ตอนที่ 690 อายุยืนนับร้อยปี

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 690 อายุยืนนับร้อยปี

เขาไม่ใช่คนที่จะเขียนชีวประวัติอย่างส่งเดชเพียงเพราะได้ยินเรื่องเล่าจากคนตระกูลเดียวเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงเป็นที่เคารพนับถือของคนมากมายเช่นนี้

“กลับกันเถิด!”

ไป๋จิ่นจื้อให้กำลังใจตัวเอง นางจะหลบหน้ามารดาของตัวเองไปทุกวันเช่นนี้ไม่ได้ ยื่นคอก็โดนดาบ หดคอก็โดนดาบ ไม่สู้กลับไปตอนนี้เลยดีกว่า

“ชิงผิงต้องกลับไปค่ายทหารต่อ ข้าไม่ไปส่งจวิ้นจู่แล้วนะขอรับ” ไป๋ชิงผิงโค้งกายคำนับไป๋จิ่นจื้อ

ไป๋จิ่นจื้อพยักหน้าแล้วก้าวขึ้นไปบนหลังม้า สาวน้อยถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง จากนั้นพาองครักษ์ไป๋มุ่งหน้ากลับไปยังจวนไป๋ด้วยสีหน้าที่พร้อมตาย

เป็นดั่งที่ไป๋จิ่นจื้อคาดการณ์ไว้ เมื่อนางเข้าไปในจวนก็เห็นมารดายืนถือไม้เรียวเคาะไปที่มือของตัวเองเป็นจังหวะพลางส่งยิ้มให้นาง

จู่ๆ ไป๋จิ่นจื้อก็รู้สึกเจ็บที่มือข้างที่กำลังกุมบังเหียนม้าขึ้นมาทันที สาวน้อยยิ้มประจบมารดา “ท่านแม่ไม่ไปดูอาการพี่หญิงใหญ่หรือเจ้าคะ”

“ข้าเพิ่งออกมาจากเรือนพี่หญิงใหญ่ของเจ้า เจ้าไม่ต้องห่วง พี่หญิงใหญ่ของเจ้ามีป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าคอยดูแลอยู่ เจ้าเข้ามาคุยกับข้าใกล้ๆ สิ”

หลี่ซื่อแสยะยิ้มพลางกวักมือเรียกไป๋จิ่นจื้อ

“มานี่…ไม่ต้องกลัว!”

ไป๋จิ่นจื้อคุกเข่าลงหน้าประตูจวนอย่างหมดสภาพ แบมือสองข้างพลางชูขึ้นเหนือศีรษะอย่างนอบน้อม

“ขอเพียงท่านแม่ไม่โกรธข้า ท่านแม่จะตีข้าเท่าใดก็ได้เจ้าค่ะ ทว่า เบามือหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ พี่หญิงใหญ่ได้บาดเจ็บอยู่ ข้าต้องช่วยงานพี่หญิงใหญ่อีกหลายเรื่อง หากได้รับบาดเจ็บที่มือคงขี่ม้าไม่สะดวกนักเจ้าค่ะ”

เมื่อหลี่ซื่อได้ยินเช่นนี้ น้ำตาของนางไหลพรากลงมาทันที

หมัวมัวข้างกายของหลี่ซื่อรีบหยิบไม้เรียวไปจากมือของหลี่ซื่ออย่างระมัดระวัง จากนั้นกล่าวยิ้มๆ

“ฮูหยินดูสิเจ้าคะ คุณหนูสี่สำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินอย่าโมโหนางอีกเลยนะเจ้าคะ คุณหนูสี่เป็นห่วงคุณหนูใหญ่มากถึงได้รีบร้อนจากไปโดยทิ้งจดหมายไว้เพียงฉบับเดียวเช่นนี้ ฮูหยินเห็นแก่ความห่วงใยที่คุณหนูสี่มีให้คุณหนูใหญ่ อีกทั้งตอนนี้คุณหนูใหญ่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณหนูสี่ยกโทษให้คุณหนูสี่เถิดเจ้าค่ะ!”

หมัวมัวกล่าวพลางส่งสัญญาณให้ไป๋จิ่นจื้อ ไป๋จิ่นจื้อรีบลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าหลี่ซื่อพลางกอดเอวมารดาของตัวเองแน่น จากนั้นเงยหน้ามองหลี่ซื่อ “ท่านแม่อย่าโมโหข้าอีกเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อจ้องไป๋จิ่นจื้อเขม็งทั้งน้ำตา ใช้นิ้วจิ้มไปที่ศีรษะของบุตรสาวอย่างแรง ทว่า กลืนคำต่อว่าบุตรสาวลงไปในลำคอ นางโน้มกายประคองบุตรสาวให้ลุกขึ้นมาจากพื้น จากนั้นช่วยปัดกระโปรงที่เปื้อนฝุ่นให้

เมื่อเห็นใบไม้แห้งติดอยู่ที่ปลายพู่ของถุงหอมของไป๋จิ่นจื้อ อีกทั้งรอยเปื้อนที่รองเท้าหนังคู่ใหม่ที่นางเพิ่งเปลี่ยนให้ หลี่ซื่อโมโหขึ้นมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้

“เจ้าดูตัวสภาพของตัวเองสิ ไม่เหลือคราบของกุลสตรีสักนิด! เจ้าลองดูญาติผู้พี่ต่งถิงเจินของเจ้า เมื่อใดเจ้าจะเรียบร้อยได้ครึ่งของนางเสียที เมื่อนั้นข้าคงนอนตายตาหลับแน่”

“เช่นนั้นข้าคงต้องทำตัวมอมแมมเช่นนี้ต่อไป ท่านแม่ของข้าจะได้อายุยืนนับร้อยปีเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อเอนกายซบบ่าของมารดา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แสดงท่าทีออเซาะมารดาอย่างเต็มที่

หลี่ซื่อจ้องไป๋จิ่นจื้อเขม็ง ทว่า จ้องไปสักพักก็เผลอหลุดหัวเราะออกมา นางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่หางตา ผลักไป๋จิ่นจื้อออกพลางถลึงตาใส่

“ไม่ตีเจ้าก็ได้ ทว่า เจ้าเตรียมกลับไปคัด ‘เตือนหญิง’ หนึ่งพันจบได้เลย ห้ามให้ผู้อื่นคัดแทนเด็ดขาด หากคัดไม่เสร็จ ระวังขาของเจ้าไว้ให้ดี รีบกลับไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วทานน้ำแกงร้อนๆ เสีย”

กล่าวจบ หลี่ซื่อเขกไปที่ศีรษะของไป๋จิ่นจื้ออีกครั้ง จากนั้นเดินนำไป๋จิ่นจื้อกลับไปที่เรือน

“คุณหนูสี่ ฮูหยินลงมือทำน้ำแกงให้คุณหนูใหญ่และคุณหนูสี่ด้วยตัวเองเลยนะเจ้าคะ คุณหนูรีบตามฮูหยินไปชิมเถิดเจ้าค่ะ” หมัวมัวเอ่ยกับไป๋จิ่นจื้อเสียงเบา

“ฮูหยินรักคุณหนูมากนะเจ้าคะ”

“ข้ารู้อยู่แล้ว!” ไป๋จิ่นจื้อพยักหน้ายิ้มๆ

“หมัวมัวต้องช่วยกล่าวชมข้าต่อหน้าท่านแม่เยอะๆ ด้วยนะ”

“คุณหนูสี่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”

ไป๋จิ่นจื้อลูบอกของตัวเองอย่างโล่งใจ รอดพ้นวิกฤตครั้งนี้มาได้แล้ว แค่คัดตำรา ‘เตือนหญิง’ หนึ่งพันจบเอง ขอเพียงนางคัดไปสิบจบแล้วอ้างว่าปวดมือ ท่านแม่ต้องสงสารยอมให้นางพักสักสองสามวันค่อยคัดต่อแน่ แล้วอีกไม่นานท่านแม่ก็คงลืม…

ไป๋จิ่นจื้อรีบเดินตามหลังมารดาของตัวเองให้ทัน จากนั้นคล้องแขนมารดาเดินกลับไปยังเรือนของฮูหยินสามหลี่ซื่อ ฮูหยินสี่หวังสี่และฮูหยินห้าฉีซื่อนั่งอยู่ในเรือนสักพักหนึ่ง จากนั้นจึงพาคุณหนูห้า คุณหนูตัวเอง

เรือนปัวอวิ๋น

หกและคุณหนูแปดออกมาจากเรือนปัวอวิ๋น ปล่อยให้ต่งซื่อและไป๋ชิงเหยียนมีเวลาอยู่กันตามลำพังสองแม่ลูก

ต่งถิงเจินไม่ใช่คนไม่รู้มารยาท เมื่อบรรดาฮูหยินและคุณหนูตระกูลไป๋จากไปได้ไม่นาน หญิงสาวก็เดินออกมาจากห้องในเรือนปัวอวิ๋น กล่าวว่าจะไปนำของว่างจากโรงครัวเล็กมาให้ไป๋ชิงเหยียน

เมื่อถงหมัวมัวเห็นว่าทุกคนออกไปหมดแล้ว นางจึงขยับเข้าไปใกล้ไป๋ชิงเหยียน สอบถามอาการบาดเจ็บของหญิงสาวอย่างละเอียด น้ำตาของถงหมัวมัวไหลพราก นางสงสารไป๋ชิงเหยียนจนอยากเจ็บแทนหญิงสาว

เหตุใดคุณหนูใหญ่ของพวกนางถึงต้องลำบากถึงเพียงนี้กัน แค่เดินทางกลับซั่วหยางยังต้องทำให้ตัวเองเจ็บตัวถึงเพียงนี้

ไป๋ชิงเหยียนสนทนากับหมัวมัวอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงบอกหมัวมัวว่านางพาอิ๋นซวงกลับมาด้วย ให้ถงหมัวมัวไปหาอิ๋นซวง

เมื่อถงหมัวมัวจากไป ไป๋ชิงเหยียนไล่ทุกคนออกไปจากห้องทั้งหมด ฉินหมัวมัวและชุนเถายืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง ไป๋ชิงเหยียนหยิบแผนที่หนังแกะที่ซ่อนไว้ในเสื้อออกมากางลงบนโต๊ะสีเหลี่ยมสีดำ จากนั้นเงยหน้ามองต่งซื่อด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “ท่านแม่…ดูสิเจ้าคะ”

ต่งซื่อมองบุตรสาวอย่างสงสัยแวบหนึ่ง จากนั้นมองไปยังแผนที่หนังแกะ เมื่อต่งซื่อเห็นลายมือที่อยู่บนแผนที่หนังแกะก็เบิกตาโพลงทันที นางรีบคว้าแผนที่หนังแกะขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด มือทั้งสองข้างสั่นเทา ดวงตาเริ่มพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตา มองแผนที่หนังแกะฉบับนั้นราวกับต้องการทะลุเข้าไปในแผนที่

“อาเป่า…” เสียงของต่งซื่อสั่นระริก นางหันกลับไปมองไป๋ชิงเหยียน ทว่า กลัวว่าจะพลาดสิ่งใดบนแผนที่ไปจึงรีบเบนสายตากลับไปจ้องแผนที่อีกครั้ง

“ท่านแม่…” ไป๋ชิงเหยียนเอื้อมมือไปกุมมือของต่งซื่อแน่น กล่าวเสียงสะอื้น

“อาอวี๋ยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ! เขาอยู่ที่หนานหรง อาอวี๋ให้ลุงผิงนำแผนที่ฉบับนี้มาให้ข้า ท่านแม่ อาอวี๋ยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ!”

ต่งซื่อกัดปากของตัวเองแน่น นางเกือบร้องไห้ออกมาอย่างคุมไม่อยู่

ตั้งแต่ที่ตระกูลไป๋เกิดเรื่องขึ้นที่หนานเจียง ต่งซื่อไม่รู้ว่าตัวเองผ่านชีวิตในแต่ละวันมาได้อย่างไร

สามีและบุตรชายไม่ได้กลับมาจากหนานเจียง หากไม่ใช่เพราะนางต้องช่วยบุตรสาวดูแลตระกูลไป๋ หากไม่ใช่เพราะอาเป่าของนางยังไม่ได้ออกเรือน ต่งซื่อแทบอยากตามไปอยู่กับสามีและบุตรชายของนางให้สิ้นเรื่อง

นางคิดว่าคงมีแต่นางตายไปแล้วเท่านั้นจึงจะมีโอกาสพบหน้าสามีและบุตรชายอีกครั้ง นึกไม่ถึงเลยว่าสวรรค์จะมีตา บุตรชายของนางยังมีชีวิตอยู่!

ต่งซื่อตื่นเต้นมาก น้ำตาของนางไหลพรากลงมาอย่างควบคุมไม่อยู่ นางมองลายมือที่อยู่บนแผนที่หนังแกะอย่างละเอียด ใช้นิ้วลูบคลำไปที่ลายมือนั้นซ้ำไปซ้ำมา ทว่า ไม่กล้าออกแรงมาก กลัวว่าลายมือนั้นจะหายไป นางพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ของตัวเองไว้ จากนั้นหันไปทางไป๋ชิงเหยียนพลางหัวเราะและร้องไห้ออกมาพร้อมกัน

“นี่คือลายมือของอาอวี๋จริงๆ ใช่หรือไม่ จริงๆ ใช่หรือไม่”

ไป๋ชิงเหยียนมองดูท่าทีของต่งซื่อ นางกลืนก้อนสะอื้นลงไปในคอ พยักหน้าให้มารดายิ้มๆ “ท่านแม่ บัดนี้อาอวี๋อยู่ที่หนานหรงเจ้าค่ะ เขากำลังเตรียมพร้อมเพื่อวันข้างหน้า พวกเราจะให้ราชวงศ์ทราบข่าวการมีชีวิตอยู่ของอาอวี๋ไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นเรายังบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้ไม่ได้ ท่านแม่รู้ไว้ในใจก็พอเจ้าค่ะ”