บทที่ 567 พลิกสถานการณ์
น้ำในสระยามเดือนหนึ่งเย็นเยียบเสียดกระดูก แม้ว่าองค์หญิงหนิงอันจะว่ายน้ำเป็นแต่ก็ยังหนาวจนเกือบจะไร้ความรู้สึกแล้ว ผนวกกับอาภรณ์ฤดูหนาวที่หนาเตอะ หลังจากเปียกน้ำจนชุ่มทั่วร่างจึงหนักเป็นก้อนหิน ว่ายไม่ไปเลยแม้แต่น้อย!
กว่าองค์หญิงหนิงอันจะว่ายขึ้นมาถึงฝั่ง ก็เกือบจะแลกมาด้วยชีวิต
เจ้าเด็กอ้วนที่ทำนางตกน้ำหายจ้อยไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ส่วนหวงฝู่เสียนไม่ได้หนี เขานั่งอยู่บนรถเข็นริมฝั่งเช่นนั้น
องค์หญิงหนิงอันตัวสั่นฟุบอยู่ในพุ่มไม้หอบแฮกๆ อยู่นานทีเดียวกว่าจะมีเรี่ยวแรงเอ่ยขึ้น “…ใครอนุญาตให้เจ้าออกมา”
องค์หญิงหนิงอันกักบริเวณหวงฝู่เสียนตั้งแต่แรกแล้ว
หวงฝู่เสียนเอ่ย “ข้าออกมาตั้งนานแล้ว พวกเขาไม่ขวางข้าไว้”
หวงฝู่เสียนงี่เง่าโวยวายเอะอะก็จะปลิดชีวิตตัวเอง คนในวังจะขวางได้รึ
แผลตรงแขนขวาและหน้าผากขององค์หญิงหนิงอันเป็นแผลจริง แผลตรงหน้าผากค่อนข้างฉกรรจ์ สะเก็ดแผลหายดีแล้ว แต่แขนขวากลับโดนบาดโดนแทงไปจนต้องเย็บไปหลายเข็ม
เป็นลูกหมาตกน้ำเมื่อครู่นี้ ปากแผลจึงปริอีกหน เลือดซึมแขนเสื้อที่เปียกซ่กของนาง ย้อมเป็นสีแดงบริเวณกว้าง
องค์หญิงหนิงอันข่มความเจ็บปวดเสียดกระดูก กัดฟันปีนขึ้นมา
นางเดินตัวสั่นมาตรงหน้าหวงฝู่เสียน หอบหายใจเอ่ย “เจ้าจงใจใช่หรือไม่”
หวงฝู่เสียนประสานสายตาอันเย็นเยียบกับนาง ก่อนเอ่ยอย่างไร้ความหวาดกลัว “ข้าก็แค่เห็นท่านแม่เข้า จึงมาทักทายก็เท่านั้น”
องค์หญิงหนิงอันยกมือขึ้นจะฟาดหวงฝู่เสียน แต่น่าเสียดายที่นางไม่เหลือเรี่ยวแรงใดแล้วจริงๆ ยังไม่ทันจะได้ตบหน้าหวงฝู่เสียน นางก็ล้มลงกับพื้นเสียแล้ว
เมื่อเหลียนเอ๋อร์ออกมาตามหาหวงฝู่เสียนแล้วเจอที่นี่เข้า องค์หญิงหนิงอันก็สลบไปแล้ว
องค์หญิงหนิงอันหมดสติไปถึงสองชั่วยามจึงฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่นางทำหลังจากลืมตามาคือไปสั่งสอนหวงฝู่เสียน
“องค์หญิง! องค์หญิง! ร้ายดีอย่างไรก็คลุมอาภรณ์ด้วยสิเพคะ!”
เหลียนเอ๋อร์หยิบเสื้อคลุมกันลมวิ่งตามมา
“อย่าเข้ามา!”
องค์หญิงหนิงอันปิดประตูกันเหลียนเอ๋อร์ไว้ด้านนอก
นางไม่มีเวลามาสนใจความเจ็บบนบาดแผล เดินมาข้างเตียงผู้ป่วยอย่างโมโห กำลังจะแผลงฤทธิ์กลับพบบางอย่างผิดปกติไป
อาการหวงฝู่เสียนไม่ค่อยดี พูดให้ถูกก็คือย่ำแย่ยิ่ง ทั่วใบหน้าเขาซีดเผือดเป็นกระดาษ หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดซึม คล้ายไม่มีสติเลย
องค์หญิงหนิงอันพลันวิตกขึ้นมาทันที นางเปลี่ยนท่าทีที่น่ากลัวนั่งลงข้างเตียง กุมมือหวงฝู่เสียนเอาไว้ พลางลูบหน้าผากหวงฝู่เสียน “เสียนเอ๋อร์! เสียนเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไป! เจ้าอย่าทำให้ข้าใจไม่ดีสิ!”
หวงฝู่เสียนทรมานกับความเจ็บปวดเจียนตายของขาพิการ ทว่าเขาไม่พูดอะไรสักคำ ทำเพียงฝืนทนความเจ็บปวดที่เนื้อหนังถูกกระดูกเสียบแทงอยู่เงียบๆ
องค์หญิงหนิงอันสะอื้นเอ่ย “เสียนเอ๋อร์! เสียนเอ๋อร์เจ้าคุยกับแม่สิ! เจ้าอย่าหลับนะ! แม้แต่เจ้าก็อย่าได้จากแม่ไปนะ! แม่เสียเจ้าไปไม่ได้! เจ้าเป็นอะไรไป หืม เจ้าเป็นอะไร”
นางเอ่ยพลางหันไปตะโกนใส่หน้าประตู “หมอหลวง! ตามหมอหลวงมา!”
ในที่สุดหวงฝู่เสียนก็ลืมตาขึ้นมามองนาง เขาใช้กำลังใจอย่างมากในการฝืนข่มความเจ็บ ก่อนเอ่ยกับนางอย่างอ่อนระโหย “วางมือเถิด ท่านแม่”
อารมณ์องค์หญิงหนิงอันพลันชะงัก “เจ้าพูดอะไรน่ะ”
ลมหายใจหวงฝู่เสียนอ่อนระโหย “ข้าจะเคารพเชื่อฟังต่อท่าน…ตลอดชีวิต…ข้าจะเคารพเชื่อฟังท่าน…จะไม่โกรธท่าน…จะไม่ทำให้ท่านโมโห…จะเป็นลูกชายที่ดีของท่าน…เราออกไปจากที่นี่…ไปให้ไกลแสนไกล…ไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก…เหมือนกับ…ตอนที่ข้าเด็กๆ…ตอนเด็กๆ ที่ข้าชอบท่าน…”
องค์หญิงหนิงอันเช็ดน้ำตาตรงหางตาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใด “พวกเขาฆ่าพ่อของเจ้า ฆ่าท่านยายของเจ้า ซ้ำยังทำลายภารกิจยิ่งใหญ่ที่เดิมเป็นของเจ้าด้วย”
“ข้าไม่ต้องการของพวกนั้น…” หวงฝู่เสียนคว้ามือนางไว้ ความเจ็บปวดกัดกินเขา ขอบตาเขาแดงก่ำ “ข้าต้องการแค่ท่าน…เราออกจากที่นี่กัน…ดีหรือไม่”
“ไม่!”
องค์หญิงหนิงอันชักมือกลับอย่างเย็นชา นางลุกขึ้นกดตามองต่ำไปยังหวงฝู่เสียนที่มีสีหน้าซีดเผือด “ใช้ชีวิตให้ดี พอโตแล้วจะได้มีทายาทให้พ่อเจ้า”
เอ่ยจบนางก็หันหลังออกจากห้องไป
เหลียนเอ๋อร์พาหมอหลวงมาหา นางมองนายหญิงตัวเองด้วยความประหลาดใจ “องค์หญิง เป็นอะไรไปเพคะ”
องค์หญิงหนิงอันไม่ได้ตอบนาง แต่กลับเอ่ย “ให้หมอหลวงเข้าไปดูหน่อย”
“เพคะ” เหลียนเอ๋อร์พาหมอหลวงเข้าห้องไป
องค์หญิงหนิงอันกลับมาที่ห้องตัวเอง
เพียงไม่นานเหลียนเอ๋อร์ก็รีบร้อนมารายงาน “องค์หญิง คุณชายไม่ให้ความร่วมมือเพคะ ไม่ยอมให้หมอหลวงรักษาให้เลย”
องค์หญิงหนิงอันเอ่ยเสียงเรียบ “เขามีเรี่ยวแรงเพียงนี้ คงไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก ถ้าไม่ยอมรักษาก็ปล่อยเขาเจ็บอยู่อย่างนี้แหละ”
เหลียนเอ๋อร์อ้าปากพะงาบๆ “องค์หญิง”
องค์หญิงหนิงอันแววตาวูบไหว “ส่งหมอหลวงให้เฝ้าไว้”
“เพคะ!”
…
แววตาองค์หญิงหนิงอันเย็นเยียบถึงขีดสุด
นางยืนอยู่ข้างหน้าต่างเงียบๆ ทอดมองลานเรือนสงบเงียบงันดุจหิมะ แล้วมองไปยังพระจันทร์เสี้ยวบนฟากฟ้า
ทันใดนั้น นางคล้ายจะตัดสินใจบางอย่างได้ หันหลังเดินไปทางตำหนักฮว๋าชิง
ณ ตำหนักฮว๋าชิง
เว่ยกงกงเพิ่งจะเช็ดตัวถวายฮ่องเต้เสร็จ กำลังจะไปหาของกินที่ห้องเครื่องเล็ก เพิ่งเดินมาถึงสวนก็ถูกเงาร่างรวดเร็วปิดปากไว้กะทันหัน!
เขาตกใจร้องเสียงอู้อี้
“ข้าเอง!”
อีกฝ่ายกระซิบบอก
เว่ยกงกงชะงัก
อีกฝ่ายดึงมือออก เว่ยกงกงหันกลับไปหา เอ่ยด้วยความตกใจ “ฉินกงกงรึ”
“ชู่ว์” ฉินกงกงทำมือให้เงียบ แล้วดึงเขาไปหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
เว่ยกงกงเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “ไหนเจ้า…หนีออกไปแล้วมิใช่รึ เหตุใดจึงยังอยู่ในวังเล่า”
ฉินกงกงเอ่ย “วันนั้นเดิมทีข้าก็กะจะไปนั่นแหละ แต่ต่อมาคิดแล้วทำใจไม่ลง จึงตัดสินใจรั้งอยู่ต่อดีกว่า”
เว่ยกงกงจิ๊ปากบ่น “เจ้าไม่กลัวถูกจับได้รึ!”
ฉินกงกงเอ่ย “ข้าทำงานในวังหลวงมานานนมเพียงนี้ แค่หาที่ซ่อนสักแห่งจะไปยากอะไร”
เว่ยกงกงถลึงตาใส่เขา “เช่นนั้นเจ้าก็อย่าวิ่งมานี่สิ! อันตรายยิ่งนัก! อีกเดี๋ยวข้าจะดูคนในวังให้ เจ้ารีบไปเสีย อย่าได้มาอีกล่ะ!”
เว่ยกงกงเอ่ยเช่นนี้ได้ก็หมายความว่าในใจเขาไม่ได้เปลี่ยนแปร
ฉินกงกงลอบถอนหายใจ เอ่ยออกมาตรงๆ ว่าเขารวบรวมความกล้ามหาศาลเพื่อมาหาเว่ยกงกง เขากลัวว่าเว่ยกงกงจะคิดทรยศไปจริงๆ เช่นนั้นการปรากฏตัวของเขาก็คือวันตายของเขาแน่แล้ว
ฉินกงกงมองไปรอบๆ กดเสียงเบาเอ่ย “เจ้าเล่ามาทีซิ วันนั้นเกิดอะไรขึ้นในห้องทรงอักษรกันแน่ ฝ่าบาทกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร ไหนจะองครักษ์หลงอิ่งข้างกายฝ่าบาทอีก เกิดอะไรขึ้น”
…
“ใครน่ะ”
เมื่อองค์หญิงหนิงอันเดินผ่านสวนเล็กของตำหนักฮว๋าชิง เห็นเงาลับๆ ล่อๆ อยู่หลังต้นไม้ใหญ่
เว่ยกงกงหน้าแหยๆ เดินออกมาจากหลังต้นไม้ “องค์หญิง”
องค์หญิงหนิงอันถามด้วยความสงสัย “เจ้ามาทำอะไรตรงนั้นลับๆ ล่อๆ น่ะ”
เว่ยกงกงยิ้มเอ่ย “ข้าน้อยทำกุญแจหายจึงหาไปทั่วเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“หาเจอหรือยัง” องค์หญิงหนิงอันถาม
“ยังเลยพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงเอ่ยอย่างเสียดาย
องค์หญิงหนิงอันยกยิ้มเย็น เดินตรงไปหาเว่ยกงกง
สีหน้าเว่ยกงกงฉายความวิตกอย่างปิดไม่มิด
องค์หญิงหนิงอันเดินเข้ามาใกล้ นางเห็นอีกเงาร่างหนึ่งบนพื้น สายตาพลันเย็นเยียบ “ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก!”
เงาร่างนั้นเดินออกมาอย่างเขินอาย
องค์หญิงหนิงอันพลันขมวดคิ้ว “เจ้าคือ…”
เว่ยกงกงรีบขวางคนผู้นั้นไว้ด้านหลัง เอ่ยอ้อนวอน “องค์หญิง บ่าวไม่ได้ตั้งใจพ่ะย่ะค่ะ บ่าวไม่กล้าอีกแล้ว บ่าว…”
องค์หญิงหนิงอันมองมือที่เว่ยกงกงจับข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้ นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงหลุดหัวเราะออกมา “ที่แท้เว่ยกงกงก็มีความรักนี่เอง ในวังมีกฎห้ามไว้ชัดเจน แต่ข้าใจดีมีเมตตา คืนนี้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
เว่ยกงกงดึงนางกำนัลด้านหลังให้คุกเข่าลง “ขอบพระทัยองค์หญิง! ขอบพระทัยองค์หญิง!”
หลังจากที่องค์หญิงหนิงอันไปตำหนักบรรทมของฮ่องเต้แล้ว ฉินกงกงจึงได้เดินออกมาจากหลังต้นไม้
พวกเขาพากันถอนหายใจยาวเหยียด
“คนผู้นี้ไว้ใจได้หรือไม่” ฉินกงกงชี้ที่นางกำนัลที่โดนลากมาเล่นละครชั่วคราว
“ไว้ใจได้ วางใจเถิด” เว่ยกงกงบอก ใครบ้างจะไม่มีคนรับใช้ใต้บัญชาไว้ ข่าวที่องค์หญิงหนิงอันเข้าตำหนักฮว๋าชิงเมื่อครู่ก็เป็นนางที่มารายงาน
“เว่ยกงกง”
เสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อนขององค์หญิงหนิงอันลอยมาจากในห้องบรรทม
“มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยกงกงรีบทำไม้ทำมือไล่ฉินกงกง
ฉินกงกงมองห้องบรรทมฮ่องเต้ ก่อนจะออกจากตำหนักฮว๋าชิงด้วยสีหน้าอึมครึม
“องค์หญิง!” เว่ยกงกงยิ้มแย้มเดินมาตรงหน้าองค์หญิงหนิงอัน
องค์หญิงหนิงอันนั่งบนเก้าอี้ของฮ่องเต้ วางราชโองการที่เขียนเสร็จลง แล้วเอ่ยกับฉินกงกง “เสร็จแล้ว เอาราชลัญจกรหยกมาประทับสิ”
“นี่…” เว่ยกงกงปรับสายตามองราชโองการ ก่อนจะถลึงตาโตเอ่ย “องค์หญิง!”
องค์หญิงหนิงอันยิ้มบาง “ทำไมรึ ข้าเขียนผิดหรือ ฝ่าบาทประชวร ไม่อาจออกว่าราชการด้วยพระองค์เองได้ ซ้ำไทเฮาก็สมคบคิดวางแผนคิดกบฏทำร้ายฝ่าบาท บ้านเมืองไม่อาจไร้กษัตริย์ได้แม้สักวัน ให้องค์รัชทายาทว่าราชการจัดการบ้านเมืองแทนฝ่าบาทมีอันใดไม่เหมาะสมรึ กฎที่บรรพบุรุษตั้งขึ้นก็เป็นเช่นนี้กระมัง”
กฎที่บรรพบุรุษตั้งขึ้นเป็นเช่นนี้ แต่ประโยคหลังของท่านไม่สอดคล้องกับกฎเลย!
ท่านจะขึ้นว่าราชการได้อย่างไรกัน
เว่ยกงกงพยายามเกลี้ยกล่อมสุดกำลัง “ทางฮองเฮา…เกรงว่าจะไม่ยอมรับง่ายๆ ”
องค์หญิงหนิงอันยิ้มเย็น “เนื้อหาในราชโองการแผ่นเดียว นางจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ ข้าพนันได้เลยว่า…นางจะให้โอรสตัวเองออกว่าราชการเองแน่!”
เซียวฮองเฮาย่อมให้ไท่จื่อออกว่าราชการอยู่แล้ว ถึงแม้สิ่งที่แลกจะมีองค์หญิงหนิงอันมากำกับดูแลบ้านเมืองเพิ่มก็ตาม
เซียวฮองเฮาอาจไม่ได้สนใจองค์หญิงหม้ายตรงหน้านางที่หมู่นี้เคารพเชื่อฟังแม้แต่น้อย
กำกับดูแลก็กำกับดูแล วันไหนนางอารมณ์ไม่ดีก็ค่อยให้ไท่จื่อปลดอำนาจกำกับดูแลบ้านเมืองของหนิงอันได้ตลอดเวลา
แต่มันจะราบรื่นเพียงนั้นจริงๆ น่ะรึ
หนิงอันไม่ใช่แกะน้อยหน่อมแน้ม นางเป็นหมาป่า!
ไท่จื่อจะเป็นคนได้กำจัดหนิงอัน หรือหนิงอันจะได้เป็นคนกำจัดไท่จื่อก็ยังยากจะบอกได้!
นึกถึงตอนนั้นที่จวงไทเฮาเริ่มจากอำนาจการกำกับดูแลบ้านเมืองไต่ขึ้นทีละก้าวๆ มาจนมีอำนาจปกคลุมราชสำนัก!
เว่ยกงกงอยากจะร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
จบเห่แล้ว ยามนี้จบเห่จริงๆ แล้ว
ราตรีนี้มีเหยี่ยวบินวนเวียนอยู่เหนือพระราชวัง ส่งเสียงร้องเย็นเยียบ กระพือปีกเข้าสู่ฟากฟ้าราตรี
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เซียวฮองเฮาก็ทราบข่าว นางมุ่งหน้าไปยังตำหนักฮว๋าชิง เว่ยกงกงจะประกาศราชโองการ
เซียวฮองเฮาสรงน้ำเสร็จ สวมใส่เรียบร้อย ก็ไปยังตำหนักฮว๋าชิงด้วยสีหน้าซับซ้อน
เว่ยกงกงอยู่ที่ตำหนักหลักของตำหนักฮว๋าชิงตั้งแต่แรกแล้ว
เซียวฮองเฮาเดินไปหาอย่างโมโห เอ่ยเสียงเบา “เมื่อคืนฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาอีกรึ ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าพอฝ่าบาทฟื้นให้รีบมารายงานข้า เจ้าเห็นถ้อยคำข้าเป็นลมผ่านหูหรือไร!”
เว่ยกงกงคิดในใจว่า ข้าไม่ได้เห็นถ้อยคำท่านเป็นลมผ่านหู เป็นองค์หญิงหนิงอันที่ไม่ให้เวลาข้าได้ตั้งตัวเลยต่างหาก
พอข้าเข้าไปนางก็เขียนราชโองการเสร็จแล้ว ท่านเร่งรุดมาก็มีผลเช่นเดิมอยู่ดี
เว่ยกงกงยิ้มแหยๆ ทูล “เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท บ่าวไม่มีความเห็นใด ขอฮองเฮาโปรดอภัยด้วย”
เซียวฮองเฮาถลึงตามองเขาอย่างเย็นชา “เว่ยเฉวียน เจ้าช่างโอหังนัก!”
