บทที่ 713 พิสูจน์มรรค!

ปฐมเทพขั้นห้า!

ตบะของฉินหลิงเพิ่มขึ้นรวดเร็วถึงเพียงนี้ หากให้เขาอยู่ในเขตเซียนร้อยคีรีต่อไปอีกสักระยะ จะไม่สำเร็จเป็นเซียนทองต้าหลัวเลยหรือ

หลี่เสวียนเอ้าลอบตระหนกอยู่ในใจ ถึงขั้นที่นึกอิจฉาหลี่เต้าคงอยู่บ้าง

ศิษย์พี่มักจะนำหน้าเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับศิษย์ หรือว่าการประสบความสำเร็จ

หลี่เสวียนเอ้ารีบปรับอารมณ์ กวักมือเรียกฉินหลิง สื่อว่าให้เขาเข้ามาหา

ทั้งสองเหาะเคียงข้างกันพลางพูดคุยกันไปด้วย

ฉากนี้อยู่ในสายตาของบุตรแห่งสวรรค์คนอื่นๆ พวกเขาทราบดีว่าหลี่เสวียนเอ้าให้ความสำคัญกับการชุบเลี้ยงฉินหลิงเป็นพิเศษ

พวกเขาเพียงรู้สึกริษยา ทว่าไม่ได้รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม

คุณสมบัติของฉินหลิงนั้นอหังการมากจริงๆ!

ฉินหลิงก็ให้ความเคารพหลี่เสวียนเอ้ายิ่งนัก ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นอาจารย์ทวดรองของเขา เพราะเป็นศิษย์น้องของหลี่เต้าคงผู้เป็นอาจารย์ทวด

….

หลังเหล่าบุตรแห่งสวรรค์จากไป หานเจวี๋ยก็เรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู

[จี้เซียนเสินศิษย์ของท่านเข้าสู่แดนต้องห้ามอันธการ]

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านรับสืบทอดมรดกของผู้ทรงพลังลึกลับ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[หานทั่วบุตรชายของท่านกลืนกินสายเลือดเทพมารฟ้าบุพกาล เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสายเลือด]

[ผานซินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]

[จอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพมารต้องสาปศัตรูคู่อาฆาตของท่าน]

[จอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่านทำความเข้าใจพลังวิเศษแห่งกรรม พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[หานอวี้เชื้อสายของท่านเข้าสู่เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล]

[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสิ่งอัปมงคล] x7389320

[จ้าวเซวียนหยวนศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสิ่งอัปมงคล] x8023449

[เจียงอี้สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสิ่งอัปมงคล] x9022175

….

หานทั่วดูดซับพลังของเทพมารฟ้าบุพกาล หรือจะเป็นซากร่างของเทพมารฟ้าบุพกาลตนนั้น

พวกเขายังกล้าย้อนกลับไปโจมตีอีกหรือ

หรือว่าเทพมารมหามรรคหลบเร้นจะออกโรงแล้ว

หานเจวี๋ยแอบรู้สึกประหลาดใจ แต่จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็ไม่ได้มาเข้าฝันเขา แปลว่าไม่มีอันตราย

เขาไล่อ่านลงไปอีก พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามคนเริ่มถูกรุมทุบตีอีกครั้ง

ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หานเจวี๋ยไม่รู้สึกห่วงใยเลย กลับรู้สึกยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นอยู่บ้าง

ใครใช้ให้พวกเจ้าหลงลำพอง อยากออกไปแต่อยู่ไม่เป็นกันเช่นนั้นเล่า!

จดหมายในช่วงหลังส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องโอกาสวาสนาต่างๆ

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นจดหมายฉบับหนึ่ง

ลี่เหยาสำเร็จเป็นครึ่งอริยะแล้ว

สำหรับลี่เหยา หานเจวี๋ยยังคงวางใจนัก สตรีนางนี้นิสัยเหมือนเขา หลังจากก่อตั้งสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ขึ้นก็ปิดด่านฝึกบำเพ็ญมาโดยตลอด ทั้งสองเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันแล้วก็จริง แต่ทุกครั้งหลังสิ้นสุดการฝึกบำเพ็ญหานเจวี๋ยจะให้ความสนใจนางมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

ปัจจุบันนี้สำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์เก็บตัวเรียบง่าย ไม่ได้สร้างชื่อระบือนามเช่นในอดีตอีกต่อไป ตอนนี้อยู่ในระหว่างตกตะกอนก่อรากฐาน

ถูหลิงเอ๋อร์สำเร็จเป็นเซียนทองต้าหลัวแล้ว เป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่โดดเด่นเป็นหน้าเป็นตาของสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ ชื่อเสียงก้องขจรไกล

