บทที่ 708 สหายเต๋าหานผู้ลึกลับยากจะหยั่งถึง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 708 สหายเต๋าหานผู้ลึกลับยากจะหยั่งถึง

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่นอยู่ตลอด ใคร่ครวญไปสารพัด

เมื่อครู่นี้เขาคิดหาทางจัดการได้ทางหนึ่งจริงๆ คือกำจัดสายเลือดเทพมารอนธการของบุตรชายคนเล็กออกไป ก็น่าจะถือกำเนิดได้แล้ว

แต่หากทำเช่นนี้ ก็เหมือนพ่ออย่างเขายับยั้งคุณสมบัติของลูกชายตนไว้

แล้วเหตุใดเขาถึงไม่สละสายเลือดเทพมารอนธการทิ้งไปเล่า

ความคิดแวบผ่านเข้ามาในสมองของหานเจวี๋ย ในไม่ช้าก็ถูกเขาสลัดทิ้งไป

ทำแบบนั้นไม่ได้!

บุตรชายคือเทพมารอนธการ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาเติบโตอีกหลายยุคสมัย

เขาคือเทพมารอนธการ ตอนนี้สามารถปกป้องทุกคนรอบตัวได้

หานเจวี๋ยไม่ใช่คนโง่ ไม่มีทางสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเอง

ช้าก่อน!

แล้วยังมีสายเลือดใดที่สูงส่งกว่าเทพมารอนธการอยู่อีกหรือไม่

หานเจวี๋ยสอบถามในใจทันที ‘หากสายเลือดของข้าก้าวข้ามเทพมารอนธการไป บุตรชายข้าจะถือกำเนิดออกมาได้หรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ได้ ฟ้าบุพกาลต่อต้านเพียงอนธการดั้งเดิมเท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ยังไม่ปรากฏสายเลือดที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเทพมารอนธการ อย่างน้อยๆ ในปัจจัยที่ระบบค้นพบก็ยังไม่เคยประสบพบเห็นมาก่อน]

ข้อความแถวนี้มีมูลค่ามหาศาลยิ่ง

หรือว่าในอดีตระบบเคยพบเทพมารอนธการมาก่อน

หรือกล่าวก็คือ มีความเป็นไปได้สูงที่ระบบจะมาจากยุคบรรพกาลที่เก่าแก่กว่ายุคฟ้าบุพกาล

หานเจวี๋ยจินตนาการไม่ออกเลย

เขาไม่ถามต่อไปอีก หากถามต่อไปเช่นนี้ ไม่มีทางหยุดได้แน่ อายุขัยหนึ่งล้านล้านปีสำหรับเขาแล้วไม่นับเป็นอันใดเลย แต่จะเสียอายุขัยมากมายไปเพื่ออะไรกันเล่า

สายตาของหานเจวี๋ยสอดส่องสิงหงเสวียนอีกครั้ง

รอให้ถึงเวลาที่สิงหงเสวียนทนรับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ไหว มาขอความช่วยเหลือจากเขา เขาค่อยตัดสินใจอีกทีแล้วกัน

สำหรับตอนนี้ ตัวตนของลูกชายคนเล็กสามารถช่วยสิงหงเสวียนฝึกบำเพ็ญได้ นับว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน

ก่อนจะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเครื่องช่วยฝึกบำเพ็ญไปก่อนก็ไม่เลวเลย

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

ทันใดนั้นเขานึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา

หากเขาเกลาสายเลือดของบุตรชายคนเล็กออก บุตรชายคนเล็กที่ถือกำเนิดภายใต้ความคาดหวังรอคอยของคนนับไม่ถ้วน ผลคือพบว่ามิได้มีคุณสมบัติเลิศล้ำเป็นเอก ตกต่ำลงมา จากคนที่เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นคิดว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติเลิศล้ำตกต่ำเป็นมนุษย์ธรรมดา นี่ไม่ใช่นิยายแฟนตาซีเรื่องหนึ่งหรอกหรือ

หานเจวี๋ยคิดๆ ดูแล้วก็เกิดความคาดหวังอยู่บ้าง

แค่กๆ

ยังต้องรอดูกันไปก่อน หากไม่จำเป็นต้องทำก็อย่าทำเช่นนั้นเลย มิเช่นนั้นบุตรชายคงได้รับความอยุติธรรมเหลือคณา

หานเจวี๋ยส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลง

….

ณ ชายขอบแดนเซียน เส้นทางสายใหญ่สีทองเส้นหนึ่งทอดตัวยาวจากยอดเขาสูงในแดนเซียนตรงเข้าสู่ส่วนลึกของแดนต้องห้ามอันธการ มองไม่เห็นปลายทาง

เส้นทางเจือแสงทองสายนี้กว้างใหญ่นับหมื่นจั้ง ยิ่งใหญ่โอ่อ่า มองเห็นผู้บำเพ็ญบางส่วนสัญจรผ่านไปมา ยามที่เดินสวนกัน พวกเขาจะพูดคุยทักทายกันและกัน เป็นมิตรอย่างยิ่ง

หลังจากได้รับประสบการณ์ในฟ้าบุพกาล เมื่อกลับมาเยือนมรรคาสวรรค์อีกครั้ง เหล่าผู้บำเพ็ญต่างมีความรู้สึกของการได้หวนคืนถิ่นฐานบ้านเกิด ดังนั้นจึงคึกคักกันขึ้นมา

จำเป็นต้องกล่าวเลยว่า ผานซินมีคุณูปการใหญ่หลวงจริงๆ การปรากฏขึ้นของเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลในมุมมองของผู้บำเพ็ญในมรรคาสวรรค์ที่มีตบะค่อนข้างสูงแล้วนับว่าสร้างความเป็นปึกแผ่นได้จริงๆ

ทันใดนั้นผานซินร่อนลงบนเส้นแสงทอง จิ้นเสินติดตามอยู่ด้านหลัง สองอริยะระงับพลังแห่งอริยะไว้ สะกดตบะให้อยู่ในระดับเซียนทองต้าหลัว จากนั้นก็ออกเดินไปตามเส้นทาง

“การมุ่งหน้าสู่ฟ้าบุพกาลครานี้ถือโอกาสตรวจสอบดูเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลไปด้วยสักหน่อย เจ้าก็ต้องตั้งใจด้วยเช่นกัน ดูว่ามีจุดไหนที่ยังบกพร่องอยู่บ้าง” ผานซินเอ่ยสั่งการเสียงเบา

จิ้นเสินพยักหน้ารับ

เขามีสีหน้าท่าทางแปลกใจ

เขารู้สึกว่าผานซินเปลี่ยนไป สุขุมมากขึ้นอีกทั้งมีความรับผิดชอบมากขึ้น คล้ายจอมอริยะเสวียนตูยิ่งนัก

แต่ก่อนผานซินใส่ใจเสียที่ไหนว่าเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลจะสมบูรณ์หรือไม่ คิดแต่ว่าจะแย่งชิงอำนาจอย่างไร

หรือว่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรเปี่ยมกุศลเบิกปัญญาให้แก่เขาแล้ว

ทันใดนั้น ภาพลักษณ์ของหานเจวี๋ยในใจจิ้นเสินพลันสูงส่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ในมุมมองของเขา หานเจวี๋ยคือนักพรตเต๋าผู้สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ไม่สนใจอำนาจชื่อเสียง ปิดด่านเพียรบำเพ็ญอยู่ตลอด แต่ยามที่มรรคาสวรรค์เผชิญภัยใหญ่หลวง หานเจวี๋ยไม่เคยหลบเลี่ยง ออกมาช่วยเหลือเสมอ ทุ่มกำลังเปลี่ยนแปลงสถานการณ์

แน่นอนว่าเคารพเลื่อมใสก็ส่วนเคารพเลื่อมใส จิ้นเสินไม่คิดจะเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น

สำนักซ่อนเร้นแข็งแกร่งมากพอแล้ว ต่อให้เขาเข้าร่วมด้วย ก็ยากจะได้รับความไว้วางใจจากหานเจวี๋ย แต่ผานซินนั้นต่างออกไป มีคนข้างกายน้อยยิ่ง เขาจึงได้รับตำแหน่งคนสนิท

สองอริยะเดินไปตามทางประหนึ่งเดินเล่นอยู่ในสวน แต่เดินหนึ่งก้าวเป็นระยะทางหนึ่งหมื่นลี้

ในไม่ช้า พวกเขาก็เข้าสู่แดนต้องห้ามอันธการ เมื่อหันหลังกลับไป ก็มองไม่เห็นแดนเซียนแล้ว

พื้นที่รอบข้างของเส้นทางแสงทองมืดมิด มืดมนจนมองไม่เห็นแสงสว่างเลย บรรยากาศกดดันอย่างยิ่ง

มีผู้บำเพ็ญสามคนเหาะอยู่ข้างหน้า ต่างก็กำลังถกเถียงกันอยู่

“ล้วนต้องโทษเจ้า สืบข่าวอะไรมา ที่นั่นมีโชควาสนาเสียที่ไหนกัน เป็นนรกชัดๆ!”

“ใช่แล้ว เต้าจื้อจุน วันหลังเจ้าควรระวังให้มากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่”

“เหลวไหล ไม่ใช่พวกเจ้าสองคนหรอกหรือที่พอเข้าไปก็ทำตัวเหมือนสุนัขโผใส่กองอาจม เพ่นพ่านวุ่นวายไปทั่ว จนไปสัมผัสถูกผนึกเข้า”

เป็นพวกเต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้ทั้งสามคน

กลิ่นอายของพวกเขาค่อนข้างอ่อนจาง เห็นได้ชัดว่าเพิ่งผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมา

ผานซินและจิ้นเสินจดจำฐานะของคนทั้งสามได้ ถึงอย่างไรเหล่าอริยะก็ล้วนให้ความสนใจกับสำนักซ่อนเร้น พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามก็นับว่าเป็นหน้าเป็นตาของเหล่าศิษย์ ต่างมีชื่อเสียงเลื่องลือตั้งแต่ก่อนเข้าสำนักเสียอีก

พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของผานซิน มองเห็นเพียงว่าใบหน้าพวกเขามีหมอกสลัวปกคลุมอยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้หยุดชะงัก แต่เดินผ่านกันไปเช่นนั้น

ในเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล มักจะพบเห็นผู้ทรงพลังที่ซ่อนเร้นใบหน้าจริงเอาไว้เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นพวกเต้าจื้อจุนทั้งสามจึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร

เมื่อทั้งสองฝ่ายห่างพ้นกันมาแล้ว จิ้นเสินจึงเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “รากฐานของสำนักซ่อนเร้นแข็งแกร่งมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าสามคนนั้นล้วนเป็นครึ่งอริยะแล้ว”

จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้ต่างพิสูจน์ครึ่งอริยะในฟ้าบุพกาล

ผานซินเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “สหายเต๋าหานสายตาเฉียบแหลมจริงๆ มรรคาสวรรค์มีเขาอยู่ นับเป็นโชคมหาศาล”

จิ้นเสินฟังความนัยออก จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านกับสหายเต๋าหาน…”

“ไม่มีอะไร หลังจากสนทนาธรรมกัน ข้าได้รู้จักเขาเพิ่มมากขึ้น สหายเต๋าไม่มีทางเป็นศัตรูของพวกเรา มีแต่จะคอยให้ความช่วยเหลือ” ผานซินเอ่ยอย่างคลุมเครือ

จิ้นเสินตาเป็นประกาย หรือว่าผานซินจะสานสัมพันธไมตรีกับหานเจวี๋ยแล้ว ถึงขั้นที่เป็นพันธมิตรกันแล้วกระมัง

หากเป็นแบบนี้ เช่นนั้นต่อไปพวกเขาก็อยู่ในมรรคาสวรรค์ได้ง่ายยิ่งขึ้น เสนอความคิดเห็นใดๆ ล้วนจะไม่ถูกอริยะรายอื่นๆ คัดค้านอีก

ยิ่งจิ้นเสินคิดไปมากเท่าไร ก็รู้สึกว่าอนาคตช่างสดใสยิ่งนัก

ในเวลานี้เอง

ผานซินหันขวับมองออกไป ทำให้จิ้นเสินตกใจจนหันตาม

เมื่อมองตามสายตาของสองอริยะออกไป ก็พบเพียงความมืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใดเลย

“เป็นอะไรไป” จิ้นเสินถาม

ผานซินเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มีบางอย่างจ้องมองพวกเราอยู่”

จิ้นเสินถามดู “สิ่งอัปมงคลหรือ”

ผานซินส่ายหน้า

จิ้นเสินแปลกใจ ตัวตนชั่วร้ายที่มองไม่เห็นในแดนต้องห้ามอันธการก็มีเพียงสิ่งอัปมงคลมิใช่หรือ

ผานซินกล่าวว่า “เดินต่อเถอะ รอดูต่อไปว่าสิ่งนี้จะตามพวกเราไปอีกนานแค่ไหน”

จิ้นเสินพยักหน้ารับ

พวกเขารักษาจังหวะการเดิน มุ่งหน้าต่อไป

….

ณ ห้วงดาราสีโลหิต ภายในห้องอวกาศที่มีซากชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนลอยอยู่

หอคอยทรุดโทรมหลังหนึ่งลอยอยู่ท่ามกลางอุกกาบาตมากมาย หานทั่วที่มีโลหิตเปรอะไปทั่วร่างนอนอยู่บนยอดหลังคา อ้าปากหอบหายใจ ท่าทางเหนื่อยล้า

อี๋เทียนพลันร่อนลงมา ทรุดนั่งลงข้างกายเขา หอบหายใจพลางเอ่ยถาม “เจ้าตัวแสบ เจ้าไม่ไหวแล้วหรือ”

หานทั่วกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง เอ่ยไปว่า “เจ้าก็ไม่ต่างกันหรอก จะวางท่าไปทำไม!”

อี๋เทียนมองออกไปไกล เงาร่างใหญ่ยักษ์น่าหวาดผวาสองร่างกำลังต่อสู้กันอยู่ในส่วนลึกของห้วงอวกาศ หมอกหนาทึมทึบลอยฟุ้งตลบ เต็มไปด้วยอำนาจกดดัน เสมือนห้วงดาราสีโลหิตแห่งนี้พร้อมจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ

ความหวาดหวั่นปรากฏขึ้นในดวงตาของอี๋เทียน

ห่างชั้นกันเกินไปแล้ว ถึงขั้นที่เขาไม่กล้าเข้าใกล้สนามรบหลักเลย

………………………………………………………………