เว่ยกงกงลำบากใจ เว่ยกงกงไม่พูด
เพียงไม่นานไท่จื่อก็เดินมาด้วยสีหน้างุนงง
“เสด็จแม่”
“องค์ชาย”
เซียวฮองเฮาขมวดคิ้ว เหตุใดแม้แต่ไท่จื่อก็มาด้วยเล่า หรือราชโองการจะเกี่ยวข้องกับไท่จื่อด้วย
เซียวฮองเฮาถามเว่ยกงกงเสียงเรียบ “ข้ากับไท่จื่อต่างมากันครบแล้ว เจ้าประกาศราชโองการสิ”
เว่ยกงกงยิ้มแห้ง “เรื่องสำคัญ พระประสงค์ของฝ่าบาททรงให้ประกาศราชโองการต่อหน้าฮองเฮาและเหนียงเหนียงทุกพระนางทราบพ่ะย่ะค่ะ”
คนที่ถูกเรียกเหนียงเหนียงได้อย่างน้อยๆ ก็เป็นชายาขั้นสามขึ้นไป
ครู่ต่อมา จวงกุ้ยเฟย ซูเฟย เย่ว์เฟยและเหล่าเหนียงเหนียงทุกคนก็ทยอยมาถึงตำหนักฮว๋าชิง
องค์หญิงหนิงอันก็มาด้วย
เมื่อคนมามากพอแล้ว ทุกคนจึงคิดว่านางก็ถูกเรียกให้มาฟังราชโองการเช่นกัน จึงไม่ได้สนใจอะไรนาง
เว่ยกงกงเห็นว่ามากันครบแล้ว จึงกางราชโองการในมือออก “ทุกท่านจงฟังราชโองการ…”
ทุกคนที่มีเซียวฮองเฮานำหน้าพากันคุกเข่าลงกับพื้น
“ด้วยโองการแห่งสวรรค์ ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชาว่า เราครองราชย์สมบัติมายี่สิบเอ็ดปีแล้ว แม้เราจะตรากตรำโหมงานหนักหามรุ่งหามค่ำ แต่เราก็ยังเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและมีคุณธรรม ยามนี้เรานอนประชวรอยู่บนเตียง วรกายไม่แข็งแรง ไท่จื่อมีคุณลักษณะสูงส่ง เหมือนกับเรามาก สามารถรับสืบทอดการงานจากเราต่อได้ ตั้งแต่บัดนี้ไปไท่จื่อจะเป็นผู้รับผิดชอบราชสำนัก และออกว่าราชการแทน”
เซียวฮองเฮาฟังมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจยาวเหยียด
ยังดี ยังดี เป็นราชโองการสนับสนุนไท่จื่อขึ้นรับสืบทอด
ชายาสนมคนอื่นๆ ฟังเนื้อหาราชโองการแล้วก็ตกใจกันไม่น้อย เพียงแต่พวกนางหาใช่ตกใจที่ไท่จื่อจะออกว่าราชการแทน แต่ตกใจที่ฮ่องเต้มอบอำนาจหลักในราชสำนักให้ มันหมายความว่าฮ่องเต้ทรงประชวรหนักยิ่งนัก
ถึงขั้นอาจจะนอนติดเตียงเลยก็ได้
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนในตอนนั้นแรกเริ่มก็เป็นเช่นนี้…
“อีกทั้ง…” เว่ยกงกงกระแอมในลำคอ
ทุกคนต่างตกใจ
ยังมีอีกรึ
“ไท่จื่อยังทรงเยาว์ ออกว่าราชการครั้งแรกเราจึงกังวล จึงแต่งตั้งตำแหน่งกำกับดูแลบ้านเมืองขึ้นมาเป็นพิเศษ โดย…” เว่ยกงกงอ้าปาก แววตามีความหวาดกลัวเข้มข้นยิ่งวาบผ่าน
“โดยอะไร” ไท่จื่อถาม
องค์หญิงหนิงอันยกมุมปากโดยไม่เป็นที่สังเกตเห็น
เว่ยกงกงเหงื่อเย็นผุดซึม พักใหญ่ๆ เขาจึงรวบรวมกำลังใจ อ่านตามราชโองการ “โดยองค์หญิงซิ่นหยางกำกับดูแลบ้านเมือง!”
องค์หญิงหนิงอันพลันถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ !