ภาค-4-ดรุณีสีเพลิง ตอนที่ 83 รอดตาย (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ชิวอวี้เฟยมิได้หลบหนีไปไกลนัก เขาตระหนักดีว่าอาการบาดเจ็บของตนสาหัสมาก หากหนีโดยมิสนสิ่งใดทั้งสิ้น เกรงว่าสุดท้ายคงต้องตายอยู่กลางหิมะ เขาฝ่าออกจากวัดวั่นฝัวมาได้ไม่ไกลก็เลือกเนินเขาน้อยลูกหนึ่ง หลังเนินเขามีหิมะกองสูงถึงหนึ่งจั้งกว่า ชิวอวี้เฟยร่อนลงบนพื้นหิมะอย่างระมัดระวัง บนกองหิมะอ่อนนุ่มยุบลงไปเป็นรอยเพียงเล็กน้อย ชิวอวี้เฟยรู้สึกว่าลำคอหวานวูบ เขาฝืนกลืนก้อนเลือดลงไป ฝืนใช้วิชาตัวเบาย่างเหยียบหิมะไร้รอยเพื่อมิทิ้งร่องรอย หากทิ้งคราบเลือดเอาไว้ ไยมิใช่เรื่องแย่ที่สุด

ชิวอวี้เฟยเห็นว่าทหารยังมิไล่ตามมา จึงล้วงยาลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งขนาดเท่าดวงตามังกรเม็ดหนึ่งออกมาจากถุงผ้าแพรข้างเอว จากนั้นบีบขี้ผึ้งสีขาวด้านนอกเบาๆ จนแตก ด้านในคือยาลูกกลอนสีแดงสดเม็ดหนึ่ง ชิวอวี้เฟยส่งยาลูกกลอนเข้าปาก

ยาลูกกลอนละลายทันใด ชิวอวี้เฟยรู้สึกว่าความอบอุ่นสายหนึ่งเกิดขึ้นในจุดตันเถียนก่อนจะไหลเข้าสู่สี่แขนขาร้อยกระดูก เขาทราบว่ายาวิเศษรักษาชีวิตสูตรลับของอาจารย์ออกฤทธิ์แล้วจึงล้มตัวลงนอนบนผืนหิมะอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงสงบลมปราณ ฝังร่างท่ามกลางกองหิมะ จมดิ่งลงไปเบื้องล่าง กองหิมะรอบด้านไหลลงมาถมทับ ไม่นานก็กลบร่องรอยการมีอยู่ของเขาไปจนหมดสิ้น

ชิวอวี้เฟยใช้เคล็ดวิชาปราณกัจฉปะ สกัดพลังชีวิตที่ไหลรั่วออกมาด้านนอกจนเกือบหมด จากนั้นเริ่มเข้าสู่การรักษาอาการบาดเจ็บ

ชิวอวี้เฟยผู้ได้ฤทธิ์ยาและเคล็ดวิชาลับคอยช่วยรู้สึกเสมือนหนึ่งร่างกายลอยอยู่ในธารน้ำอุ่น ความสบายและสะลึมสะลือเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกราวกับย้อนกลับไปยังคืนวันอันเลือนรางยามแรกเกิด เวลาหลายปีของการทุ่มเทฝึกวิชาพิณ ความเพียรพยายามที่บังเกิดผล การตระหนักรู้เมื่อไม่กี่วันก่อน การก้าวข้ามผ่านห้วงความเป็นความตายเมื่อครู่ ความรู้สึกอันรุนแรงยามจิตใจต่อสู้ขับเคี่ยวเพื่อเลือกระหว่างมิตรภาพกับความภักดี ทุกสิ่งทำให้ชิวอวี้เฟยเข้าสู่สภาวะเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่เฝ้าฝันปรารถนามาตลอดราวกับปาฏิหาริย์ ลมหายใจภายนอกค่อยๆ หยุดลง ชิวอวี้เฟยในยามนี้ผสานกลายเป็นหนึ่งเดียวกับทุ่งหิมะ

