ตอนที่ 180-2 ข่มขู่
ทุกคนลุกขึ้น หันไปเอ่ยลาจีเหล่าฮูหยิน
จีเหล่าฮูหยินพยักหน้า “พวกเจ้าไปทำธุระก่อนเถอะ ตอนเย็นอย่าลืมกลับมากินข้าวล่ะ”
บ้านตระกูลจีใหญ่เกินไป ไปไหนมาไหนไม่สะดวก ยามปกติจึงกินจวนใครจวนมัน เมื่อวันนี้มีสะใภ้ใหม่เข้าบ้าน ตามธรรมเนียมแล้วคนทั้งบ้านต้องมารวมตัวกัน
ทุกคนรับคำแล้วพากันออกจากเรือนลั่วเหมยไป
เฉียวเวยก็เตรียมจะขอตัวกลับเช่นกัน แต่กลับถูกจีเหล่าฮูหยินเรียกเอาไว้ “เสี่ยวเวย เจ้าอยู่ก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
เฉียวเวยตบไหล่ซาลาเปาน้อยเบาๆ “ออกไปเล่นที่ลานเถอะ”
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูออกไปด้วยความร่าเริง
จีเหล่าฮูหยินจูงมือเฉียวเวยเข้าไปในห้องแล้วเปิดหีบหยิบกล่องไม้เถาที่หน้าตาประณีตอันหนึ่งออกมา เฉียวเวยเปิดดู ภายในมีแต่เครื่องประดับที่ดูละลานตาเต็มไปหมด
จีเหล่าฮูหยินเอ่ยว่า “ข้าอายุมากแล้ว ของพวกนี้ไม่ได้ใช้แล้ว เจ้าเอาไปใส่เถอะ”
ทั้งกล่องมีแต่ทองทั้งนั้น! ทองคำ ทองม่วง ทองน้ำตาล…
เฉียวเวยมองจนตาพร่าไปหมด
“ชอบหรือไม่” จีเหล่าฮูหยินถาม
เฉียวเวยกลืนน้ำลาย “ชอบเจ้าค่ะ”
ทองมากมายเพียงนี้ ใครบ้างไม่ชอบ วันไหนไม่มีเงินเอาออกไปจำนำ ไม่แน่ว่าอาจจะจำนำจนได้บ้านหลังหนึ่งเลยก็ได้
จีเหล่าฮูหยินชอบนางที่นิสัยตรงไปตรงมาเช่นนี้ จึงตบมืออีกฝ่ายแล้วเอ่ยอย่างมีเมตตาว่า “ชอบก็ดี ในห้องเก็บของข้ายังมีอีกเล็กน้อย ไว้พรุ่งนี้จะให้หรงมามาเก็บรวบรวมแล้วส่งไปให้เจ้า”
เฉียวเวยบอกว่า “ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ แค่กล่องเดียวก็พอแล้ว มากนักข้าใส่ไม่หมด”
ตัวนางเองไม่ชอบใส่เครื่องประดับ แต่ชอบเก็บไว้เพื่อวันหน้าเอาไปขายเป็นเงินได้ แต่แค่กล่องนี้ก็พอแล้ว หากมากกว่านี้นางจะรู้สึกเกรงใจ
จีเหล่าฮูหยินก็ไม่ฝืนอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น นางพูดคุยกับเฉียวเวยอยู่พักหนึ่ง ถามเรื่องชีวิตในชนบทช่วงก่อนหน้านี้ นางไตร่ตรองก่อนแล้วจึงเล่าให้อีกฝ่ายฟัง
ในความเป็นจริงนางใช้ชีวิตมาอย่างไร จีเหล่าฮูหยินแค่ส่งคนไปถามดูก็รู้แล้ว นางไม่จำเป็นต้องโกหก และไม่มีความจำเป็นต้องใส่สีตีไข่
เด็กน้อยทั้งสองเล่นโยนลูกดอกลงแจกันอยู่ในลาน สนุกจนไม่ยอมเลิก
“ตอนกลางวันพวกเรากินข้าวที่เรือนท่านย่าทวดได้หรือไม่” วั่งซูเอ่ยถามกึ่งขอร้อง
เฉียวเวยพยักหน้า “ยังไม่ทันไรก็ไม่ต้องการแม่เสียแล้ว”
วั่งซูจับศีรษะเอ่ยว่า “โอ๋ย ไม่ใช่ๆ พวกเรายังต้องการท่านแม่อยู่!”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “เอาล่ะ พวกเจ้าเล่นไปเถอะ อย่าซุกซนจนเกินไปล่ะ ท่านย่าทวดอายุมากแล้ว เจ้าต้องคอยระวังให้มาก ห้ามวิ่งชน ห้ามกระแทก โดยเฉพาะวั่งซู”
