขรึม
ส่วนสตรีอีกคนหนึ่งมีรูปโฉมหมดจด อ่อนหวานสงบเงียบ มีกลิ่นอายแห่งความเป็นบัณฑิตแผ่ออกมาทั่วตัว แค่เพียงนั่งอยู่เงียบๆ ไม่ต้องทำอะไรก็งดงามประหนึ่งภาพดอกไม้จากฝีพู่กันของศิลปินเลื่องชื่อ
หากจีหว่านเป็นความงามเหมือนเมฆหมอกที่ปลายท้องฟ้า นางก็คือเมฆขาวท่ามกลางท้องฟ้าสว่างใส ต่างคนต่างมีความงามในแบบของตน แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นหญิงงามที่เฉียวเวยไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิตทั้งสิ้น
จีเหล่าฮูหยินระบายยิ้มเอ่ยว่า “เสี่ยวเวยเอ๋ย มาคารวะท่านพ่อท่านแม่เจ้าสิ”
ท่านแม่?
เฉียวเวยอึ้งงันไป บุรุษคนนั้นเป็นพ่อสามีนาง นางเข้าใจได้ แต่สาวงามที่อายุมากกว่านางเพียงไม่กี่ปีผู้นี้… เป็นแม่สามีนางเชียวหรือนี่ พ่อสามีของนางมีโชคเรื่องสตรีเพศไม่เลวเลยทีเดียว!
เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กคนเมื่อวานที่ชื่อหนิวเกอร์อะไรนั่นก็เป็นลูกของนางงั้นสิ
ระหว่างที่ยังตกใจอยู่นั้น เฉียวเวยใช้หางตาเหลือบมองไปทางจีหมิงซิวทีเหนึ่ง จึงเห็นสีหน้าอีกฝ่ายดูสงบนิ่ง อ่านอารมณ์ใดๆ ไม่ออกสักนิด
มีแม่เลี้ยงที่อายุยังน้อยกว่าตนเสียอีกเช่นนี้ ในใจคงรู้สึกไม่สู้ดีเท่าไรกระมัง
หรงมามายกที่รองนั่งออกมา
เฉียวเวยคุกเข่าลงบนที่รองนั่ง หรงมามาส่งน้ำชาให้เฉียวเวยถ้วยหนึ่งแล้วกระซิบบอกว่า “คารวะนายท่านก่อน”
เฉียวเวยยกถ้วยชาขึ้นเหนือหัว “ท่านพ่อ เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”
จีซั่งชิงรับถ้วยชาไปแล้วค่อยๆ ยกดื่ม สีหน้าเขาอ่านอารมณ์ไม่ออกเช่นเดียวกับจีหมิงซิว
เขายื่นซองแดงให้เฉียวเวยซองหนึ่ง “ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ” เฉียวเวยใช้สองมือรับไปแล้วส่งให้ปี้เอ๋อร์เก็บไว้
หรงมามาบอกให้นางยกน้ำชาให้สตรีนางนั้น ในขณะที่กำลังจะคุกเข่าลงก็ได้ยินจีเหล่าฮูหยินเอ่ยว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นหลิวเกอร์เลย พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้เพิ่งแต่งงานใหม่ เขาควรมาคารวะพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ของเขาถึงจะถูก”
เป็นบุตรของแม่สามีผู้นี้จริงๆ เสียด้วย!
สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงเบาว่า “เรียนท่านแม่ เมื่อคืนหลิวเกอร์ท้องไม่ดีตลอดคืน เพิ่งจะได้พักนี่เอง ข้าเลยไม่ได้พาเขามาด้วยเจ้าค่ะ”
แม้แต่น้ำเสียงก็ยังพาให้รู้สึกถึงภาพในโคลงกลอน
เฉียวเวยรู้สึกต่ำต้อยขึ้นมาในบัดดล เป็นสะใภ้ตระกูลจีเหมือนกันแท้ๆ แต่ดูความสูงสง่าของอีกฝ่ายสิ ตนเองเป็นเพียงชาวบ้านตาดำๆ เท่านั้น
เหล่าฮูหยินเอ่ยด้วยความเป็นห่วงว่า “เหตุใดถึงเสาะท้องเสียได้”
สตรีนางนั้นตอบว่า “ดูเหมือนจะกินเนื้อแดดเดียวเข้าไปแล้วไม่ย่อย ตกกลางคืนจึงอาเจียนออกมา ทรมานอยู่นานทีเดียวเจ้าค่ะ”
เนื้อแดดเดียว คงไม่ใช่ชิ้นที่ตนให้ไปนั่นหรอกกระมัง
อย่าโชคร้ายเพียงนี้จะได้หรือไม่
แต่งงานวันแรกก็ทำบุตรชายของแม่สามีป่วยเสียแล้ว!
ถ้าแม่สามีรู้ จะเอานางถึงตายไหมนี่
แต่จะว่าไปเด็กคนนั้นก็อ่อนแอเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
จีซั่งชิงเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดเมื่อคืนเจ้าถึงไม่เรียกข้า”
สตรีนางนั้นตอบว่า “เชิญท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ”
สีหน้าจีซั่งชิงดูไม่สู้ดีนัก ไม่รู้เพราะโกรธที่นางไม่บอกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ หรือโกรธที่มีคนทำบุตรชายตัวน้อยของตนป่วยกันแน่
จีเหล่าฮูหยินก็หน้าบึ้งลงเช่นกัน “ใครที่ไหนบ้าให้หลิวเกอร์กินเนื้อแดดเดียวกันนะ”