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดสติของชิวอวี้เฟยก็กลับคืนสู่ร่าง ประหนึ่งตื่นจากการหลับใหลลึกฉับพลัน เขาสัมผัสได้ว่าเส้นลมปราณทั่วร่างไหลคล่องไร้อุปสรรค อาการบาดเจ็บภายในไม่เพียงหายสนิท แม้แต่ลมปราณก็ก้าวหน้าขึ้นอีกด้วย เขาใช้ประสาทสัมผัสทั้งหกสำรวจสภาพรอบด้าน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงทะลึ่งตัวออกมาจากหิมะ เงยหน้าขึ้นมองท้องนภาเหนือทุ่งหิมะอันเวิ้งว้าง หิมะที่ทับถมบนร่างดูเหมือนจะหนากว่าก่อนหน้ามากนัก

ชิวอวี้เฟยรู้ดีว่าการรักษาอาการบาดเจ็บครานี้ของตนกินเวลาไปมิทราบกี่วัน เขาทอดมองออกไปไกล วัดวั่นฝัวยังคงตั้งตระหง่าน ชิวอวี้เฟยขบคิดพิจารณาอยู่เนิ่นนาน แม้วรยุทธ์ของตนก้าวหน้าเข้าสู่ขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเป็นคนถัดจากศิษย์พี่ใหญ่ต้วนหลิงเซียว แต่สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากชิ่นโจวหลายร้อยลี้ ทั้งยังเป็นทุ่งหิมะอันหนาวเหน็บ หากมิได้สิ่งของบำรุงคงยากจะเดินทางข้ามไปได้

ตอนตนหลบหนีออกมา นอกจากยารักษาอาการบาดเจ็บกับตำราพิณเล่มนั้น สิ่งใดก็มิได้พกติดตัวทั้งสิ้น ดูท่าคงมีแต่ต้องบุกเข้าวัดวั่นฝัวแห่งนี้เพื่อชิงของ เขาหากลัวยอดฝีมือแห่งวัดเส้าหลินในวัดไม่ ด้วยวรยุทธ์ของเขา อยากจะลอบชิงเสื้อผ้ากับเสบียงอย่างเงียบเชียบมิใช่เรื่องลำบาก การรอดพ้นจากความตายครานี้ทำให้ชิวอวี้เฟยรู้สึกประหนึ่งได้ผลัดร่างเปลี่ยนกระดูก เรื่องที่คิดเล็กคิดน้อยมากมายก่อนหน้านี้ ยามนี้สำหรับเขาล้วนกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย

เขายิ้มน้อยๆ ยกเท้าก้าวเดินไปทางวัดวั่นฝัว เสื้อคลุมขนสัตว์สีดำในวันวานยามนี้กลายเป็นเศษผ้ารุ่งริ่งดูไม่ได้ เขากลับไม่รู้สึกสักนิดว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสม เดินมาถึงหน้าประตูวัดก็เคาะประตูแผ่วเบา ไม่นานสามเณรรูปหนึ่งก็เดินมาเปิดประตู สามเณรก็คือจิ้งเสวียนที่เขาเคยพบหน้านั่นเอง จิ้งเสวียนตาโตอ้าปากค้างมองชิวอวี้เฟย แล้วเอ่ยอย่างลังเล “คุณชายเกา เหตุไฉนท่านจึงกลับมาเล่า”

ชิวอวี้เฟยยิ้ม “ข้าแซ่ชิว นามว่าอวี้เฟย ฉือหย่วนต้าซืออยู่หรือไม่”

จิ้งเสวียนสงบใจลงได้ก็ตอบว่า “เจ็ดวันก่อนเจียงโหวเดินทางออกจากวัดของเรา ผ่านไปสองวัน ฉีอ๋องก็ออกคำสั่งให้ท่านเจ้าอาวาสเดินทางไปค่ายใหญ่เจ๋อโจว ได้ยินว่าองค์ชายต้องการตำหนิเพราะวันนั้นยามคุณชายลอบสังหาร วัดเราไม่มีผู้ใดลงมือช่วยเจียงโหว จนวันนี้ก็ยังมิส่งข่าวกลับมา”

ชิวอวี้เฟยยิ้มอย่างขออภัย “ครั้งนี้ทำให้วัดท่านลำบากไปด้วยแล้ว แต่ข้าคิดว่าฉู่เซียงโหวเป็นผู้มีคุณธรรมน้ำมิตร น่าจะมิกล่าวตำหนิวัดท่าน”