วั่งซูแลบลิ้น
เฉียวเวยพาปี้เอ๋อร์ออกจากเรือนลั่วเหมย
ปี้เอ๋อร์กระซิบขึ้นว่า “ฮูหยิน เมื่อครู่บ่าวไปถามมาแล้ว ฮูหยินใหญ่แซ่สวิน บรรพบุรุษเป็นคนกูซู บิดาของนางเป็นขุนนางใหญ่ของกูซู นางเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูล พร้อมพรักด้วยความสามารถและรูปโฉม นับว่ามีชื่อเสียงมากในกูซูเจ้าค่ะ”
โอ้ เป็นสตรีมีความสามารถด้วยหรือนี่
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “พ่อสามีข้าเป็นคนไปขอนางแต่งงาน?”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์อยู่กับเสี่ยวเว่ยนานวันเข้า เลยกลายเป็นผู้สืบข่าวมือดีเสียแล้ว เฉียวเวยกับจีเหล่าฮูหยินพูดคุยกันอยู่ข้างใน นางก็คว้าตัวสาวใช้สูงอายุมาหลอกถามข้อมูล นางเล่าต่อว่า “ฮูหยินใหญ่เคยอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลจีหลายปี นางรู้จักกับนายท่านมาก่อนนานแล้ว”
เฉียวเวยเอามือลูบคาง “นานแล้วนี่นานแค่ไหน ข้าเห็นว่านางกับจีหมิงซิวอายุไม่ต่างกันมาก ตอนที่พ่อสามีข้ารู้จักนาง นางคงยังเด็กกระมัง”
ปี้เอ๋อร์พยักหน้า “เด็กมากอยู่เจ้าค่ะ ตอนนั้นองค์หญิงยังมีชีวิตอยู่เลย เมื่อก่อนนายท่านไม่ได้อยู่ในบ้านตระกูลจี นายท่านอาวุโสคัดค้านการแต่งงานระหว่างนายท่านกับองค์หญิง สวินซื่อก็น่าจะเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลจีในช่วงนั้นเจ้าค่ะ”
“เหตุใดถึงต้องมาอยู่ที่นี่” เฉียวเวยถามด้วยความสงสัย
ปี้เอ๋อร์บอกว่า “บิดาของนางมีสายสัมพันธ์กับตระกูลจีอยู่เล็กน้อย ก่อนตายได้ฝากฝังนางไว้กับตระกูลจีเจ้าค่ะ”
ฝากฝัง หึหึ
ช่างน้ำเน่านัก
เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ ว่า “อยู่นานแค่ไหน”
ปี้เอ๋อร์นึกแล้วบอกว่า “มามาคนหนึ่งบอกว่าห้าปี มามาอีกคนหนึ่งบอกว่าเจ็ดปี บ่าวไม่รู้ว่าควรเชื่อใคร แต่ถึงอย่างไรพวกนางก็บอกตรงกันว่าตอนองค์หญิงยังอยู่ นางชอบสวินซื่อมาก”
เฉียวเวยยิ้มประชด “เหอะ เช่นนั้นแม่สามีข้ารู้หรือไม่ว่านางมีใจให้นายท่าน พอโตขึ้นก็มาปีนขึ้นเตียงสามีของนางน่ะ”
“เรื่องนี้…” ปี้เอ๋อร์ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร เดิมทีนางไม่อยากบอกเรื่องนี้กับฮูหยิน ช่วงแรกสวินซื่อใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตระกูลจีไม่ดีนัก ทุกคนไม่เห็นนางเป็นสาระ หลังจากองค์หญิงเข้ามา เห็นว่านางน่าสงสาร จึงให้นางไปอยู่ข้างกาย ชีวิตของนางถึงได้ค่อยๆ ดีขึ้น แต่เวลานี้ฮูหยินกำลังโกรธ นางจึงไม่กล้าเติมเชื้อไฟลงไปอีก
“ไร้ยางอาย” เฉียวเวยเอ่ยเสียงขรึม