ส่วนเซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็มีตำแหน่งสูงในสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เพียงแต่ตบะยังไม่แกร่งกล้าพอ

เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรอีกคนของหานเจวี๋ยตบะค้างอยู่ในระดับปฐมเทพขั้นหก ไม่สามารถสำเร็จเป็นเซียนทองต้าหลัวได้

สำหรับเซวียนฉิงจวิน หานเจวี๋ยยังคงรักชอบยิ่ง สมัยก่อนตอนที่เขาฝึกบำเพ็ญ เซวียนฉิงจวินเคยให้ความช่วยเหลือเขามากมาย

หานเจวี๋ยคิดดูเล็กน้อย เลือกเข้าฝันเซวียนฉิงจวิน แสดงธรรมให้ในความฝัน

สามสิบปีต่อมา

การเทศนาธรรมสิ้นสุดลง

เซวียนฉิงจวินพลันรั้งตัวหานเจวี๋ยไว้ นางแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “จะรีบจากไปเร็วขนาดนี้เชียวหรือ”

หานเจวี๋ยเงียบงัน

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยไปว่า “หากว่างแล้วก็กลับมา”

แดนความฝันสิ้นสุดลง

หานเจวี๋ยไม่สนใจจะหาความสำราญในความฝัน

หากว่าเซวียนฉิงจวินต้องการ กลับมาค่อยว่ากัน

หานเจวี๋ยจมจ่อมสู่สภาวะบำเพ็ญอีกครั้ง

….

ในส่วนลึกของฟ้าบุพกาล มีโลกกว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ ส่องแสงเลื่อมพรายหลากสีสัน แต่ละทิศมีทหารสวรรค์ประจำการอยู่

ภายในโลกแห่งนั้น มีตำหนักหลังหนึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูงลูกหนึ่ง

ภายในตำหนัก

หานทั่วเปลือยกายนั่งสมาธิอยู่ในกระถางทองสัมฤทธิ์ใบใหญ่ แช่อยู่ในน้ำยา ผิวกายเขาถูกลวกจนแดง คิ้วขมวดแน่น

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย อี๋เทียนและแม่ทัพฟ้าทมิฬยืนอยู่หน้ากระถาง

แม่ทัพฟ้าทมิฬ อี๋เทียนและหานทั่วเป็นสามยอดแม่ทัพสวรรค์แห่งวังสวรรค์ ต่างมีแม่ทัพและทหารสวรรค์อยู่ในปกครองหลายสิบล้านนาย แม่ทัพฟ้าทมิฬมีประสบการณ์โชกโชนที่สุดในกลุ่ม ชื่อเสียงสูงส่งยิ่ง

เมื่อเห็นสภาพของหานทั่ว แม่ทัพฟ้าทมิฬขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาจะไม่เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ น่ะหรือ ให้ข้าไปเสาะหาตัวยาหล่อเลี้ยงสังขารบางอย่างมาเพิ่มดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่เป็นไร เขาทนรับไหว คุณสมบัติร่างกายของเขาไม่ด้อยไปกว่าเทพมารฟ้าบุพกาลเลย เราอยากเห็นขีดจำกัดสูงสุดของเขา”

อี๋เทียนถามด้วยความแปลกใจ “นี่คือสาเหตุที่เขาสามารถดูดซับโลหิตของเทพมารฟ้าบุพกาลได้ใช่หรือไม่ เขามีคุณสมบัติร่างกายแบบใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

แม่ทัพฟ้าทมิฬส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “น่าจะมีสาเหตุมาจากบิดาของเขา บิดาของเขาตบะแกร่งกล้าถึงเพียงนั้น ทายาทที่รับสืบทอดสายเลือดมาย่อมพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย”

อี๋เทียนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจรำพันว่า “มีบิดาดีช่างยอดเยี่ยมโดยแท้”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไม่ได้เอ่ยต่ออีก เพียงจ้องมองหานทั่วเท่านั้น

ในเวลานี้เอง

ปรากฏตุ่มน้ำพุพองสองลูกขึ้นบนหน้าผากของหานทั่ว จากนั้นก็ระเบิดแตกตัว โลหิตสาดกระจาย จากนั้นดวงตาในแนวตั้งสองข้างพลันปรากฏขึ้น

หานทั่วในสภาพที่มีตาสี่ข้างดูน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง ทั้งสี่เนตรทอแววดุร้าย ทำให้อี๋เทียนและแม่ทัพฟ้าทมิฬตกใจถอยหนีไปตามสัญชาตญาณ

ตูม!

กระถางทองสัมฤทธิ์แตกระเบิด น้ำยาสาดกระจาย จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายใช้พลังเวทของตนสร้างเกราะป้องกัน สกัดกั้นน้ำยา

หานทั่วค่อยๆ ลุกขึ้นมา เขากางสองแขนออก ผิวหนังเลื่อมเงาให้ความรู้สึกคล้ายโลหะ กล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

เขาพิจารณาดูร่างกาย พึมพำว่า “ทรงพลังอย่างยิ่ง…”

เวลานี้ มีเสียงฟ้าร้องแว่วขึ้นนอกตำหนัก ราวกับสวรรค์กำลังเฉลิมฉลองให้กับการถือกำเนิดของเทพเจ้าผู้แข็งแกร่ง

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายถามด้วยรอยยิ้ม “รู้สึกอย่างไรบ้าง”

หานทั่วเงยหน้ามองเขา เอ่ยว่า “ข้าต้องการพิสูจน์มรรค”

“เช่นนั้นก็พิสูจน์เลย!”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายโบกมือคราหนึ่ง พลังวิญญาณทั่วโลกาถาโถมเข้าสู่ตำหนัก หลั่งไหลเข้าสู่ร่างหานทั่ว

มิใช่เพียงเท่านี้ จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายยังส่งพลังเวทของตนเข้าไปในร่างของหานทั่วอีกด้วย ช่วยเขาพิสูจน์มรรค

หานทั่วบิดคอ สี่เนตรพลันแดงฉานขึ้นมา ร่างกายเขาเริ่มพองขยาย โดยเฉพาะบริเวณแผ่นหลัง มีเนื้องอกขนาดใหญ่มหึมาสองก้อนปูดนูนขึ้นมา ดูน่าสยดสยองหวาดกลัว

“พวกเจ้าสองคนถอยออกไปก่อน!”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพลันสั่งการในทันใด อี๋เทียนและแม่ทัพฟ้าทมิฬก็ไม่คิดอะไรอีก ล่าถอยไปทันที เลี่ยงไม่ให้ถูกลูกหลงไปด้วย

….

เวลาผ่านไปเร็วยิ่ง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เวลาล่วงเลยไปอีกห้าพันปี

ตอนนี้เขาอายุสองแสนเก้าหมื่นปีแล้ว เวลาผ่านไปเร็วมากจริงๆ

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าเซวียนฉิงจวิน ลี่เหยา เซียนซีเสวียน ฉางเยวี่ยเอ๋อร์และถูหลิงเอ๋อร์กำลังรออยู่นอกเขตเซียนร้อยคีรี

เขาเคลื่อนย้ายสตรีทั้งห้าเข้ามาในอารามเต๋า

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ลืมตาขึ้น ก่อนจะตะลึงงันไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างแง่งอน “ศิษย์น้อง พบตัวเจ้าช่างยากเย็นจริงๆ พวกเรากะเวลาในการกลับมาแล้ว แต่ก็ยังต้องรอตั้งหลายปี”

เซียนซีเสวียนเอ่ยตำหนิทันที “พูดอะไรอยู่ อย่าเสียมารยาท”

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร นางยังคงยินดีจะเป็นศิษย์พี่หญิงของข้า ข้าดีใจนัก”

เขาโบกมือเสกเบาะกลมห้าที่ออกมา ให้สตรีทั้งห้านั่งลง

เซวียนฉิงจวินเริ่มรายงานการพัฒนาของสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์

ลี่เหยานั่งสงบนิ่ง นางสวมชุดขาวดูสง่างามเลอโฉม บุคลิกดูสุขุมหนักแน่นกว่าแต่ก่อนมาก มีมาดของผู้เป็นเจ้าสำนักแล้ว

ถูหลิงเอ๋อร์จ้องมองหานเจวี๋ยด้วยสายตาวาวหวาม ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง

ทำอะไรอยู่

เจ้ายังอยากจับข้ากินอยู่อีกหรือ

หานเจวี๋ยมองไปที่เซียนซีเสวียน นางยังคงเป็นเช่นเดียวกับในความทรงจำของเขา สงบนิ่งและงามพร้อม

สำหรับเซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ หานเจวี๋ยมีความรู้สึกคะนึงถึงมากกว่า คะนึงถึงช่วงเวลาที่ยังเป็นเพียงมนุษย์สามัญ

ส่วนความรักน่ะหรือ

หานเจวี๋ยหลุดพ้นจากความรักของมนุษย์มานานแล้ว มหามรรคต่างหากที่เป็นความปรารถนาหลักในชีวิตของเขา

แน่นอน หากว่าสตรีทั้งสองมีใจให้เขา เขาก็ไม่มีทางผลักไสออกไป ไม่จำเป็นต้องพะวงมากมายขนาดนั้น

………………………………………………………………