บทที่ 702 ฝ่ามือผนึกสุญญตา

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 702 ฝ่ามือผนึกสุญญตา

หลังสิ้นสุดการเทศนาธรรมหนึ่งร้อยปี หานเจวี๋ยนำชิ้นส่วนมหามรรคทั้งเก้าออกมาผสานรวมกัน เริ่มทำความเข้าใจพลังวิเศษมหามรรค

ยี่สิบปีต่อมา เขาตระหนักรู้พลังวิเศษมหามรรค

ฝ่ามือผนึกสุญญตา!

แปรพลังของเทพมารเป็นพลังแห่งผนึก ใช้พันธนาการศัตรู!

เผด็จการอย่างยิ่ง!

หานเจวี๋ยเปิดใช้แบบจำลองการทดสอบ ซัดฝ่ามือพันธนาการปรมาจารย์ลัญจกรสรวง!

เมื่อโจมตีโดนอีกฝ่ายก็หยุดนิ่งไป!

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

หานเจวี๋ยตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ใช้แบบจำลองการทดสอบต่อไป อาศัยพลังวิเศษชนิดใหม่ตรึงปรมาจารย์ลัญจกรสรวงแล้วโจมตี

หนึ่งชั่วยามผ่านไป หานเจวี๋ยเริ่มยกระดับพลังวิเศษมรรคกระบี่ จากนั้นก็ฝึกฝนร่างจำลองเสรีสุญญตาต่อ

ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปอีกเจ็ดสิบปี

ครั้งนี้หานเจวี๋ยเรียนรู้ร่างจำลองเทพมารได้ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบร่าง จำนวนมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา!

ในบรรดาร่างจำลองเทพมารหนึ่งร้อยห้าสิบร่างก็มีมหามรรคบางส่วนที่ทรงพลังนัก

อย่างเช่นเทพมารห้วงมิติ เทพมารย้อนทวน เทพมารเดียวดาย

เทพมารห้วงมิติ ความหมายนั้นตรงตามชื่อ มีพลังควบคุมมิติ ตำนานเล่าขานของมหามรรคสามพันวิถีนับแต่โบราณมา เวลาคือราชา มิติคือจักรพรรดิ

แน่นอน นี่ก็เป็นเพียงมุมมองอคติด้านหนึ่งเท่านั้น แต่ก็เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของมหามรรคแห่งกาลเวลาและมหามรรคห้วงมิติแล้ว

เทพมารย้อนทวน สามารถทำให้ทุกสิ่งเกิดการไหลย้อนกลับได้ ถึงตายไปแล้ว ก็สามารถย้อนให้กลับไปอยู่ในช่วงที่ยังไม่ตายได้ มีความคล้ายคลึงกับมหามรรคกาลเวลา ต่อให้กาลเวลาถูกลบเลือนไป เทพมารย้อนทวนก็ทำให้ย้อนกลับมาได้อยู่ดี เรียกได้ว่าเป็นคู่สร้างคู่สมกับมหามรรคกาลเวลาเลยทีเดียว

เทพมารเดียวดาย ความแข็งแกร่งด้านพลังมหามรรคของเขาจะขึ้นอยู่กับจำนวนเทพมารฟ้าบุพกาล ยิ่งมีเทพมารฟ้าบุพกาลน้อยเท่าไร เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องพยายามกำจัดเทพมารฟ้าบุพกาล

ยังมีเทพมารฟ้าบุพกาลอื่นๆ ด้วย ต่างมีความสามารถแตกต่างกันไป

ตอนนี้หานเจวี๋ยมีร่างจำลองเทพมารทั้งหมดห้าร้อยสี่สิบเก้าร่างแล้ว!

หานเจวี๋ยเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ ดำเนินการทดสอบ ปรับตัวให้เข้ากับทักษะทั้งหมด

อริยะมหามรรคทั่วไป หากสู้กันตัวต่อตัวล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของหานเจวี๋ยเลย!

หานเจวี๋ยมีพรสวรรค์ในการสังหารศัตรูที่มีระดับสูงกว่า พลังวิเศษมหามรรคของร่างจำลองเสรีสุญญตาที่เพิ่มเข้ามาใหม่แค่ทำให้เขาทิ้งห่างตัวตนที่อยู่ในระดับเดียวกันมากขึ้นไปอีกเท่านั้น

ผ่านไปเนิ่นนาน

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เคลื่อนย้ายหลี่เสวียนเอ้าเข้ามาในเขตเซียนร้อยคีรี

หลี่เสวียนเอ้าลืมตาขึ้น มองเห็นว่าตนถูกพามาที่อารามเต๋าของหานเจวี๋ยแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะโล่งใจ

เขาพาบุตรแห่งสวรรค์กลุ่มหนึ่งมารออยู่ด้านนอกยี่สิบปีแล้ว รู้สึกกดดันมากเหลือเกิน เหล่าบุตรแห่งสวรรค์ล้วนรู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง

เหล่าศิษย์สืบทอดล้วนไม่กล้ารบกวนหานเจวี๋ย พวกเขาทราบดี ต่อให้หานเจวี๋ยอยู่ในระหว่างฝึกบำเพ็ญ ก็รับรู้สถานการณ์ภายนอกได้ เหตุผลที่ปล่อยให้พวกหลี่เสวียนเอ้าต้องเฝ้ารอ คาดว่าคงมีเหตุผล

อย่างที่ทราบกันดี หานเจวี๋ยเพียงทุ่มสมาธิไปกับการบำเพ็ญ เผลอเมินหลี่เสวียนเอ้าไปจริงๆ

หลี่เสวียนเอ้าทำความเคารพอย่างนอบน้อม บอกสาเหตุที่มาในครั้งนี้

หานเจวี๋ยกวาดจิตศักดิ์สิทธิ์ออกไปรอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าบุตรแห่งสวรรค์เหล่านั้นไม่มีความผิดปกติจึงยอมรับการจัดแจงของหลี่เสวียนเอ้า เคลื่อนย้ายบุตรแห่งสวรรค์เหล่านั้นเข้ามาโดยตรง ให้หลี่เสวียนเอ้าไปจัดการเอาเอง

หลี่เสวียนเอ้าขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นจึงจากไป

ครั้งนี้เขาพาบุตรแห่งสวรรค์มาด้วยสามสิบเจ็ดราย แต่ละคนคุณสมบัติเลิศล้ำ ถึงขั้นที่มีอยู่หลายคนที่มีโอกาสปลุกคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาล เข้าสู่อาณาเขตฟ้าบุพกาลได้

สำหรับอาณาเขตฟ้าบุพกาล หานเจวี๋ยไม่ได้ไปเยือนนานมากแล้ว ระดับชั้นห่างกันมากเกินไป ถึงไปก็ไม่มีประโยชน์

เขาสังเกตเห็นว่าในบรรดาบุตรแห่งสวรรค์กลุ่มนี้มีศิษย์หลานของหานอวี้อยู่ด้วย

ไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กคนนี้บรรลุถึงระดับจักรพรรดิเซียนแปดวัฏแล้ว!

ความเร็วในการทะลวงระดับรวดเร็วจริงๆ!

หานเจวี๋ยเพียงมองฉินหลิงเพิ่มอีกคราหนึ่ง แต่ไม่มีความคิดจะใช้เส้นช่วยผลักดันเขา

ตอนนี้หานเจวี๋ยเป็นอริยะมหามรรคแล้ว บุตรแห่งสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้า ล้วนไม่คู่ควรพอจะให้เขามอง

ศัตรูของเขาคนใดบ้างเล่าที่ปีนป่ายมาถึงระดับสูงเช่นในวันนี้ได้โดยไม่อาศัยดวงชะตาฟ้าลิขิตประกอบกับโชคที่ขัดต่อกฎเกณฑ์สวรรค์

หานเจวี๋ยมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง

หลังจากพลังวิญญาณในอาณาเขตเต๋าหลักเกิดความเปลี่ยนแปลง อาณาเขตเต๋าแห่งที่สองเองก็เช่นเดียวกัน เหล่าเทพมารยังคงฝึกบำเพ็ญอยู่ หานเจวี๋ยไม่ได้รบกวนพวกเขา

กวนปู้ไป้บรรลุระดับครึ่งอริยะระยะกลางแล้ว รอจนบรรลุระดับครึ่งอริยะระยะสมบูรณ์ หานเจวี๋ยถึงจะเปลี่ยนถ่ายสายเลือดเทพมารให้แก่เขา

ส่วนต้าซั่นเทียนมีตบะระดับครึ่งอริยะระยะสมบูรณ์อยู่แล้ว หลังจากกลายเป็นเทพมารเงาไพศาลก็มานะฝึกบำเพ็ญมาตลอด หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าเขาเข้าใกล้การอาศัยพลังพิสูจน์มรรคยิ่งนักแล้ว

เขาคิดไปคิดมา ตัดสินใจถ่ายทอดเสียงหาต้าซั่นเทียน ให้ต้าซั่นเทียนเข้ามาในอารามเต๋า

พอต้าซั่นเทียนได้ยินเสียงเขา พลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

อาศัยพลังพิสูจน์มรรค จำเป็นต้องใช้เวลาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นผานกู่ บรรพชนเต๋า หรือว่าคนใดก็ใช้เวลาหลายร้อยล้านปีเพื่อทำความเข้าใจทั้งสิ้น

ต้าซั่นเทียนร้อนใจ อยากพิสูจน์มรรคให้ได้โดยเร็ว ดังนั้นจึงอยากขอคำชี้แนะจากหานเจวี๋ย

หลังเข้ามาในอารามเต๋า หานเจวี๋ยมองพินิจต้าซั่นเทียน ไม่รีบร้อนกล่าววาจา

บรรยากาศเงียบวังเวง

ผ่านไปสักพัก

จู่ๆ ต้าซั่นเทียนก็โขกศีรษะ กัดฟันเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก ข้าอยากพิสูจน์มรรคขอรับ!”

การพิสูจน์มรรคมาถึงตรงหน้าแล้ว เขาไม่สนใจเรื่องศักดิ์ศรีหน้าตาอีกต่อไป!

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ด้วยคุณสมบัติเทพมารฟ้าบุพกาล ย่อมได้พิสูจน์มรรคในไม่ช้าก็เร็ว เจ้าไม่จำเป็นรีบร้อน”

ต้าซั่นเทียนเงียบไป แต่สีหน้าเขาฉายแววไม่ยินยอมอยู่บ้าง

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “หลังจากพิสูจน์มรรคแล้ว เจ้าคิดจะทำเช่นไร”

ต้าซั่นเทียนตะลึงงัน จากนั้นจึงตอบว่า “ข้าอยากให้อริยะคนอื่นๆ ได้เห็น ข้าจะทำให้พวกเขาต้องเสียใจ!”

เหล่าอริยะรับปากว่าจะมอบตำแหน่งอริยะให้เขา ผลคือเขาถูกผู้อื่นตัดหน้า ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ เขาจะรู้สึกโมโหนัก

ในเวลานั้น เขากลายเป็นตัวตลกของทั่วทั้งแดนเซียน

ตั้งแต่ครึ่งอริยะขึ้นไป ตลอดจนวิญญาณสามัญที่เพิ่งโบยบินขึ้นมา ล้วนทราบว่าเขาถูกเหล่าอริยะเล่นตลกใส่ ความคับข้องใจนั้นต่อให้เป็นครึ่งอริยะก็ยากจะทนรับไหว

“ต้าซั่นเทียน เจ้าบำเพ็ญเพื่อตัวเอง หรือบำเพ็ญเพื่อสายตาของผู้อื่น” หานเจวี๋ยถามอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

ต้าซั่นเทียนตอบว่า “ย่อมทำเพื่อตัวเองขอรับ แต่ข้าก็อยากจะถือโอกาสตบหน้าพวกเขาไปด้วย เช่นนั้นคงจะดีอย่างยิ่ง”

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างแฝงนัยลุ่มลึก “วันนี้เจ้าอยากตบหน้าเหล่าอริยะ แล้ววันหน้าเล่า ผู้ทรงพลังที่แท้จริงไม่มีทางเปิดเผยตบะบำเพ็ญของตนหากไม่ตกอยู่ในสถานการณ์จำเป็น เจ้าดูอย่างข้าสิ ก่อนข้าจะพิสูจน์มรรคสำเร็จ เจ้าเคยได้ยินชื่อข้าหรือไม่ หลังข้าพิสูจน์มรรคแล้ว เจ้าเคยได้ยินเรื่องของข้ากี่เรื่อง ผู้ที่ใส่ใจชื่อเสียงลาภยศ มีแต่จะถลำลึกลงไปเรื่อยๆ ข้าหลีกห่างจากข้อพิพาท ตั้งใจฝึกบำเพ็ญ ก้าวข้ามอริยะไปแล้ว”

ต้าซั่นเทียนได้ฟังก็รู้สึกละอายใจ

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมายาวนาน หานเจวี๋ยยกเรื่องราวของตนมาสั่งสอน เขาย่อมซึมซับรับฟัง

แน่นอน ถ้าเกิดเป็นคนอื่นที่ตบะด้อยกว่าเขามาทำเช่นนี้ เขามีแต่พ่นลมออกจมูกอย่างเหยียดหยาม ถึงขั้นที่อับอายจนพาลโกรธเสียด้วยซ้ำ

“หลังจากเจ้าพิสูจน์มรรคสำเร็จ ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าออกไป ในมรรคาสวรรค์ระดับอริยะอาจจะแข็งแกร่ง แต่ในฟ้าบุพกาลไม่ควรค่าพอให้เหลือบแล ต่อไปเจ้ายังคงต้องตั้งใจฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่ เข้าใจหรือไม่” หานเจวี๋ยสั่งสอนอย่างจริงจัง

ท่าทีของหานเจวี๋ยทำให้ต้าซั่นเทียนรู้สึกละอายใจ

เขาไล่ไขว่คว้าระดับอริยะ แต่หานเจวี๋ยกลับมองระดับอริยะดั่งมดปลวกด้อยค่า

“เอาล่ะ สมควรช่วยเจ้าพิสูจน์มรรคแล้ว” จู่ๆ หานเจวี๋ยก็ยิ้มพลางเอ่ยออกมา

ต้าซั่นเทียนตะลึงงัน จากนั้นก็ปรีดา รีบขอบคุณหานเจวี๋ย

เขานึกว่าหานเจวี๋ยต้องการปฏิเสธเขา ไม่คิดเลยว่าจะทุ่มเทใส่ใจจริงๆ ความเคารพเลื่อมใสที่มีต่อหานเจวี๋ยพลันเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด

เขาเลือกติดตามถูกคนแล้ว!

หานเจวี๋ยใช้มหามรรคต้นกำเนิดครอบคลุมต้าซั่นเทียนไว้

หลังจากสำเร็จเป็นอริยะมหามรรค มหามรรคต้นกำเนิดของหานเจวี๋ยก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

มหามรรคแผ่ไพศาลทำให้ครึ่งอริยะอย่างต้าซั่นเทียนจมจ่อมดำดิ่งลงไป วิญญาณยกระดับขึ้นถึงขีดสูงสุด

เวลาผ่านไปหนึ่งร้อยปีเต็ม

หานเจวี๋ยสิ้นสุดการเทศนาธรรม ต้าซั่นเทียนเดินออกมาจากอารามเต๋า

เขาได้รับวิธีพิสูจน์มรรคแล้ว แต่ถ้าต้องการพิสูจน์มรรค ยังจำเป็นต้องฝึกบำเพ็ญด้วยตัวเอง

แววตาเขาเปี่ยมความมั่นใจ

เขาเชื่อมั่นว่าจะสามารถพิสูจน์มรรคได้ในระยะเวลาห้าพันปี!

………………………………………………………………