ปี้เอ๋อร์ตกใจจนอึ้งไป “สวินซื่อ…ไร้ยางอายมากอยู่จริงๆ”
เฉียวเวยทำเสียงหึหึ “ข้าว่าพ่อสามีข้านี่นะ คนเขาฝากฝังบุตรสาวให้มาอยู่บ้านตระกูลจี เขาก็ควรปฏิบัติต่อนางอย่างบุตรสาว เหตุใดจึงเลี้ยงจนเข้าไปอยู่ในห้องตัวเองได้ หากข้าเป็นบิดาแท้ๆ ของนาง เวลานี้คงได้ปีนขึ้นมาจากสุสานแล้ว”
“บิดาของนางเกรงว่า…คงกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในปรโลก” ปี้เอ๋อร์เอ่ยเสียงอ่อน
เด็กหญิงกำพร้าตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ถึงขั้นได้แต่งงานมาเป็นนายหญิงแห่งบ้านตระกูลจี นี่คงเพราะบรรพบุรุษนางจุดธูปดอกยาวไว้กระมัง
ใช่น่ะสิ จะไม่จุดธูปยาวได้อย่างไร เด็กหญิงกำพร้าคนหนึ่ง ไร้ที่พึ่งพิง มีเพียงชื่อเสียงที่บิดาสร้างไว้ยามมีชีวิตอยู่ ว่างเปล่าไร้แก่นสาร แล้วจะมีตระกูลชั้นสูงตระกูลใดยินดีแต่งงานกับสตรีเช่นนี้ ถึงแม้ตระกูลจียินดีเป็นที่พึ่งพิงให้กับนาง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่บุตรในสายเลือด จะพึ่งพิงได้นานเท่าไรกัน
การอยู่ในบ้านตระกูลจี นับว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดของนางแล้วจริงๆ
เวลานี้นางยังให้กำเนิดบุตรชายแล้วด้วย ไม่ว่าอย่างไรชีวิตที่เหลือก็มีคนให้พึ่งพิง
“จึ๊ แม่เลี้ยงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ”
กล่อมจนองค์หญิงหลงเชื่อ ได้แต่งงานกับประมุขตระกูล หากไม่ใช่ว่านางเป็นคนดีจนถึงที่สุด ก็คือฝีไม้ลายมือแพรวพราวประมาณหนึ่งแน่นอน
เฉียวเวยระบายยิ้มบางๆ “น่าสนใจ”
ระหว่างที่พูด นายบ่าวทั้งสองก็เดินออกจากเรือน
สวินหลันกับจีหมิงซิวยืนอยู่ใต้ต้นไหว แผ่นหลังที่กว้างใหญ่ของจีหมิงซิวหันมาทางฝั่งนี้ เฉียวเวยมองเห็นสีหน้าจีหมิงซิวไม่ชัด แต่กลับเห็นสีหน้าสวินหลันชัดเจน จีหมิงซิวไม่รู้กำลังพูดอะไรกับนาง สีหน้านางดูไม่สู้พอใจนัก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
แม้แต่ยามขมวดคิ้วก็ยังแผ่ไอแห่งความเป็นเทพเซียนออกมา ช่างงดงามจนแม้แต่ท้องฟ้ายังต้องอับแสงจริงๆ
นางขยับปากคล้ายว่าอยากอธิบายอะไรบางอย่าง แต่กลับเหลือบมาเห็นเฉียวเวยที่อยู่ตรงปากประตูเรือนลั่วเหมยเสียก่อน นางจึงกลืนสิ่งที่อยากจะเอ่ยกลับลงไป
นางหมุนตัวกลับมา
เฉียวเวยก้าวเข้าไปยืนคู่กับจีหมิงซิว นางมองแผ่นหลังที่ค่อยๆ หายไปของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “เพื่อนเล่นวัยเด็กพูดอะไรกับท่านหรือ”
คิ้วเข้มของจีหมิงซิวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแล้วหันมามองเฉียวเวย
เฉียวเวยปิดปากหาว “ไม่บอกก็แล้วไปเถอะ ข้าก็คร้านจะฟัง! ปี้เอ๋อร์ พวกเรากลับ!”
“เจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์ค้อมกายคารวะจีหมิงซิวอย่างแกนๆ แล้วเดินตามเฉียวเวยกลับบ้านชิงเหลียนไป
บ้านชิงเหลียนไม่ใช่เรือนที่องค์หญิงใช้เป็นเรือนพักยามมีชีวิตอยู่ เรือนถงของสวินหลันก็ไม่ใช่เช่นกัน นี่ก็คือข้อดีของการเป็นองค์หญิง นางสร้างจวนองค์หญิงขึ้นในบริเวณบ้านตระกูลจีเอง หลังจากนี้ต่อให้มีแม่เลี้ยงสาวมาอีกร้อยคน ก็ไม่มีใครเข้าไปพักอาศัยได้ทั้งสิ้น
หลังจากองค์หญิงเสียชีวิตแล้ว คิดว่าคงจะกลัวเห็นข้าวของแล้วคิดถึง จีซั่งชิงกับพี่น้องจีหว่านจึงย้ายกันออกมา เดิมทีพักอยู่ที่เรือนถง จีหว่านแต่งงานออกไปได้ไม่เท่าไร สวินหลันก็แต่งเข้าไปอยู่เรือนถง จีหมิงซิวจะอยู่ในเรือนต่อไปเห็นจะไม่เหมาะ จึงย้ายออกมาอยู่ที่บ้านชิงเหลียน
บ้านชิงเหลียนเดิมทีก็สร้างไว้ให้จีหมิงซิวอยู่แล้ว รอเพียงวันใดเขาแต่งงานแล้วกลับมาใช้เท่านั้น เขาย้ายเข้าไปอยู่ก่อนจึงไม่มีอะไรไม่เหมาะสม
เพียงแต่ต่อให้เขาย้ายเข้ามาแล้ว แต่ปีๆ หนึ่งจำนวนวันที่อยู่รวมกันก็ยังนับนิ้วได้พอด้วยซ้ำ
บ่าวไพร่เป็นใครยังเรียกชื่อไม่ถูกสักคน
เฉียวเวยนั่งลง ดื่มชาเย็นชืดไปอึกหนึ่งแล้วเอ่ยกับปี้เอ๋อร์ว่า “บ้านของพวกเราออกจะเงียบเหงาเกินไปหน่อยหรือไม่”
ปี้เอ่อร์พยักหน้า ตอบด้วยความไม่เข้าใจว่า “ใช่เจ้าค่ะ เห็นอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น ว่าตามหลักเหตุผลแล้ว ฮูหยินเป็นสะใภ้ที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่ หลังจากคารวะน้ำชาให้พ่อแม่สามีเสร็จแล้ว บ่าวไพร่ควรเข้ามาคารวะให้ฮูหยินเห็นหน้ากันทีละคนพร้อมบอกชื่อแซ่ของพวกนางว่าชื่ออะไรกันบ้าง ยามปกติทำงานอะไร และมาขอคำชี้แนะจากฮูหยินถึงจะถูก”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเพราะอะไรพวกนางถึงไม่มาหรือ”
ปี้เอ๋อร์ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง “ท่านเขย…สั่งไว้?”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “สั่งให้พวกนางไม่ต้องต้มน้ำร้อนให้ข้าดื่ม? น่ากลัวว่าคงมีคนคิดอยากข่มขู่ข้าเสียมากกว่า เจ้าไปเรียกพวกนางมาที ข้าอยากทำความรู้จักสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์ออกจากห้องไป ครู่ใหญ่ก็กลับมาพร้อมกันมามาทำความสะอาดเพียงคนเดียว
มามาผู้นี้แซ่อู๋ รูปร่างอ้วนเตี้ย สองมือของนางมีตุ่มด้านขึ้นเต็มไปหมด แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนทำงานใช้แรงงาน
