ภาค 4 ตอนที่ 53 ย่อมไม่กลัว

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ประตูห้องถูกปิด ผู้ดูแลใหญ่เกายืนอยู่นอกห้อง

เวลานี้เดินจากไปก็ไม่มีความหมายแล้ว เขาก็ไม่กล้าเดินจากไปจึงระแวดระวังเฝ้าป้องกันอยู่หน้าประตูเสียเลย

“ท่านแม่ ท่านทำข้าตกใจแทบตายแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ตบหน้าอก ใบหน้าประหนึ่งหยกขาวความหวาดผวายังไม่คลาย “คำนี้พูดไม่ได้นะขอรับ”

นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้ายังคงเดิม แค่นเสียงเหอะเย็นชา

“คำนี้มีสิ่งใดเอ่ยไม่ได้? ทำก็ทำไปแล้วยังกลัวพูดรึ?” นางเอ่ย

ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม ไกวแขนของนายหญิงใหญ่ฟาง

“ท่านแม่ ท่านรู้ได้อย่างไร?” เขาเอ่ย

“นายน้อยฟาง เจ้าอาจลืมแล้ว ก่อนหน้าเจ้าดูแลเต๋อเซิ่งชาง เป็นข้า…” นายหญิงใหญ่ฟางยื่นมือชี้ตนเอง ใบหน้าเย็นชาเอ่ย “…เป็นข้าจัดการวิ่งวุ่นอยู่สิบกว่าปี แม่ของเจ้าอยู่ในบ้านดูละครดูได้ยังไม่ถึงหนึ่งปี ยังไม่โง่หรอกนะ”

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะจนตัวคลอน เอนหัวพิงหัวไหล่ของนายหญิงใหญ่ฟาง

“ท่านแม่ท่านร้ายกาจจริงๆ” เขาเอ่ย

นายหญิงใหญ่ฟางยื่นมือผลักเขาออก

“ข้าก็คิดว่าข้าร้ายกาจมาตลอดเช่นกัน” นางมองฟางเฉิงอวี่พลันเอ่ยขึ้น “แต่ตอนนี้ดูพวกเจ้า ข้าถึงรู้ว่าคนที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงเป็นพวกเจ้า”

ฟางเฉิงอวี้หัวเราะคิกคัก

“เฉิงอวี่ อย่าเสแสร้งแกล้งโง่ เจ้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังทำสิ่งใดไหม?” นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าจริงจังเอ่ยขึ้น

ฟางเฉิงอวี่หุบยิ้มแล้ว เขาพยักหน้าจริงจัง

“บ้านเมืองมีภัย สมควรมีแรงออกแรงมีเงินออกเงิน” เขาเอ่ย “อย่างไรก็ไม่อาจเห็นคนตายไม่ช่วยได้”

นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มหยัน

“เจ้าไม่ได้บอกว่านี่เป็นการค้าสองครั้งรึ? ถ้าอย่านั้นมีแรงออกแรงมีเงินออกเงินจะแลกอะไรมาเล่า?” นางถาม

“ทำด้วยใจ ไม่หวังสิ่งตอบแทน” ฟางเฉิงอวี่ตอบ

“ไม่ต้องมาเอ่ยถ้อยคำยิ่งใหญ่นี่แล้ว” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้น “รักษาโรคให้เจ้า ยังบอกเงื่อนไขล่วงหน้าเรียบร้อย ทำข้อแลกเปลี่ยนเรียบร้อยเลย โจรไม่ไปตัวเปล่าคนเช่นนี้อย่างนาง จะทำงานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนได้อย่างไร”

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

“ท่านแม่ จิ่วหลิงเป็นโจรไปแล้วได้อย่างไร” เขาเอ่ย

นายหญิงใหญ่ฟางมองเขา

“เฉิงอวี่ เจ้าก็ไม่โง่ ข้าก็ไม่โง่ เรื่องราวมาถึงวันนี้ สิ่งที่นางมาดหมายใหญ่นัก” นางเอ่ยแล้วมองไปนอกประตู “ผู้ดูแลใหญ่เกา”

ผู้ดูแลใหญ่เกาขานรับผลักประตูเปิดยื่นศีรษะเข้ามา

“นายหญิง ข้าเฝ้าอยู่ขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา

“เจ้ายังจำได้ไหมว่าครั้งแรกที่เจ้าพบคุณหนูจวิน นางถามอะไรเจ้า?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้น

ผู้ดูแลใหญ่เกาสีหน้าตะลึงเล็กน้อย

นายหญิงใหญ่ฟางถามคำนี้ย่อมไม่ใช่ไม่ทราบคำตอบ เพียงแค่อยากให้เขากล่าวซ้ำอีกครั้งเท่านั้น

“นางถามถึงเมืองหลวง ถามถึงไหวอ๋องขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา

นายหญิงใหญ่ฟางมองไปทางฟางเฉิงอวี่

“ข้าก็อยากให้นี่เป็นสิ่งที่นางถามเล่นๆ ไปอย่างงั้น ไม่มีเจตนา” นางเอ่ย “แต่น่ากลัวว่าผู้อื่นจะไม่คิดเช่นนี้”

พูดถึงตรงนี้ก็พรูลมหายใจ

“ตอนนี้คนมากมายยังไม่รู้ว่าภรรยาท่านชายเป็นนาง เรื่องเหล่านี้ล้วนอยู่ที่ตัวเฉิงกั๋วกง เฉิงกั๋วกงกินเงินหลวงภักดีเจ้าแผ่นดิน ผู้คนไม่มีทางคิดมาก แต่เมื่อตัวตนของนางเปิดเผยต่อหน้าผู้คนเล่า?”

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว

“คุณหนูจวินช่วยเพื่อนมนุษย์ช่วยประชาชน รักษาคนได้ ยังรักษาบ้านเมืองได้อีกด้วย” เขาเอ่ย

นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มบ้าง

“เฉิงอวี่ มือของนางยื่นออกไปไกลเกินไปแล้ว” นางพูดขึ้นมา “นอกจากนี้ครอบครัวของเราก็ดี ครอบครัวของเฉิงกั๋วกงก็ดี ล้วนเป็นที่จับตาเฝ้าระวังของราชสำนักทั้งในที่แจ้งในที่ลับ มีเงิน มีอำนาจ มีทหาร ทั้งยังได้หัวใจผู้คนมากมายเช่นนี้ ได้ชื่อเสียงยิ่งใหญ่ปานนี้ พวกเราสามครอบครัวคนสามประเภทเกี่ยวข้องกัน คิดทำอะไร?”

“ท่านแม่ แบบนี้ไม่ยุติธรรม” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยจริงจัง “เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่มีแต่จิ่วหลิงทำได้ แต่คนอื่นล้วนไม่ทำ มีเพียงนางไปทำ เสี่ยงอันตราย สิ้นเปลืองทรัพย์สมบัติ ได้ชื่อเสียงหัวใจคนเหล่านี้มา เป็นสิ่งที่นางควรได้ ไม่อาจคาดเดานางเช่นนี้ได้”

“คาดเดานางเช่นนี้ได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราตัดสินใจ” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยพลางมองฟางเฉิงอวี่ “ผิดเพราะครอบครองหยก พวกเจ้าคิดให้ดีๆ เถอะ”

ผู้ดูแลใหญ่เการีบดันประตูเปิดออก คำนับนายหญิงใหญ่ฟาง

นายหญิงใหญ่ฟางก้าวออกจากประตู มองแสงวสันต์ฤดูอันงดงาม

“นางจะเอาทั้งตระกูลฟางไปจริงๆ” นางส่ายศีรษะยิ้มขมขื่น

ฟางเฉิงอวี่มองนายหญิงใหญ่ฟางจากไปก็พองแก้มพรูลมหายใจ

“ต่อไปก็ทำตามแผนการของจิ่วหลิงเถอะ” เขาเอ่ย คล้ายเรื่องใดล้วนไม่ได้เกิดขึ้น ต่อบทสนทนาเมื่อครู่แล้วเน้นเสียงหนัก “ไม่ว่าจะแผนการอะไร”

ผู้ดูแลใหญ่เกาขานรับ

“สี่สิบหมื่นตำลึงนั่นก็ใช้ซะให้หมด” ฟางเฉิงอวี่โบกมือสบายๆ อีกหน

ผู้ดูแลใหญ่เกาลังเลครู่หนึ่ง

“ใช้ไม่มากมายปานนั้นหรอกขอรับ” เขาเอ่ย

“เงินของสิ่งนี้ ไม่มีใครรังเกียจมาก มากหน่อยสิดี โบราณว่าถามสารทุกข์สุขดิบไม่สู้มอบเงินให้มากสักหน่อยไหม” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย

ก็ใช่ ผู้ดูแลใหญ่เกายิ้มพลางขานรับ แต่จากนั้นก็ลังเลครู่หนึ่ง

“ถ้าอย่างนั้นนายหญิงฝั่งนี้…” เขาเอ่ยถามเสียงเบา

“นั่นเป็นเงินของจิ่วหลิงนะ ไม่ต้องบอกนายหญิงหรอก” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย

เช่นนี้ก็ได้หรือ ผู้ดูแลใหญ่เกามองฟางเฉิงอวี่ด้วยสีหน้านับถือ ค้อมกายขานรับขอตัวจากไป

ในเรือนเหลือเพียงฟางเฉิงอวี่คนเดียว เขาไม่ได้หมุนกายเข้าห้อง แต่ยืนอยู่ตรงทางเดินมองไปยังท้องฟ้า

“ค้ำฟ้า” เขาพลันเอ่ยขึ้น

แต่เวลานี้เอ่ยคำนี้ บนหน้าไม่มีความตระหนกอย่างเมื่อครู่สักนิด

“ขอแค่นางต้องการ ค้ำก็ค้ำสิ”

……………………………………….

ปลายเดือนสามต้นเดือนสี่ นอกเมืองติ้งโจวผู้คนมหาศาล จากการส่งหนังสือไปมาครึ่งเดือน หนังสือเรียกตัวส่งมาถึงสามครั้ง ในที่สุดก็มาถึงวันที่เฉิงกั๋วกงนำทัพเข้าเมืองหลวงเข้าเฝ้าแล้ว

เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นต่อเนื่อง หทารแถวแล้วแถวเล่าเริ่มเคลื่อนพล หอกยาวตั้งเรียงราย ธงสีสยาย ยืนอยู่บนกำแพงมองดู อำนาจกดดันของกองทัพอันแข็งแกร่งน่าสะพรึง

ใต้ประตูเมืองวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง คนบนกำแพงเมืองรีบมองไป เห็นเฉิงกั๋วกงถูกขุนนางและแม่ทัพมากมายของมณฑลเหอเป่ยห้อมล้อมมา

เห็นเฉิงกั๋วกงมาถึง ฝูงชนที่มุงดูอยู่ก็ระเบิดเสียงโห่ร้องทันที

นอกจากฮึกเหิมแล้วยังสอดแทรกความอาวรณ์อยากรั้งอีกด้วย

“ท่านกั๋วกงต้องกลับมานะขอรับ”

“ท่านกั๋วกงอย่าไปเลยขอรับ”

มีประชาชนนนับไม่ถ้วนมากยิ่งกว่าชูตะกร้าไม้ไผ่ในมือขึ้น ในนั้นเป็นอาหารแห้งสำหรับเดินทางที่ดีที่สุดที่ตนเองจะเอาออกมาได้

ฝูงชนแห่แหนทำให้ทหารทั้งหลายที่รักษาระเบียบวุ่นวายอยู่พักหนึ่งถึงขวางไว้ได้

เฉิงกั๋วกงผู้สีหน้าสงบนิ่งตลอดมาก็สีหน้าหวั่นไหวอยู่บ้างเช่นกัน เขาทะยานม้าไปข้างหน้าหลายก้าว ประสานมือคำนับประชาชนรอบด้าน

การกระทำนี้ยิ่งทำให้ฝูงชนเอะอะขึ้นอีกพักหนึ่ง

ขุนนางและแม่ทัพมณฑลเหอเป่ยทั้งหลายด้านหลังที่เห็นภาพนี้สีหน้าหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง

ประการแรกอิจฉาบารมีในหมู่ประชาชนของเฉิงกั๋วกง ประการที่สองใจหายกลัวก็แต่ไปครั้งนี้ภาพนี้จะไม่มีอีกแล้ว

ระหว่างที่กำลังคิดสารตะวุ่นวายอยู่ เฉิงกั๋วกงก็หมุนตัวมองไปทางพวกเขา

“ก่อนหน้านี้ไม่นาน ในหมู่พวกเจ้ามีคนเคยเอ่ยประโยคหนึ่งกับข้า” เขาพลันเอ่ยขึ้น

ขุนนางและแม่ทัพทั้งหลายรีบสีหน้าขึงขังทำหน้าจริงจังท่าทางสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง เคยพูดอะไร? พวกเขาเองก็จำไม่ได้แล้ว

“พูดว่า ‘ขอเพียงท่านกั๋วกงท่านยังอยู่ พวกเราก็ไม่กลัวใครทั้งนั้น’” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้น

คำพูดนี้ไม่ใช่มีคนพูดกระมัง ทุกคนล้วนจะพูดเช่นนี้ ขุนนางกับแม่ทัพทั้งหลายที่นั่นคิด

นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้

“นี่ไม่ถูกต้อง” เฉิงกั๋วกงเอ่ยต่อ “ไม่ว่าข้าอยู่หรือไม่อยู่ พวกเจ้าล้วนจะไม่กลัว พวกเจ้าไม่กลัวไม่ใช่เพราะข้ายืนอยู่ข้างหน้า แต่ควรเป็นเพราะพวกเขา”

เขาพูดพลางยื่นมือกวาดนิ้วชี้รอบด้าน ขุนนางกับแม่ทัพทั้งหลายมองไปตามที่เฉิงกั๋วกงชี้

รอบด้านนี้คือประชาชนที่รุมล้อมอยู่ทั่วทุกสารทิศ มีคนมากมายระหกระเหินหลายวันเร่งเดินทางมาแค่เพื่อมองส่งครั้งหนึ่งนี้

“เพราะพวกเขายืนอยู่หลังร่างพวกเจ้า” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “มองพวกเจ้าเป็นบิดามารดาเป็นฟ้าดิน คนเป็นบิดามารดาย่อมไม่กลัว”

บรรดาขุนนางและแม่ทัพที่อยู่ที่นั่นขานรับพร้อมเพรียงทันที

ในเวลาเดียวกันคำพูดนี้ก็พูดต่อออกไป ชาวบ้านทั้งหลายที่ล้อมดูอยู่ยิ่งตื้นตัน ส่วนขบวนแถวที่เคลื่อนพลอยู่ก็ตะโกนคำสัญญาออกมาอย่างพร้อมเพรียง

“ไม่กลัว!”

“ไม่กลัว!”

“ไม่กลัว!”

นอกเมืองติ้งโจวฉับพลันเดือดพล่านประหนึ่งน้ำหยดลงกระทะน้ำมัน

เหลยจงเหลียนที่เดินอยู่ในขบวนแถวก็อดไม่ได้เหยียดหลังตรง มือที่กำบังเ**ยนสั่นเล็กน้อย

“ก็แค่ปลุกใจคนเท่านั้น” เสียงเย็นชาของจินสือปาลอยมาจากด้านข้าง

เหลยจงเหลียนมองเขาทีหนึ่ง

“ใจคนถูกปลุกได้แสดงว่ายังเป็นคน” เขาเอ่ย “อย่างไรก็ดีกว่ากระทั่งหัวใจก็ไม่มี”

จินสือปายิ้มเย็นชาไม่สนใจเขาอีก

“ทำไมเจ้าไม่ให้พวกองครักษ์เสื้อแพรของเจ้าช่วยเจ้าออกไป?” เหลยจงเหลียนเอ่ยขึ้น

อยู่เมืองติ้งโจวนานปานนี้ ตัวตนของพวกจินสือปาย่อมปิดไม่อยู่ องครักษ์เสื้อแพรที่ติ้งโจวมาหาถึงประตูแล้ว แต่จินสือปากลับไม่ได้โวยวาย ยังคงอยู่ในกองทหารรชิงซานเหมือนเดิม

“ภารกิจของข้าคือติดตามคุณหนูจวิน ภารกิจของข้าราบรื่นยิ่งมาตลอด ไยต้องพูดถึงคนมาช่วย?” จินสือปาตอบ

เหลยจงเหลียนยิ้มแล้ว

“เพราะคุณหนูจวินไปแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น

จินสีปาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ร่างกายขยับปุบ เหลยจงเหลียนก็ยกมือใช้หอกยาวจี้เขาไว้ ส่วนนายทหารที่ติดตามรอบด้านก็พริบตารุมเข้ามา