จิ้งเสวียนนำทางชิวอวี้เฟยเดินเข้ามาด้านในพลางกล่าวว่า “คุณชายกล่าวถูกต้อง วันนั้นสหายทั้งสองของคุณชายล้วนสิ้นใจอยู่ในวัด ท่านโหวออกคำสั่งให้วัดเราจัดพิธีศพอย่างดี ยามนี้เก็บเถ้ากระดูกเอาไว้เรียบร้อย หากคุณชายต้องการ ครั้งนี้นำกลับไปด้วยก็ได้ สิ่งของติดตัวคุณชาย ท่านโหวออกคำสั่งให้เก็บเอาไว้ในวัด คุณชายต้องการไปดูหรือไม่”

สายตาของชิวอวี้เฟยเพ่งพิจบนร่างจิ้งเสวียนครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้ม “ศิษย์เส้าหลินช่างโดดเด่นเสียจริง สามเณรน้อยจิตใจสงบนิ่งนัก เมื่อครู่จู่ๆ ข้าก็เกิดจิตสังหารต้องการกำจัดศัตรูผู้แข็งแกร่งในอนาคต แต่เมื่อคิดทบทวน มีศัตรูเช่นสามเณรน้อยก็เป็นเรื่องน่ายินดี”

จิ้งเสวียนสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด หันกายกลับมาตอบว่า “หลังจากประมุขจิงฟื้นฟูพรรคมารขึ้นมาอีกครั้ง ศิษย์สายตรงทุกคนล้วนเป็นยอดคนแห่งยุค คุณชายชิวผ่านพ้นคราวเคราะห์ได้ถือกำเนิดใหม่ อนาคตภายภาคหน้ามิอาจประมาณ จิ้งเสวียนเป็นเพียงศิษย์เส้าหลินที่ยังเล่าเรียนมิสำเร็จ ไฉนจะกล้ารับคำชื่นชมนี้”

ชิ้วอวี้เฟยยิ้มละไมตอบว่า “เจ้ามิจำเป็นต้องอ้อมค้อมประจบ ข้ามิได้ต้องการสังหารพระทั้งวัดของเจ้า ขอเพียงยามข้าจากไป พวกเจ้ารับปากว่าจะไม่ก้าวออกจากประตูวัด ข้าก็จะมิลงมืออำมหิต สามเณรน้อยคิดเห็นเช่นไร”

จิ้งเสวียนรู้สึกโล่งอก เมื่อครู่ยามเห็นชิวอวี้เฟย เขาก็ทราบแล้วว่าคนผู้นี้มิใช่จอมยุทธ์ฝีมือกระจอก ทั้งศิษย์พรรคมารยังโหดเหี้ยมอำมหิต หากคนผู้นี้คิดจะสังหาร ต่อให้ตนพยายามหลบหนีไปได้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายที่เฝ้าวัดอยู่คงสิ้นชีวีกันถ้วนหน้า ด้วยเหตุนี้เขาจึงฝืนใจประจบอยู่ตลอด แม้การกระทำเช่นนี้จะดูเหมือนคนสอพลอ แต่สำหรับเขาแล้ว หากหลีกเลี่ยงการสังเวยชีวิตอันไร้ความหมายได้ย่อมคุ้มค่า

ชิวอวี้เฟยเดินเข้ามายังห้องทำสมาธิที่ตนพักอาศัยเมื่อหลายวันก่อน เห็นข้าวของทั้งหมดยังคงเหมือนเช่นยามจากไป เพียงแต่สะอาดสะอ้านยิ่งนัก ดูท่าคงมีคนปัดกวาดเป็นประจำ เขาเดินไปหน้าโต๊ะไม้ ลูบพิณแสนรักที่มิได้เห็นมาหลายวันอย่างเบามือ ความรู้สึกนับร้อยสับสนปนเปในหัวใจ พลันถอนหายใจแผ่วเบา “ฟ้าลิขิตมาเช่นนี้ ข้าจะทำเช่นใดได้”

เขาทราบว่าเจียงเจ๋อกลับไปอยู่ในกองทัพใหญ่แล้ว ย่อมไม่มีโอกาสเข้าใกล้เพื่อลอบสังหารเขาอีก ยิ่งไปกว่านั้นหากให้กล่าวอย่างมิปิดบัง ความต้องการจะสังหารเจียงเจ๋อของเขาก็ถูกความรู้สึกถูกใจฉันสหายเข้าแทนที่หมดสิ้นแล้วเช่นกัน ชิวอวี้เฟยมัดถุงพิณขึ้นบนหลัง แล้วกล่าวว่า “นำข้าไปเซ่นไหว้ตาเฒ่าชุยกับจินจือ”

เสียงระฆังเลือนรางทะลุถึงหมู่เมฆ ชิวอวี้เฟยยืนอยู่ในอุโบสถ ตั้งจิตอธิษฐานเงียบๆ อยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะห่อเถ้ากระดูกของชุยจิ่วเฉิงกับจินจือจนเรียบร้อย ทั้งสองคนนี้เดิมทีเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับเขา แต่เพราะคำสั่งของเกาเหยียนจึงยอมพลีชีวิตช่วยเหลือ หากมิได้พวกเขาทั้งสองคน เกรงว่าเขาคงกลายเป็นคนไร้วรยุทธ์ ถูกคุมตัวอยู่ในค่ายใหญ่ของกองทัพต้ายง

ไม่นานจิ้งเสวียนก็พาสามเณรอายุใกล้เคียงกันอีกสี่ห้ารูปเดินเข้ามาในอุโบสถ ในมือถือเสบียงกับสัมภาระ จิ้งเสวียนก้าวเข้าไปกล่าวว่า “ม้าของคุณชายยังอยู่ในวัด ข้าคิดว่าคุณชายอาจมิต้องการใช้รถม้า ดังนั้นจึงเตรียมอานไว้ให้แล้ว คุณชายออกเดินทางได้ตลอดเวลา”

ดวงตาชิวอวี้เฟยทอประกายวูบหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าช่างฉลาดเฉลียวรู้ความยิ่ง!”

เห็นจิ้งเสวียนจิตใจหนักแน่น ความต้องการจะสังหารในจิตใจก็บังเกิดขึ้นอีกหน สำนักเส้าหลินแห่งจงหยวนมีเสาหลักในอนาคตเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งคน พรรคมารก็ย่อมมีศัตรูที่แข็งแกร่งในภายภาคหน้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน แต่ชิวอวี้เฟยมีสันดานหยิ่งทะนงมาแต่เดิม ไหนเลยจะลดตัวมาสังหารสามเณรผู้นอบน้อมต่อตนเองคนหนึ่งได้

ในที่สุดเขาจึงถอนหายใจแผ่วเบา รับสัมภาระมาแล้วเดินออกจากอุโบสถ มองไปยังเมฆสีแดงที่หนาขึ้นทุกทีทางทิศเหนือ ชิวอวี้เฟยคิดในใจ ข้าเร่งรีบกลับชิ่นโจวจะดีกว่า แม้การลอบสังหารจะล้มเหลว แต่สิ่งที่ข้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับเจียงเจ๋อระหว่างการพบปะหลายวันที่ผ่านมาอาจช่วยเหลือท่านอาจารย์กับแม่ทัพหลงได้ อีกประการหนึ่ง มีบางเรื่องเหมือนจะน่าสงสัยยิ่ง ข้าต้องรายงานต่ออาจารย์

จิ้งเสวียนเดินตามมาส่งด้านหลัง ชิวอวี้เฟยสีหน้าเย็นยะเยือก “สามเณรน้อยควรรู้หนักเบา หากเจ้าออกจากวัด แพร่งพรายความลับตามอำเภอใจ วันหน้าผู้แซ่ชิวย่อมกลับมาชำระแค้น ค่ายใหญ่ของกองทัพต้ายงประกาศจับผู้แซ่ชิวแน่นอนอยู่แล้ว เจ้ามิจำเป็นต้องเข้ามายุ่งให้มากความ สงบใจอยู่ที่นี่สวดมนต์เสียจะเป็นการดี” กล่าวจบก็ยกฝ่ามือตบหัวไหล่จิ้งเสวียนเบาๆ ครั้งหนึ่ง จิ้งเสวียนสีหน้าซีดเผือดในทันใด รอจนเงาร่างของชิวอวี้เฟยหายลับไปแล้วเขาจึงทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง