บทที่ 768 รักษาโรคใบ้

หลังจากที่ตู้เว่ยบอกข่าวเรื่องนี้ให้ฮูหยินตู้และตู้เยี่ยนฟังว่าโรคใบ้ของนางสามารถรักษาได้ ทั้งสองคนต่างพากันดีใจ แต่เมื่อรู้ว่าจะต้องผ่าตัด พวกนางกังวลและไม่เห็นด้วย ตู้เว่ยจึงได้อธิบายให้พวกนางฟังอย่างละเอียดว่าหมอคนนี้เก่งกาจเพียงใด เว่ยจื่ออี้และฮูหยินของผู้สำเร็จราชการแทนไว้ใจเขามาก ทำให้ตู้เยี่ยนและมารดาโล่งอก แต่พวกเขาต่อรองขออยู่ดูการรักษาด้วย

วันรุ่งขึ้นตู้เยี่ยนและฮูหยินตู้พาตู้เว่ยไปหาหมอซู

เมื่อทั้งสามมาถึงจึงพบว่าไม่ใช่เพียงแค่เว่ยจื่ออี้เท่านั้นที่ยืนรออยู่ กระทั่งพระชายาก็เสด็จมาด้วยเช่นกัน

“ในเวลาว่าง ข้ามาช่วยหมอซูอยู่แล้ว วันนี้ได้ยินว่าตู้เว่ยจะเข้ารับการรักษาข้าจึงได้มากับจื่ออี้” ถังหลี่ยิ้มแย้ม เผยให้เห็นความสัมพันธ์ที่ดีของนางและหมอซูว่ามีความใกล้ชิดกันมาก สองแม่ลูกเห็นเช่นนี้ก็ได้คลายกังวล ยิ่งเห็นว่าถังหลี่มีความใส่ใจตู้เว่ย พวกนางยิ่งรู้สึกเป็นปลื้มใจและมั่นใจมากขึ้น

ตู้เว่ยของพวกนางจะไม่เจอกับปัญหาของแม่สามีในภายหน้าเป็นแน่หากแต่งงานไปกับเว่ยจื่ออี้

ตู้เว่ยถูกพาตัวเข้าไปในห้อง ถังหลี่เป็นคนเข้าไปกับนาง ในขณะที่คนอื่นอยู่ข้างนอก เมื่อหมอซูเข้ามาพร้อมอุปกรณ์และยาที่จำเป็น ตู้เว่ยอดไม่ได้ที่จะประหม่า ถังหลี่จับมือนางพูดเบาๆ

“อย่ากลัวเลย ฝีมือการผ่าตัดของหมอซูเก่งมาก” มือของถังหลี่อบอุ่นทำให้เด็กสาวคลายความกังวลลงมาก

“กินยาเม็ดนี้จะทำให้เจ้าหลับและไม่รู้สึกเจ็บปวด” หมอซูยื่นยาเม็ดสีดำให้แก่ตู้เว่ย เมื่อนางกลืนยาลงไปพร้อมกับน้ำ เด็กสาวหมดสติไปในไม่ช้า

หลังจากที่ตื่นขึ้นมานางพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงรายล้อมไปด้วยคนคุ้นหน้า เมื่อนางฟื้นทุกคนต่างพากันดีใจ

“เสี่ยวเว่ยตื่นแล้ว”

“เสี่ยวเว่ย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ทุกคนถามด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย ตู้เว่ยเจ็บคออยู่บ้างเล็กน้อย

“การรักษาประสบความสำเร็จดี ช่วงนี้ควรกินแต่อาหารเหลวๆ จะได้ไม่เจ็บคอ มันจะหายเองภายในหกถึงเจ็ดวัน ในวันที่สิบเจ้าถึงจะฝึกพูดได้ แต่อย่าใช้เสียงมากไปล่ะ”

หมอซูยื่นขวดยาให้พร้อมกับกำชับสั่ง

“กินยาขวดนี้สามครั้งต่อวัน มันจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบ” เขาเรียนรู้คำนี้มาจากถังหลี่ จากนั้นเขาได้หยิบขวดอีกใบออกมา

“นี่เป็นยาแก้ปวด หากรู้สึกปวดก็กินหนึ่งเม็ด” ตู้เว่ยเก็บยาและโค้งขอบคุณหมอซู

“เอาล่ะกลับไปพักผ่อนเถอะ” หมอซูว่า สองแม่ลูกดูแลตู้เว่ยอย่างใกล้ชิด ทำราวกับว่านางกำลังกำลังเผชิญกับศัตรูที่ร้ายแรง ตู้เว่ยส่ายศีรษะไปมาเพื่อบอกว่านางสบายดีอย่ากังวลมากเกินไป

ทั้งสามเดินไปยังรถม้า แต่จู่ๆ ตู้เว่ยก็ชะงักหันกลับไปมองเว่ยจื่ออี้

เว่ยจื่ออี้มองนางอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าในสายตาของพวกเขามีแค่กันและกันเท่านั้น ตู้เว่ยโบกมือให้ก่อนจะขึ้นรถม้าไป

วันถัดมา

เว่ยจื่ออี้ได้รับจดหมายจากตู้เว่ยทุกวัน นางเล่าถึงอาการของตัวเองในจดหมาย

“ข้ากินยาแล้วอาการปวดก็หายไป”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

เว่ยจื่ออี้โล่งใจมาก อย่างไรก็ตามตู้เว่ยไม่ได้พูดถึงการนัดพบกันเลย

แต่เพื่อให้นางหายดี แม้จะต้องทนคิดถึงมากเท่าใด เว่ยจื่ออี้ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามนาง

ครึ่งเดือนต่อมา

ในที่สุดตู้เว่ยก็นัดเขาไปพบที่ร้านหนังสือที่คุ้นเคย แม้ว่าจะไม่ได้พบกันเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น แต่เว่ยจื่ออี้รู้สึกว่าเขาและนางไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว

วันรุ่งขึ้นเด็กหนุ่มรีบไปร้านหนังสือก่อนเวลานัดหมายหนึ่งชั่วยาม ไม่นานหลังจากที่เขามาถึงตู้เว่ยเองก็มาเช่นกัน

นางถอดหมวกออก เผยให้เห็นใบหน้าขาวเนียน ดวงตาดำขลับจ้องมองมายังเว่ยจื่ออี้

เขาคิดถึงนางและนางก็คิดถึงเขา พวกเขาอยากพบกันให้เร็วกว่านี้ ตู้เว่ยเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม แล้วเอ่ยปากพูด

“เว่ยจื่ออี้..”

เสียงอันเบาหวิวของนางลอยมากระทบหูเขาราวกับขนนกที่ตกลงมาอย่างแผ่วเบา

แต่เว่ยจื่ออี้กลับได้ยินอย่างชัดเจน!

ดวงตาของเขาสว่างวาบขึ้น เขามองนางอย่างไม่เชื่อสายตา

ดียิ่ง! นางพูดได้แล้ว!

เป็นเพราะนางไม่เคยพูดมาก่อนจึงไม่คุ้นเคยในการออกเสียง ทำให้ฟังดูแปลกหู แต่สำเนียงของนางชัดเจนมาก เมื่อเห็นเว่ยจื่ออี้ยังคงตกตะลึงมองนางอยู่เช่นนั้น ทำให้ตู้เว่ยรู้สึกเขินอายมากขึ้น

“ไม่ดีหรือ..” นางถามเสียงแผ่วเบาฟังได้ไม่ชัด นั่นเป็นเพราะนางฝึกแต่คำว่าเว่ยจื่ออี้นับครั้งไม่ถ้วนจนทำให้ไม่มีคำไหนชัดไปกว่าคำนี้อีกแล้ว

“เยี่ยมเลย เว่ยอวี๋เสียงของเจ้าไพเราะมาก น่าฟังกว่าเสียงใดๆที่ข้าเคยได้ยิน” เว่ยจื่ออี้ตื่นเต้น เขารอแทบไม่ไหว คิดอยากจะอุ้มนางแล้วหมุนไปรอบๆ อย่างมีความสุข แต่เขาไม่กล้าทำอะไรที่เกินขอบเขตตัวเอง ดูเหมือนตู้เว่ยจะรู้เท่าทันความคิดของเขา นางเดินเข้าหาอ้าแขนกอดเด็กหนุ่ม

เขาได้ยินแต่เสียงหัวใจของนางเต้น ตึก.. ตัก…

คงจะดีไม่น้อยหากเขาจะกอดนางไว้ในอ้อมแขนได้ตลอดเวลา

เพียงพริบตาก็เข้าสู่วันปีใหม่

ในเดือนสอง สกุลเว่ยได้สู่ขอตู้เว่ยกับสกุลตู้อย่างเป็นทางการ เรื่องนี้ได้รับการตัดสินใจจากเว่ยฉิง ถังหลี่ รวมทั้งบิดามารดาที่แท้จริงของเว่ยจื่ออี้ เด็กทั้งสองรักใคร่ชอบพอกันจึงเป็นหน้าที่ของบิดามารดาที่จะทำให้พวกเขาสมหวัง

เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตกใจให้กับเมืองหลวงเป็นอย่างมาก จวนผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้สู่ขอเจ้าสาวให้กับคุณชายรอง!

ต้นกำเนิดของสกุลตู้เกี่ยวข้องอะไรกับราชวงศ์หรือ? เหตุใดจึงไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน หรือว่าจะมีอะไรแอบแฝง

ขุนนางบางคนไม่พอใจในตัวผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ด้วยเพราะเขามีอำนาจในมือมากเกินไป การแต่งงานในครั้งนี้อาจจะทำให้เขามีอำนาจมากขึ้น

พวกเขาพากันเข้าไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และสนมเหลียงเพื่อให้ตักเตือนทันที

แต่เมื่อทุกคนสอบสวนภูมิหลังของสกุลตู้หลายต่อหลายครั้งจึงได้พบว่าสกุลตู้เป็นเพียงขุนนางที่ตกต่ำเท่านั้น ไม่มีภูมิหลังของครอบครัวที่จะเอื้อประโยชน์อะไรได้ โอกาสที่จะโจมตีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงหายไปทันที เหลือไว้แต่เพียงความอิจฉาริษยาเท่านั้น

การแต่งงานกับคนที่มาจากจวนของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของผู้คนทั่วไป สกุลตู้และบุตรสาวช่างโชคดีมาก ไม่นานการหมั้นหมายก็เกิดขึ้น

หลังจากการหมั้นหมาย สกุลตู้ที่ไม่เคยมีผู้ใดให้ความสนใจมาก่อน ก็ได้ต้อนรับแขกเหรื่อมากมายอย่างกระทันหัน มีญาติและสหายที่ไม่เคยติดต่อกันมานานพากันมาเยี่ยมเยียน

สกุลตู้มีความสุภาพต่อแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมเยียน ให้การต้อนรับ ยกน้ำชามาเลี้ยงทุกคน แต่ของขวัญที่คนเหล่านั้นมอบให้กลับถูกส่งคืนทีละชิ้น ทำให้ผู้คนล้วนเข้าใจแล้วว่าหนทางที่จะให้สกุลตู้เป็นสะพานไปสู่อำนาจนั้นไม่ง่าย และเพราะความสัมพันธ์ที่ว่านี้จึงทำให้ตู้เยี่ยนมีคนมาสู่ขอมากขึ้นเรื่อยๆ

สกุลต่างๆในเมืองหลวงส่งภาพวาดของบุตรชายมาให้นางพิจารณา แต่นางกลับไม่ชอบใครเลย ชายหนุ่มเหล่านั้นล้วนมากความสามารถ จนฮูหยินตู้อดไม่ได้ที่จะถามบุตรสาวว่านางชอบคนอย่างไร? ตู้เยี่ยนเท้าคาง คิดอยู่นานก่อนจะตอบมารดา

“ข้าไม่สามารถบอกได้ หากเจอเขาข้าจะรู้เอง”

“…”

ฮูหยินตู้รู้สึกสิ้นหวังแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยนางไป