บทที่ 709 อวสาน

บทที่ 709 อวสาน

แววตาของเจี่ยงเถิงทอดมองเข้าไปยังฝูงชน เขากุมมืออันเนียนละเอียดุจหยกของหลินซือไว้ “อาซือ ไม่ว่าจะอยู่กับเจ้ามานานเพียงใด แต่ข้ากลับรู้สึกเหมือนเพิ่งอยู่ในจุด ๆ นั้น”

หลินซือขยับเข้าใกล้สายตาของเจี่ยงเถิง แล้วมองเข้าไปในดวงตาของเขา

“จุดไหน?”

“จุดที่ข้าอยากทะนุถนอมเจ้า จุดที่ข้ารักเจ้า”

หลินซือถูกดึงตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเจี่ยงเถิงด้วยความเขินอาย คำพูดของเจี่ยงเถิงวนเวียนอยู่ในหัวใจของนางเป็นระลอกคลื่น

เจี่ยงเถิงจบแผ่นหลังปลอบหลินซืออย่างแผ่วเบา พลางเล่นฝ่ามือของหลินซือไปด้วย

“อาซือ ข้าจะพาเจ้าไปปล่อยโคมไฟริมแม่น้ำ”

ทั้งสองคนจูงมือเดินตรงไปยังทิศทางของแม่น้ำด้วยกัน

ยิ่งใกล้แม่น้ำเท่าไร ก็ยิ่งเงียบสงบมากขึ้นเท่านั้น ทุกคนพากันอธิฐานขอพรอยู่ในใจ

“อาซือ เจ้ารอข้าตรงนี้นะ”

เจี่ยงเถิงปล่อยมือของนางแล้วเดินไปอีกด้าน ครั้นเห็นชายหนุ่มกำลังยืนเลือกโคมไฟอย่างตั้งอกตั้งใจ ในใจของหลินซือก็พลันอบอุ่นขึ้น

ลงใต้ครานี้ นางไม่ได้ปรึกษาเจี่ยงเถิง

ครั้นเห็นนางปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางกองทัพทหาร เจี่ยงเถิงไม่เพียงแต่จะไม่โกรธแล้ว ตรงกันข้ามกลับชื่นชอบมากด้วย นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยแววตาเปล่งประกายดุจดวงดาว

หลังจากเจี่ยงเถิงจ่ายเงินเสร็จ ก็หมุนตัวเดินกลับมาพร้อมกับโคมไฟสองดวง

“อาซือ ข้าให้เจ้า”

หลินซือรับโคมไฟด้วยความจริงใจ เจี่ยงเถิงยื่นมืออีกข้างไปคว้าข้อมือของหลินซือไว้

ทั้งสองคนเดินเคียงคูากันไปยังริมน้ำ เจี่ยงเถิงประคองหลินซือลงบันไดอย่างระมัดระวัง

พวกเขาค่อย ๆ คุกเข่าลง มองดูกลุ่มโคมไฟที่ลอยอยู่เบื้องหน้า

“เจ้าว่าโคมไฟเหล่านี้จะนับคำอธิษฐานเช่นไร?”

เจี่ยงเถิงกระตุกยิ้ม พลางเอ่ยเสียงเบา

“เจ้าว่าโคมไฟเหล่านี้จะนับคำอธิษฐานเช่นไร?”

เจี่ยงเถิงกระตุกยิ้ม พลางเอ่ยเสียงเบา

“รับคำอธิฐานที่มันเป็นไปไม่ได้ในตอนนี้ ล้วนแต่เป็นความวางใจและความคาดหวังของทุกคน”

เจี่ยงเถิงมองหลินซือ “แล้วเจ้าอธิฐานสิ่งใดล่ะ?”

หลินซือมองโคมไฟที่แกว่งไปมาในมือ พลางครุ่นคิดคำอธิฐานอั้นงดงามขึ้นในใจ

ท้ายที่สุดแล้ว นางรู้สึกว่าโคมไฟดวงนั้นอาจจะไม่สามารถแบกรับคำอธิฐานอันงดงามของนางได้

เจี่ยงเถิงสังเกตเห็นความเศร้าหมองของนาง จึงยื่นมือออกไปลูบศีรษะของนาง “เจ้าขอมากเกินไปใช่หรือไม่?”

หลินซือแปลกใจ อยู่กับชายหนุ่มผู้นี้มาเนิ่นนานนางคิดอะไรเขาล้วนรู้หมด นัยน์ตาของนางรวมทั้งการกระทำของนางมันหลุดจากการควบคุมของเขาไม่ได้เลย

“อื้อ มากเกินไป”

“เช่นนั้นเจ้าลองนึกถึงคำอธิบายที่ลึกซึ้งที่สุด สวรรค์จะต้องสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเจ้าก็เป็นได้”

หลินซือกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขึรม จากนั้นก็หลับตาลงอธิษฐานในใจ

นางรู้สึกได้ถึงแววตาอันเร่าร้อนของเจี่ยงเถิงจากข้างแก้มของนาง ครั้นหลินซือลืมตาโพลงอีกครั้งก็ปะทะสายตาของเจี่ยงเถิงพอดี นางจึงเกิดความกังวล

“ช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้ ท่านไม่อธิษฐาน แต่กลับมามองหน้าข้า? ถ้าถึงตอนนั้นเทพีแห่งสายนน้ำไม่เห็นถึงความจริงใจของท่าน ไม่ฟังคำอธิฐานของท่านขึ้นมาจะทำอย่างไร?”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่จริงใจอธิษฐาน?”

เจี่ยงเถิงโต้แย้งกลับไป คำพูดของหลินซือจุกอยู่ในลำคอ และหงุดหงิดเล็กน้อย

นางแบะปาก จ้องมองเข้าไปนัยน์ตาคู่นั้นของเจี่ยงเถิง

“เช่นนั้นท่านลองว่ามาสิ ว่าท่านอธิษฐานสิ่งใด?”

ชายหนุ่มตรงหน้ากระตุกมุมปาก เต็มไปด้วยความอ่อนโยน

“คำอธิฐานของข้าคือขอให้คำอธิษฐานของฮูหยินเป็นความจริง”

ประโยคนี้ของเจี่ยงเถิงเหมือนก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในแม่น้ำ เกิดเป็นเกลียวคลื่นเป็นระลอกอยู่ในใจของหลินซือ

คำพูดเรียบ ๆ ของเขากลับนำมาซึ่งพลังที่มุ่งมั่น พลังนั้นกลับสร้างความหวั่นไหวขึ้นกับห้องหัวใจของหลินซือ

นัยน์ตาของหลินซือร้อนผ่าวฉับพลัน เจี่ยงเถิงหยิบโคมไฟจากในมือของนาง แล้วปล่อยโคมไฟนั้นลงสู่แม่น้ำ

นางเช็ดหยดน้ำตาที่เปียกชุ่ม แล้วมองโคมไฟนั้นลอยจากไป

หลินซือสูดจมูก เจี่ยงเถิงประคองนางนั่งบนบันได

“เมื่อครู่ ฮูหยินอธิษฐานสิ่งใดยังไม่ได้บอกกล่าวข้าเลย”

“บอกคำอธิฐานแก่ผู้อื่นมันก็ไม่เป็นจริงน่ะสิ ไว้ให้กลายเป็นความจริงก่อนแล้วข้าจะบอกท่าน”

นางแกล้งทำเป็นมีลับลมคมใน เจี่ยงเถิงกลับมองเห็นถึงท่าทีของนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

คำอธิฐานเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับเขา เจี่ยงเถิงจึงไม่รีบร้อนอยากรู้

“ในเมื่อฮูหยินไม่อยากบอก เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”

หลินซือควงแขนของเขา เอนศีรษะพิงไหล่ของชายหนุ่ม

ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบ มองดูทิวทัศน์อันงดงามแห่งนี้

กระทั่งดึกดื่นค่อนคืน เจี่ยงเถิงได้กระชับกอดหลินซือ “ไปเดินเล่นในตลาดกันเถอะ จะได้ซื้อของเล่นให้เจ้าและลูกด้วย”

หลินซือทำแก้มป่อง “ทำไมต้องมองข้าเป็นเด็กอยู่เรื่อย?”

“เจ้าเป็นเด็กในสายตาข้าเสมอ”

ทั้งสองคนจูงมือกันเดินไปตามทาง หลินซือมองซ้ายแลขวาหาของเล่นสนุก ๆ เหล่านั้น

เพียงชั่วพริบตาเดียว มือของเจี่ยงเถิงก็เต็มไปด้วยสิ่งของ

“ฮูหยิน นี่เจ้าหลอกข้ามาปล้นใช่หรือไม่”

“นี่คือหน้าที่ของท่าน ข้าจ่ายเงินของท่าน ท่านควรดีใจสิ”

เจี่ยงเถิงยิ้มอย่างอ่อนโยน เดินตามหลังนางโดยไม่บ่นใด ๆ อีก

หลินซือเห็นปี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของทางใต้ จึงหยิบขึ้นมาเล่นในมือ “เถ้าแก่ ปี่เล่มนี้ขายอย่างไร?”

พริบตาเดียวที่ปรายตาขึ้น นางเห็นคนที่ยืนอยู่หลังเจ้าของร้าน

ลั่วซียืนอยู่ที่ไกล ๆ หลินซือคิดว่าเป็นแค่ภาพลวงตา สงสัยวันนี้คงจะเหนื่อยเกินไป?

ทำไมลั่วซีถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่?

“เป็นอะไร?”

เจี่ยงเถิงเห็นนางเหม่อลอย คิดว่านางคงไม่สบาย จึงขมวดคิ้วแน่นด้วยความร้อนใจ

“เจอคนรู้จัก ข้าอาจจะมองผิดไปกระมัง?”

“เห็นใคร?”

“ลั่วซี”

เจี่ยงเถิงมองตามสายตาของหลินซือออกไปไกล แต่กลับไม่เห็นลั่วซีที่ปะปนอยู่ในฝูงชนแต่อย่างใด

เขาเขกศีรษะของหลินซือเบา ๆ “เหม่ออีกแล้วใช่ไหม?”

“จะมองผิดได้อย่างไร?”

หลินซือนำปี่เล่มนั้นเหน็บไว้ข้างตัว เจี่ยงเถิงจ่ายเงินตามไป

ในสมองของนางเต็มไปด้วยเงาของลั่วซี ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่เหมือนแต่ก่อน พบปะกันน้อยมาก จนกระทั่งไม่ได้ติดต่อสื่อสารกันเลย

หรือนางอาจจะตาฝาดไปจริง ๆ ก็ได้

เจี่ยงเถิงเห็น

นางมองออกไปยังที่ไกล ๆ

เจี่ยงเถิงเห็นหนังสือภาพจึงรุดหน้าเข้าไปสอบถาม หลินซือนั่งรออยู่ในร้านถัดไป

นางทอดมองออกไปไกล ๆ สายตานั้นจมอยู่ในคลื่นฝูงชน

เป็นอย่างที่คิดไว้ นางเห็นเงาของลั่วซีอีกครั้ง

ลั่วซียืนอยู่ในที่ที่ไกลออกไป และกำลังสบตากับนาง สายตาของคนทั้งสองประสานกัน เหมือนกับกำลังบอกถึงความสัมพันธ์ที่เคยเกิดขึ้น

คนที่อยู่ข้างกายลั่วซีค่อนข้างดูสนิทสนมมาก และดูท่าทางใจดี

“เจ้าจริง ๆ ด้วย”

สายตาของทั้งสองคนสอดประสานกัน ราวกับเข้าใจคำพูดเหล่านั้นทั้งหมด

ใบหน้าของลั่วซีแต้มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นอบอุ่นต่อหัวใจของหลินซืออย่างมาก การผจญภัยในครานี้ไม่สูญเปล่า

นางส่งยิ้มกลับไป ลั่วซีเจ้าคงมีความสุขแล้วจริง ๆ

เจี่ยงเถิงซื้อหนังสือภาพแล้วกลับมาข้างกายของหลินซือ กระทั่งเห็นนางเหม่อลอยอีกครั้ง

“ฮูหยิน ทำไมเจ้าถึงนั่งยิ้มโง่เขลาเพียงลำพัง มองคุณชายคนไหน?”

หลินซือละสายตากลับมา ในตอนที่ปรายตามองอีกครั้ง ลั่วซีก็หายไปจากฝูงชนแล้ว

นางปรับจิตปรับใจ ยืนโอบกอดเจี่ยงเถิงอย่างสนิทสนม

“พี่อาเถิง พี่อาเถิง”

“ทำไมหรือ?”

หลินซือกุมมือของเจี่ยงเถิง แล้วดึงตัวเขาเข้าไปปะปนอยู่ในฝูงชน ทิ้งคำพูดนับร้อยนับพันคำไว้ในใจ

ไม่ว่าจะพูดอีกกี่ครั้ง นางจะอยู่เคียงข้างเจี่ยงเถิงตลอดไป ความงดงามเหล่านั้นจะกลายเป็นความทรงจำร่วมกันของพวกนับตั้งแต่คืนนี้ไป

“เบื้องหน้าคือสถานที่ที่คึกตักที่สุดในค่ำคืนนี้ อยากไปดูโคมไฟไหม?”

“อยากสิ”

เจี่ยงเถิงพาหลินซือเดินเข้าไปในส่วนลึกสุด หลินซือมองโคมไฟที่ล่องลอยอยู่บนฟากฟ้า หัวใจของนางสว่างเจิดจ้า

นางชี้นิ้วไปยังโคมไฟ

“เจ้าว่าสวยไหม?”

เจี่ยงเถิงหันข้าง มองหลินซือ ด้วยแววตาเปล่งประกาย

“สวยสิ”

ชีวิตที่เหลือหลังจากนี้ เราจะมีชีวิตที่เป็นสุขและสดใสดั่งโคมไฟเหล่านี้

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เดินทางมาถึงตอนจบแล้วนะคะ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่อยู่ด้วยมาจนถึงตอนสุดท้ายนะคะ

ไหหม่า (海馬)