นางเข้าไปในห้อง คุกเข่าคำนับให้เฉียวเวย “บ่าวแซ่อู๋ คารวะฮูหยิน! ขอฮูหยินสุขสำราญ!”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “อู๋มามา คนในเรือนไปไหนกันหมดหรือ”
“เรื่องนี้…” อู๋มามาก้มหน้าหลบสายตา
ปี้เอ๋อร์เรียกคนไปทั่ว แต่คนที่พอมีหน้าที่หน่อยกลับเรียกไม่มาสักคน เลยเรียกมาได้แค่สาวใช้สูงอายุที่ยืนกวาดพื้นอยู่เท่านั้น เดิมทีนางก็โกรธจะแย่อยู่แล้ว มามาผู้นี้ยังไม่ตอบคำถามแต่โดยดีอีก จึงตะคอกด้วยความฉุนเฉียวว่า “ฮูหยินของข้าถามเจ้าอยู่นะ! เจ้าหูหนวกหรือเป็นใบ้กันแน่”
อู๋มามาตัวสั่นสะท้าน ทิ้งตัวฟุบลงกับพื้น “บ่าวไม่กล้า…”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า “มามาไม่ต้องกลัวไป ข้าไม่ได้ตั้งใจจะสร้างความลำบากใจให้เจ้า เพียงแค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น ว่าคนในเรือนหายไปไหนกันหมด ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนตอนข้าอาบน้ำ แค่มามาที่ตักน้ำเข้ามาให้ข้าก็มีตั้งสิบกว่าคนแล้ว เหตุใดผ่านไปไม่เท่าไรถึงหายหน้ากันไปหมดเสียได้”
อู๋มามาหวาดกลัวไม่กล้าพูด
ปี้เอ๋อร์ข่มโทสะในใจแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเงยหน้ามองดูทีว่าคนที่ถามเจ้าเป็นใคร เป็นภรรยาที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่ของคุณชาย เป็นฮูหยินน้อยของตระกูลจี นายหญิงแห่งบ้านชิงเหลียน เจ้ากำลังช่วยใครปิดบังอะไรอยู่ถึงไม่กล้าบอกให้ฮูหยินน้อยฟัง เจ้ากลัวจะทำให้คนผู้นั้นไม่พอใจ แล้วฮูหยินน้อยจะไม่ปกป้องเจ้าหรือ”
ต้องบอกว่าไม่เสียแรงที่ปี้เอ๋อร์เคยอยู่ในบ้านหลังใหญ่มาก่อน แค่สองสามประโยคก็พูดจี้ถูกจุดอู๋มามาเสียแล้ว อู๋มามายิ่งก้มศีรษะลงกับพื้นหนักขึ้น
เฉียวเวยเอ่ยสบายๆ ว่า “เจ้าจะปกป้องตัวเองทั้งๆ ที่รู้คงไม่ได้ ในเมื่อเจ้าถูกข้าเรียกมาแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะถอนตัวออกไปอย่างปลอดภัย เจ้าจะบอกออกมาเองดีๆ หรือจะให้ข้าบังคับเจ้าให้พูดออกมา ปี้เอ๋อร์”
นางหันไปส่งสายตา
ปี้เอ๋อร์เข้าใจดี จึงยกกาน้ำร้อนที่เพิ่งต้มจนเดือดขึ้นมาจากเตา
อู๋มามาพอหันไปเห็นก้นกาที่ถูกเผาจนแดงแจ๋ก็ตกใจจนตัวสั่น เกือบจะเป็นลมสลบไป
เฉียวเวยเอ่ยอย่างไม่เร่งไม่ร้อนว่า “ข้าให้เวลาเจ้านับหนึ่งถึงสิบ พอข้านับถึงสิบหากเจ้าไม่บอก ก็อย่าโทษที่ข้าไร้ปราณี หนึ่ง สอง สาม สี่…”
ครั้นนับถึงห้า อู๋มามาก็ทนต่อไปไม่ไหว “ฮูหยินน้อยไว้ชีวิตด้วย ข้าพูด! ข้าพูด!”