บทที่ 760 สายสัมพันธ์

“พี่สาวของเจ้าบอกว่าเจ้าป่วย หมายถึงเจ้าพูดไม่ได้หรือ? ที่จริงแล้วอาการพูดไม่ได้ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรเพราะมีหลายวิธีที่จะแสดงออกถึงตัวตนของเจ้าได้ ทั้งปลายพู่กันของเจ้ายังมีพลังเหนือสิ่งอื่นใด” เว่ยจื่ออี้กล่าว

หัวใจที่หล่นหายของตู้เว่ยกำลังสั่นไหว นางเงยหน้ามองเว่ยจื่ออี้ ใบหน้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไร้แววรังเกียจหรือเห็นอกเห็นใจต่อผู้พิการ

ตู้เว่ยไม่ชอบความเวทนาเหล่านั้น นางอยากให้พวกเขามองนางเหมือนคนธรรมดาผู้หนึ่ง

แต่นั่นคือสิ่งที่ยากที่สุด

นับตั้งแต่ที่ตู้เว่ยตัดสินใจมาพบกับเว่ยจื่ออี้ก็เหมือนมีหินก้อนใหญ่ถ่วงไว้ที่หัวใจของนาง ตอนนี้หินก้อนนั้นถูกยกออกไปแล้ว รอยยิ้มของตู้เว่ยกลับมาสดใสอีกครั้ง งดงามราวกับดอกไม้ที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ

“เว่ยอวี๋ นั่งลงก่อนสิ” เว่ยจื่ออี้รีบบอก

ทั้งสองนั่งลงตรงข้ามโต๊ะ พวกเขาหันหน้าเข้าหากัน เด็กหนุ่มรินน้ำชาร้อนให้แก่นาง

“ตอนนี้หนาวมาก ดื่มชาสักแก้วให้ร่างกายอบอุ่นเถอะ”

ตู้เว่ยจิบชา ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของนาง แต่ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้น ไม่ได้มาจากชาร้อนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากรอยยิ้มที่อ่อนโยนของเด็กหนุ่มตรงหน้านางด้วย เว่ยจื่ออี้ขอกระดาษกับพู่กัน เขาไม่ได้ส่งให้กับเว่ยอวี๋โดยตรง แต่กลับวางลงที่ด้านหน้าของตัวเอง เว่ยจื่ออี้ยังคงมองเด็กสาวอยู่เช่นนั้นจนตนเองรู้สึกกระดากอาย ในที่สุดเขาก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษแล้วยื่นให้ตู้เว่ย

“เว่ยอวี๋ ชื่อจริงของเจ้าคืออะไรหรือ?”

ตู้เว่ยมองคำพูดในกระดาษพลันอุ่นวาบในหัวใจ เขานำกระดาษและพู่กันมาให้เพื่อให้นางได้เขียนโต้ตอบแม้นางจะอยู่ตรงหน้าเขา เขาเลือกที่จะใช้ตัวอักษรสื่อสารกับนาง ช่างน่าสนใจ

ตู้เว่ยเขียนชื่อของตัวเองลงบนกระดาษมอบให้กับเว่ยจื่ออี้ ลายมือที่แข็งแกร่งและทรงพลังขัดกับภาพลักษณ์ที่อ่อนโยน นั่นคือเหตุผลที่เว่ยจื่ออี้เข้าใจผิดคิดว่านางเป็นบุรุษ

เขามองลายมือของนาง ภาพของชายพเนจรผุดขึ้นมาในหัวใจของเขา งานเขียนของนางราวกับมังกรที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำหมึก จนกระทั่งวันที่เขามอบแท่นหมึกที่คิดว่าเหมาะสมให้กับนาง ทำให้เขาได้รู้ว่าความจริงแล้วนางเป็นเด็กสาวที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา

“ตู้เว่ย”

เว่ยจื่ออี้ท่องสองคำในใจเงียบๆ เขากลืนความหวานล้ำลงไปในลำคอ

“เว่ยจื่ออี้”

ชายหนุ่มเขียนชื่อตัวเองแล้วมอบมันให้แก่ตู้เว่ย แม้ว่านางจะรู้ชื่อของเขาแล้วก็ถาม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอ่านอีกครั้ง นางเขียนบางอย่างลงบนกระดาษส่งให้กับเว่ยจื่ออี้

“พี่สาวข้าพูดอะไรกับเจ้าหรือ?” ตู้เว่ยเขียนความสงสัยที่มีลงในกระดาษ

ตู้เยี่ยนบอกนางเรื่องแอบอ้างมาพบกับเว่ยจื่ออี้ไม่ใช่หรือ? นางจึงมาหาเว่ยจื่ออี้เพื่อจะบอกว่าตู้เยี่ยนไม่ใช่ตน

แต่ในตอนที่พบกันเว่ยจื่ออี้ถามนางอย่างตรงไปตรงมาว่าใช่เว่ยอวี๋หรือไม่ เขาไม่ได้เข้าใจผิดว่าตู้เยี่ยนเป็นนางหรอกหรือ ?

ตู้เว่ยรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ

“พี่สาวของเจ้ามาที่นี่เพื่อทดสอบว่าข้าจริงใจกับเจ้าเพียงใด นางถามข้าว่ารังเกียจหรือไม่หากเจ้าป่วย” เว่ยจื่ออี้เขียนคำตอบลงในกระดาษ

“เว่ยอวี๋ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร เวลาป่วยก็เหมือนกับเวลาตากฝนเท่านั้น” เว่ยจื่ออี้เขียนเพิ่มอีกประโยค

“พี่สาวของเจ้าห่วงใยเจ้ามาก”

ตู้เว่ยมองคำพูดพวกนั้นแล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางอย่างไม่รู้ตัว ตู้เยี่ยน..ใส่ใจนางมากเลยหรือ?

แม่นมจ้าวเลี้ยงดูตู้เว่ยมาตั้งแต่เด็ก ทำให้นางสนิทกับแม่นมจ้าวมากกว่า หลายปีที่ผ่านมาตู้เยี่ยนไม่ได้มาเยี่ยมนางมากนัก ทำให้ตู้เว่ยแทบไม่ได้ติดต่อกับนาง ตามคำบอกเล่าของแม่นมจ้าว คุณหนูใหญ่เติบโตเป็นสตรีหน้าซื่อใจคด พยายามส่งผู้ชายที่ไม่ดีมาให้นาง การกระทำของตู้เยี่ยนทำให้นางไม่สบายใจ นางจึงเหินห่างกับพี่สาว

แต่เมื่อคิดดูแล้ว ตู้เยี่ยนไม่เคยปฏิบัติตัวไม่ดีกับนาง ทั้งเสื้อผ้าและอาหารก็ไม่เคยขาด ตู้เว่ยจึงไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป พวกเขาพูดคุยเรื่องอื่นแทน

เมื่อได้พบปะเจอกันทั้งสองคนมีความสุข ราวกับมีเรื่องพูดคุยกันไม่รู้จบ กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าเต็มไปด้วยคำพูดมากมาย พวกเขากินมื้อเที่ยงกันที่ร้านอาหารฝั่งตรงข้าม จากนั้นจึงกลับไปคุยกันต่อที่ร้านหนังสือ

ใบหน้าที่อ่อนโยนของตู้เว่ยมีรอยยิ้มประดับอยู่ นางมีความสุขมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต เว่ยจื่ออี้ก็เช่นกัน คิ้วของเขาโค้งขึ้นดูนุ่มนวลอ่อนโยน

ที่นอกร้านหนังสือมีรถม้าติดป้ายคำว่าอู่อยู่ที่นอกรถ เป็นรถม้าของจวนอู่

อีกด้านหนังมีรถม้าที่ไม่มีป้ายบ่งบอกว่ามาจากไหน ด้านในมีเด็กสาวคนหนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างใน บางครั้งนางก็เปิดหน้าต่างมองไปยังร้านหนังสือสักทีหนึ่ง ตู้เยี่ยนหรี่ตาลงเล็กน้อย

ตู้เว่ยและเว่ยจื่ออี้พูดคุยกันไม่รู้จบ เวลาผ่านไปจนเย็นค่ำ พวกเขาก็ยังมีเรื่องคุยกันอีกมากมาย แต่ตอนนี้ได้เวลาต้องกลับแล้วไม่เช่นนั้นจะช้าเกินไป

ทั้งคู่เดินออกมาจากร้านหนังสือ เว่ยจื่ออี้จงใจยืนบังลมหนาวให้นาง

“เว่ยอวี๋ ให้ข้าไปส่งเจ้าที่บ้านดีหรือไม่?” เว่ยจื่ออี้ถามขึ้น

ตอนนี้เริ่มมืดแล้วไม่ปลอดภัยที่นางจะกลับบ้านคนเดียวท่ามกลางฝนปรอยลงมาเช่นนี้

“ไม่จำเป็น” ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น พวกเขาเห็นคนผู้หนึ่งลงมาจากรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกล นางไพล่มือไว้ที่หลังของตน

“เสี่ยวเว่ย กลับบ้าน”

ตู้เว่ยมองตู้เยี่ยนด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน นางแกล้งทำเป็นแอบอ้างตัวตนของตู้เว่ยเพื่อมาพบกับเว่ยจื่ออี้แต่เมื่อถึงตอนนี้การกระทำเหล่านั้นเป็นไปเพื่อต้องการผลักให้นางมีความกล้ามาเจอเว่ยจื่ออี้มากกว่า

ตู้เว่ยพยักหน้า จากนั้นจึงกล่าวอำลาเว่ยจื่ออี้ ขึ้นรถม้าของสกุลตู้

เว่ยจื่ออี้ยืนรอส่งนางจนกระทั่งรถม้าหายลับไปจากสายตา เขาแทบหุบยิ้มไม่ได้เลย

ภายในรถม้า

ตู้เยี่ยนนั่งอย่างเกียจคร้านในขณะที่ตู้เว่ยนั่งตัวตรงมองไปที่พี่สาว ทำให้ตู้เยี่ยนอึดอัด

“มองทำไม? ข้าแค่ผ่านมาเพราะมันมืดแล้วและไม่ปลอดภัย เจ้าพูดไม่ได้ หากหลงทางไปจะทำอย่างไร ถ้ามีคนร้ายมาจับตัวเจ้า เจ้าจะร้องให้ใครช่วยได้หรือ?”

ตู้เว่ยไม่พูดอะไร นางเอาแต่จ้องมองตู้เยี่ยน

“เอาล่ะ ข้าไปพบกับเว่ยจื่ออี้ในนามของเจ้า แต่ถูกจับได้ เขาเป็นคนดีมาก” ตู้เยี่ยนเอ่ย “เสี่ยวเว่ย เจ้าลองเก็บเขาไว้พิจารณาสิ”

ในที่สุดตู้เว่ยก็ละสายตามองไปทางอื่น ใบหูสีขาวของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ ระหว่างทางกลับบ้าน นางครุ่นคิดหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเว่ยจื่ออี้ที่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรง และเรื่องของฮูหยินตู้และพี่สาวของนาง

แต่แล้วนางกลับหวนคิดถึงเรื่องคุณชายสกุลฟางขึ้นมาได้ หากไม่มีตู้เยี่ยน เขาคงมาสู่ขอนาง ที่จริงแล้วตู้เยี่ยนกำลังช่วยเหลือนางต่างหาก

วันนั้นที่ตู้เยี่ยนปรากฏตัวขึ้นโดยบังเอิญจวนสกุลอู่และเอาแต่พูดเรื่องตู้เว่ยจะถูกลักพาตัวนั้น แม้คำพูดจะกระด้างหู แต่กลับแฝงไว้ด้วยความห่วงใย

สองพี่น้องกลับถึงจวนสกุลตู้ ทันทีที่ตู้เว่ยกลับไปที่ห้องของนาง ตู้เยี่ยนไปหามารดาของตนทันที

“กลับมาแล้วหรือ” ฮูหยินใหญ่จิบชา เหลือบสายตามองบุตรสาว

“ท่านแม่รอข้าอยู่หรือเจ้าคะ?” ตู้เยี่ยนยิ้ม เดินเข้ามาหาและบีบนวดไหล่ให้มารดา เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่พูดอะไร ฮูหยินตู้จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้น

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ที่กลับมาจนค่ำมืด เพราะพวกเขาคุยกันสนุกมาก” ตู้เยี่ยนกล่าว ฮูหยินตู้นวดขมับตัวเอง

“ท่านแม่ ข้ากำลังนวดให้ท่านอยู่ ไฉนท่านต้องนวดเองด้วย” ฮูหยินตู้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“ลูกแม่…”

“มีอะไรกวนใจท่านแม่หรือ?” ตู้เยี่ยนนวดศีรษะให้มารดา

“ชายคนนั้นได้รับการปล่อยตัวแล้ว อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว อายุของเขาเพิ่มขึ้นจึงได้รับการอภัยโทษ” ฮูหยินตู้กล่าว หลังจากได้ยิน สีหน้าของตู้เยี่ยนก็เปลี่ยนไป

“เขาคงไม่รู้เรื่องเสี่ยวเว่ย”

“แม่ก็หวังเช่นนั้น” ฮูหยินตู้กล่าว เพราะสุดท้ายแล้วคนผู้นั้นเป็นถึงองค์ชาย สกุลตู้ที่ต่ำต้อยคงไม่สามารถต่อกรได้