บทที่ 766 แผนการของเว่ยฉิง

สองแม่ลูกสกุลตู้ตู้เว่ยอยู่ที่จวนอู่สักพักหนึ่งจากนั้นจึงกล่าวคำอำลาจากไป

เว่ยจื่ออี้ไปส่งพวกนางที่ประตู สายตาของเขาจับจ้องไปยังคนรักตลอดเวลา เขามองนางขึ้นไปบนรถม้า ใบหน้าที่หล่อเหลาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ

ทันใดนั้นม่านของหน้าต่างรถม้าได้ถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่สดใส เด็กสาวส่งยิ้มให้และโบกมือให้เว่ยจื่ออี้ ดวงตาของเด็กหนุ่มสว่างขึ้น เขาโบกมือกลับโดยไม่ละสายตาออกจากเด็กสาวเลยกระทั่งรถม้าลับหายไปจากสายตา

“บุตรชายของข้าโตแล้วสินะ” เสียงของเว่ยฉิงแผ่วเบาลง รู้สึกว่าบุตรชายของเขากำลังจะจากไปกับคนอื่น เมื่อเว่ยจื่ออี้ได้สติกลับมา ก็เขินอายกับคำพูดล้อเลียนของบิดา เด็กหนุ่มมองมารดาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ถังหลี่ที่ยืนอยู่ข้างเว่ยฉิงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนกับเว่ยฉิงว่า

“เฮ้อ…ใจหายนะ”

ดวงตาของเว่ยจื่ออี้เบิกกว้าง ใบหน้าของเขาแดงซ่าน ท่านแม่ช่วยท่านพ่อรังแกเขา!

ใบหน้าของเว่ยฉิงมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้รับการสนับสนุนจากภรรยาของตน ราวกับหางของเขากำลังชี้ขึ้นฟ้า ชายหนุ่มกอดถังหลี่แล้วพูดว่า

“ลูกชายเอ๋ย นางคือภรรยาของบิดาเจ้า หากต้องการให้ใครช่วยล่ะก็ เจ้าก็ไปหาคนรักของเจ้าสิ”

เว่ยจื่ออี้พูดไม่ออก ในตอนนั้นเองเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ท่านกำลังรอพวกข้าอยู่หรือขอรับ?”

สวี่เจวี่ยและเว่ยจื่ออั๋งสวมเครื่องแบบของสำนักฮั่นหลินยืนอยู่ที่ประตู ปีนี้ทั้งสองคนอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว ส่วนสูงของพวกเขาเพิ่มขึ้น คนหนึ่งหน้าตาคมเข้ม อีกคนใบหน้างดงามราวกับหยก ดูแตกต่างอย่างไม่ธรรมดา

เว่ยจื่ออั๋งพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ ที่บิดามารดาและน้องชายมารอรับพวกเขาที่หน้าจวน

“ไม่ๆ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เรามาส่งน้องสะใภ้เจ้าต่างหาก” เว่ยฉิงทำลายความฝันของเขาอย่างไร้ปราณี เว่ยจื่ออั๋งไม่ได้ผิดหวังมากนักเพราะความสนใจของเขาพุ่งไปที่คำว่าน้องสะใภ้

น้องสะใภ้หรือ?

ตอนนี้ทั้งสองคนมีตำแหน่งเป็นอาลักษณ์ของสำนักฮั่นหลินแล้ว ภาระมากมายตกอยู่ที่พวกเขา และนั่นทำให้ทั้งสองคนพลาดข่าวใหญ่เช่นนี้!

“จื่ออี้มีภรรยาแล้วหรือ?” เว่ยจื่ออั๋งตกใจ เขาสูญเสียท่าทีสุขุมไปทันที

“ท่านพี่ ไม่ใช่..ข้าเพียงชอบสตรีคนหนึ่ง..” ใบหน้าของเว่ยจื่ออี้เปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อพี่ชายทั้งสองจ้องมาที่เขาด้วยแววตาเบิกโพลง สวี่เจวี๋ยตบไหล่ของเว่ยจื่ออี้

“จื่ออี้โตแล้ว” เว่ยฉิงไปมองที่เด็กหนุ่มทั้งสองคน

“พวกเจ้าต้องรีบหน่อยนะ”

ตอนนี้ถึงคราวที่เว่ยจื่ออั๋งจะหน้าแดงบ้าง พวกเขาทั้งสองคนมุ่งมั่นกับเรื่องงานเท่านั้นและไม่เคยคิดถึงความสัมพันธ์ในเชิงนี้เลย

“พวกเราไม่รีบร้อนขอรับ” สวี่เจวี๋ยดูสงบกว่ามาก แม้ว่าตอนนี้ราชสำนักจะมั่นคงขึ้นแต่ยังไม่พอ …นับตั้งแต่ต้วนโสวฝู่จากไป ตำแหน่งราชเลขาธิการได้ว่างลง ไม่มีใครขึ้นมาในตำแหน่งนี้ ฮ่องเต้ต้องการให้เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี่ยเข้ารับตำแหน่ง แต่เว่ยฉิงหยุดความคิดของพระองค์ไว้

“บุตรชายทั้งสองของข้ายังเด็ก เป็นเรื่องยากที่จะให้เขารับภาระยิ่งใหญ่เช่นนี้” นั่นคือคำพูดของเว่ยฉิง

สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเข้าใจเหตุผลเช่นกัน แม้ว่าการเข้ารับตำแหน่งในครั้งนี้จะเป็นความตั้งใจของฮ่องเต้ หากแต่จะเป็นการเข้ารับตำแหน่งอย่างกังขา ผู้คนจะร่ำลือว่าทั้งสองคนยังเด็ก อีกทั้งคุณสมบัติยังไม่เพียงพอ พวกเขาอาศัยบารมีของบิดาที่เป็นผู้สำเร็จราชการในการเลื่อนขั้น เว่ยฉิงอยากให้พวกเขาเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงด้วยตัวเอง หาใช่ขุนนางที่มากด้วยบารมี

ประการหนึ่ง คือพวกเขายังมีประสบการณ์น้อยเกินไป ความสามารถก็ยังไม่เพียงพอ ทั้งสองต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกมาก ดาบคมต้องผ่านการลับ ดอกท้อต้องผ่านฤดูหนาวที่ยาวนานก่อน จึงจะเบ่งบานได้

ตอนนี้ทั้งสองคนมีเป้าหมายที่มุ่งมั่น พวกเขาจึงไม่มีความคิดเรื่องการแต่งงานเลย

ทั้งครอบครัวต่างหยอกล้อกันพักหนึ่ง จากนั้นจึงได้เดินเข้าไปในจวน

เว่ยจื่ออั๋งถามเรื่องว่าที่น้องสะใภ้ต่อ

“เว่ยอวี๋นั่นเอง ข้าเคยอ่านนิยายที่นางแต่งด้วย” เว่ยจื่ออั๋งกล่าว “นางเป็นคนมีความสามารถมาก”

เว่ยจื่ออี้มีความสุขเมื่อได้ยินพี่ชายชมคนรัก เขารีบเสริมทันที

“ใช่แล้ว พี่จื่ออั๋ง เว่ยอวี๋เก่งกาจและรอบรู้ราวกับบุรุษมากความสามารถ” สองพี่น้องพูดคุยกันต่ออีกพักหนึ่ง

ถังหลี่เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเอ้อร์เป่าเด็กชายที่ตามติดพี่ชายราวกับเป็นหางในวัยเยาว์

ค่ำคืนนั้น

ถังหลี่และเว่ยฉิงพูดคุยกันเรื่องลูกๆ

“ดวงตาของจื่ออี้เป็นประกายมากเมื่อเห็นตู้เว่ย ข้าว่าอีกไม่นานต่อจากนี้ควรให้บิดามารดาของจื่ออี้เข้าเมืองหลวงมาแล้วล่ะ” ถังหลี่เปรยกับสามี

บิดามารดาผู้ให้กำเนิดของจื่ออี้ คือคู่สามีภรรยาสกุลฟาง ซึ่งทำการค้าระหว่างเมืองหลวงและฉินโจว และเนื่องจากกิจการหลักของเขาอยู่ที่ฉินโจวทั้งสองคนจึงอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นหลัก เว่ยฉิงพยักหน้ารับ

“ฮูหยิน ข้าอยากให้เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยออกไปปฏิบัติภารกิจช่วงหนึ่ง” เว่ยฉิงว่า “ตอนที่พวกเขาท่องโลกไปกับตู้ชิงหยูพวกเขายังอายุน้อยและไม่ได้มีประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง หลังจากการสอบหน้าพระที่นั่ง ก็เข้าทำงานที่สำนักฮั่นหลินโดยไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลย ข้าอยากให้พวกเขาออกไปเห็นความทุกข์ยากของผู้คน”

เว่ยฉิงกล่าวถึงแผนการณ์ในใจของเขา

แม้ว่าจ้าวจิ่งซวนจะเชื่อใจเขามากก็ตาม แต่เขาไม่อยากให้มีช่องว่างเป็นโอกาสที่จะมีใครมาโจมตีพวกเขาทั้งสามพ่อลูกที่ขึ้นดำรงตำแหน่งสูงในเวลาเดียวกัน

ตอนนี้เว่ยฉิงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องสำคัญหลายอย่าง แต่เมื่อถึงเวลา เขาจะถอนตัว ในตอนนั้นจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดของสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งในการเข้าราชสำนัก ซึ่งเว่ยฉิงกำหนดไว้ว่าคือหนึ่งปีหลังจากนี้

ถังหลี่รู้จักสามีดี นางจึงเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ หญิงสาวเห็นด้วยกับความคิดของเว่ยฉิง

“สามี หากท่านตัดสินใจแล้วก็ทำไปเถิด แม้ว่าจะไม่ได้เจอพวกเขานานถึงหนึ่งปีก็ตาม” ต่อให้ถังหลี่ไม่เต็มใจเพียงใดแต่ในครั้งนี้นางต้องสนับสนุนเขา

“เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง” เรื่องนี้จึงได้ข้อยุติ

“สามี..ข้าคิดถึงซานเป่าเหลือเกิน” ถังหลี่พึมพำในขณะที่พิงไหล่ของเว่ยฉิง นางมองไปที่ดวงจันทร์ด้านนอกหน้าต่าง ผ่านไปพริบตาก็เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่ซานเป่าอยู่ในอู๋ซาน นางไม่รู้ว่าบุตรสาวจะเป็นอย่างไรบ้าง ธิดาเทพผู้นั้นจะมีความสุขหรือไม่

“อีกประมาณหนึ่งปี เราจะไปหานางกัน” เว่ยฉิงพยักหน้า

นางเสียใจที่ไม่ได้มีรูปวาดของซานเป่าให้ดูในยามคิดถึง

ในเวลาต่อมา ศาลต้าหลี่ได้สอบสวนคดีของจิงอ๋องอย่างละเอียด สร้างความแตกตื่นให้กับเมืองหลวงเป็นอย่างมาก ชื่อของเด็กสาวที่บริสุทธิ์ซึ่งถูกจิงอ๋องทารุณในแบบต่างๆ ผุดออกมาทีละคน

ช่างน่ากลัวจริงๆ…

เหตุการณ์นี้ล่วงรู้ไปถึงฮ่องเต้ ทำให้พระองค์ทรงพิโรธอย่างหนัก มีรับสั่งให้ลงโทษสูงสุดทันที จิงอ๋องถูกขังในคุกใต้ดิน แม้ว่าจะได้อาหารสามมื้อต่อวันแต่เป็นเพียงอาหารหยาบๆ บูดเน่าเท่านั้น

“ข้าเป็นท่านอ๋อง ข้าเป็นเชื้อพระวงศ์ เจ้าจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้!”

เขาเกิดโทสะ แต่เจ้าหน้าที่ก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน เมื่อทนหิวต่อไปไม่ไหวจิงอ๋องจึงได้ก้มหน้ากินอาหารหยาบ บูดเน่า จนเขาปวดท้อง

หลังจากได้กลืนอาหารด้วยความยากลำบาก หนึ่งวันที่ผ่านไปช่างทุกข์ทรมานราวกับหนึ่งปี เขาเริ่มคิดถึงวันเวลาที่เคยเฝ้าสุสานหลวง

แต่ความทรมานเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น