ตอนที่ 775 หยางจิ้นผู้เงียบขรึม
ครอบครัวทั้งสามขับรถไปที่บ้านของพ่อไป๋
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในลานบ้าน หลินม่ายก็เห็นรถซานตานาสีดำจอดอยู่ในลาน
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจจึงเอ่ยถามพ่อไป๋ “พ่อคะ พ่อซื้อรถคันนี้มาราคาเท่าไหร่คะ?”
ไป๋เซี่ยขัดจังหวะ “พ่อจะมีเงินซื้อซานตานาราคาหลายแสนได้ยังไง!”
หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “แล้วนี่รถใคร? ทำไมมาจอดในบ้านของเรา?”
ไป๋ลู่เข้ามาใกล้พลางเอ่ย “พ่อได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นประธานประจำของธนาคาร และนี่คือรถที่ผู้บริหารระดับสูงมอบให้พ่อ นั่นเป็นเหตุผลที่พ่อเชิญเธอมาที่บ้านของเราเพื่ออวดรถใหม่น่ะ”
พ่อไป๋หัวเราะสองสามครั้งด้วยความลำบากใจ
เมื่อคุณปู่และคุณย่าไป๋ซึ่งกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นได้ยินเสียงของครอบครัวหลินม่าย พวกเขาทั้งหมดก็ออกมา
หลินม่ายและสามีรีบอวยพรปีใหม่ให้กับผู้อาวุโสทั้งสอง
แม้แต่โต้วโต้วก็คำนับคุณปู่ไป๋และคุณย่าไป๋ด้วยท่าทางสง่างามพร้อมอวยพรให้ผู้เฒ่าทั้งสองมีความสุขในวันปีใหม่
ทุกคนหัวเราะลั่น
ในการอวยพรปีใหม่ เหล่าลูกหลานจะมอบของขวัญให้ผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุจะให้เงินนำโชคแก่ลูกหลาน
หลังจากพิธีอวยพรปีใหม่สิ้นสุดลง ทุกคนก็มารวมตัวกันรอบรถซานตานาของพ่อไป๋และพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง
หลินม่ายถามพ่อไป๋ว่าเขาต้องการจัดงานเลี้ยงเพื่อฉลองการเลื่อนตำแหน่งหรือไม่
พ่อไป๋ปฏิเสธอย่างราบเรียบ “พ่อหย่าร้างและครอบครัวร้าวฉาน ดังนั้นอิทธิพลของพ่อในหน่วยงานจึงไม่ค่อยดีนัก มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่ยินดีสำหรับการเลื่อนตำแหน่งในครั้งนี้ หากจัดงานเลี้ยงเพื่อเฉลิมฉลองการเลื่อนตำแหน่งจะไม่ทำให้คนอื่นอิจฉาเหรอ? ดังนั้นเราจะไม่มีการเลี้ยงฉลองกับใครอื่น จะเลี้ยงฉลองกันภายในครอบครับเท่านั้น”
ในยุคนี้การประเมินผู้ปฏิบัติงานมักรวมถึงชีวิตส่วนตัว
หากมีปัญหาเรื่องชีวิตส่วนตัว แม้ความสามารถโดดเด่นก็ยากที่จะผ่านการทดลองงาน
การหย่าร้างก็อยู่ในหมวดหมู่ของชีวิตส่วนตัว
ดังนั้นการเลื่อนขั้นของพ่อไป๋ในครั้งนี้จึงน่าอิจฉามาก และจำเป็นต้องระมัดระวัง
พ่อไป๋ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เขาจึงต้องการจัดงานเลี้ยงภายในครอบครัว ไป๋เหยียนและสามีของหล่อนก็มาที่นี่ด้วย
ขณะไป๋เหยียนกำลังหั่นผัก หลินม่ายก็เห็นสร้อยข้อมือทองคำบนข้อมือของไป๋เหยียน
เธอเอ่ยถาม “พี่สวมสร้อยข้อมือทองด้วยเหรอ?”
“ฉันอุตส่าห์ซ่อนไว้แล้ว ยังมองเห็นอีกเหรอ?”
ไป๋เหยียนถกแขนเสื้อโค้ทขนสัตว์ที่หล่อนสวมอยู่ และดึงสร้อยข้อมือทองคำออกจากแขนให้หลินม่ายดู “สวยไหม?”
สร้อยข้อมือทองคำนั้นค่อนข้างหนา ซึ่งหนาอย่างน้อยเจ็ดหรือแปดกรัม แต่รูปแบบดูไม่งดงามนัก
หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วยกับความตั้งใจของหล่อนพร้อมตอบกลับ “ดูดีมากค่ะ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่มีความสุขของไป๋เหยียน เธอจึงเอ่ยถาม “พี่เขยให้มาเหรอ?”
ไป๋เหยียนยิ้มอย่างอ่อนหวาน “จะเป็นใครได้อีกถ้าไม่ใช่เขา? พี่เขยของเธอเปิดร้านขนมและซื้อสร้อยข้อมือทองคำเส้นนี้ให้ฉันทันทีที่เขาหาเงินได้ เขาบอกว่าถ้าหาเงินได้มากกว่านี้ เขาจะซื้อสร้อยคอทองคำให้ฉัน”
หลินม่ายพูดอย่างจริงใจ “พี่เขยใจดีกับพี่มาก”
เธอถามอย่างงุนงง “ว่าแต่ทำไมพี่ถึงซ่อนสร้อยข้อมือทองคำไว้ลึกขนาดนั้น?”
ทุกวันนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่สวมเครื่องประดับทองโดยไม่ต้องการให้คนอื่นเห็น แต่ไป๋เหยียนกลับต้องการที่จะปกปิดมันไว้
ไป๋เหยียนถอนหายใจพลางกล่าว “หากบอกว่าฉันกลัวแม่สามีฉกไป เธอจะเชื่อไหม? ฉันไม่ควรสวมใส่สร้อยข้อมือทองคำให้ใครเห็น”
ไป๋เหยียนเพิ่งพูดถึงแม่สามีของตน แม่สามีของหล่อนก็มา ไป๋เซี่ยได้ยินเสียงเคาะจึงเปิดประตูบ้าน
เมื่อเขาเปิดประตูลานบ้านก็พลันเห็นพ่อหยางและแม่หยางยืนอยู่ที่ประตู สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเอือมระอาทันที
เขาใช้ร่างกายของตัวเองกั้นพ่อหยางกับแม่หยางไว้ ก่อนจะหันศีรษะและตะโกนไปทางห้องนั่งเล่น “พ่อครับ ทองแผ่นเดียวกันอันเป็นที่รักของพ่อมาหา!”
แม่หยางพูดด้วยความโกรธ “เรียกฉันแบบนั้นได้ยังไง? นายควรเรียกฉันว่าป้าไม่ใช่เหรอ?”
ไป๋เซี่ยกลอกตาพลางคิดในใจ คนอย่างคุณไม่สมควรได้รับคำนั้นหรอก!
พ่อไป๋เดินไปพูดกับพ่อหยางและแม่หยางอย่างเย็นชา “วันนี้ลูกสาวสองคนของผมกลับมาเยือนบ้านพ่อผู้ให้กำเนิด ผมไม่อยากรับแขก พวกคุณกลับไปเถอะ”
ใบหน้าของพ่อหยางแดงก่ำ เขาถูกขับไล่ก่อนที่จะเข้าประตูด้วยซ้ำ ช่างน่าอายเสียจริง
พ่อหยางบ่นกับแม่หยาง “ผมบอกแล้วว่าอย่ามา แต่คุณก็ยังอยากจะมา รีบไปกันเถอะ”
หลังจากนั้นเขาก็ไปดึงแขนเสื้อของภรรยาและพยายามพาหล่อนออกไป
แม่หยางปฏิเสธที่จะจากไป หล่อนสะบัดมือของพ่อหยางและกล่าวต่อพ่อไป๋ “นี่! ตั้งแต่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี คุณก็วางท่าใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ครอบครัวของลูกเขยอุตส่าห์เดินทางมาเยี่ยม แทนที่จะต้อนรับ แต่กลับขับไล่ จะไม่ต้อนรับเราหน่อยเหรอ?”
หล่อนตะโกนด้วยเสียงดังราวกับพูดผ่านโทรโข่ง
ทันใดนั้น เพื่อนบ้านก็โผล่หัวออกมาและมองไปยังพ่อไป๋และคนอื่น ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น
ใบหน้าของพ่อไป๋หม่นลงด้วยความโกรธ เขาตะคอกกลับทันที “เพราะพวกคุณไม่ได้มาด้วยเจตนาดี พวกคุณมาก็เพื่อจะอาศัยบารมีของผมนำลูกชายคนเล็กและลูกสะใภ้ของคุณเข้าทำงานในธนาคารไม่ใช่เหรอ? ผมไม่ยอมรับข้อเรียกร้องที่ไม่มีเหตุผลของคุณหรอก!”
แม่หยางไม่ยอมแพ้ หล่อนต้องการทำให้เพื่อนบ้านคิดว่าพ่อไป๋เป็นคนเสแสร้ง
แต่พ่อไป๋กลับเปิดโปงให้เพื่อนบ้านได้รู้ถึงจุดประสงค์ของการเดินทางมาที่นี่ของพวกเขา นั่นคือเพื่ออาศัยเส้นสายของพ่อไป๋
เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้วที่เขาไม่ปล่อยให้พ่อหยางและแม่หยางเข้าบ้าน มาดูกันว่าใครจะทำลายชื่อเสียงของใคร!
แม่หยางไม่คาดคิดว่าพ่อไป๋จะใช้กลอุบายเช่นนี้ หล่อนไม่สามารถทำสิ่งใดได้จึงต้องจากไปทันทีที่ถูกขับไล่
ไป๋เซี่ยเดินตามหลังไปพร้อมกล่าวต่อสองสามีภรรยา
“พ่อของผมฝากมาบอกว่า พยายามอย่าข้องเกี่ยวกับครอบครัวของเราอีก โดยเฉพาะพี่สาวของผม ไม่อย่างนั้นลูกคนเล็กของคุณกับภรรยาของเขาจะไม่มีจุดยืนในสังคมอย่างแน่นอน!”
แม่หยางตัวสั่นด้วยความโกรธ “หากพ่อของนายกล้าทำแบบนั้น ทั้งครอบครัวของเราจะไปที่บ้านพี่สาวนายเพื่อกินและอาศัยอยู่กับหล่อน!”
ไป๋เซี่ยยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยาม “ตราบใดที่คุณไป พี่สาวของผมก็จะหย่ากับลูกชายของคุณ!”
แม่หยางกล่าวอย่างหยิ่งยโส “หย่าก็หย่าสิ!”
หากเป็นในอดีต เมื่อไป๋เซี่ยพูดเช่นนั้น แม่หยางก็คงยอมรับไม่ได้
เงินเดือนของไป๋เหยียนสูงมาก แม่หยางจะยอมให้ลูกชายคนโตหย่ากับเธอได้อย่างไร
แม้หล่อนจะภาวนาให้ลูกชายคนโตหย่าร้างกับภรรยาตลอดเวลา แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง หล่อนก็คงรู้สึกไม่พึงพอใจ
แต่วันนี้แตกต่างจากอดีต เพราะร้านขนมที่ลูกชายคนโตเปิดนั้นทำกำไรได้มหาศาล
หากหย่าขาดจากลูกสะใภ้คนโต เงินทั้งหมดที่ลูกชายคนโตได้รับก็จะเป็นของครอบครัวหยาง
ไป๋เซี่ยโกรธมากจนหันศีรษะและจากไป
เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน เขาก็บอกทุกคนถึงสิ่งที่แม่หยางพูด
ไป๋เหยียนพูดกับตัวเอง “ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามขนาดไหน อาจิ้นก็จะไม่เลิกกับฉัน”
ด้วยเหตุการณ์ที่น่ารำคาญนี้ งานเลี้ยงอาหารกลางวันก็เริ่มน่าเบื่อเล็กน้อย
แต่หลังจากนั้นไม่นาน บรรยากาศก็ค่อย ๆ มีชีวิตชีวาขึ้น
พ่อไป๋กล่าวว่า ระบบธนาคารของพวกเขากำลังจะสร้างชุมชนครอบครัว
หลังจากสร้างเสร็จแล้ว ตามระดับของเขา เขาสามารถร้องขอบ้านพักที่มีสามห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่นได้
เมื่อได้บ้านใหม่แล้ว พวกเขาก็จะคืนบ้านหลังนี้ให้กับหลินม่าย
หลินม่ายกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อนค่ะ”
อันที่จริงเธอต้องการที่จะเข้าควบคุมโครงการชุมชนครอบครัวของระบบธนาคาร
ระบบธนาคารและระบบรถไฟเป็นหน่วยงานที่มั่งคั่งและสวัสดิการดีที่สุด
การสร้างที่อยู่อาศัยของครอบครัวสำหรับหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐนั้นไม่ได้ร่ำรวย แต่การสร้างที่อยู่อาศัยของครอบครัวสำหรับสองหน่วยนี้จะทำให้ได้รับรายได้ไม่น้อยไปกว่าการสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อการพาณิชย์สำหรับตัวเอง
หลินม่ายต้องการทดสอบน่านน้ำของอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวงมานานแล้ว
แต่เธอไม่เคยพบโอกาสดี ๆ ในการทดสอบ ตอนนี้มีโอกาสดีอยู่ตรงหน้าแล้ว และเธอก็ไม่อยากพลาดมัน
เธอไม่รู้ขนาดชุมชนครอบครัวของธนาคาร
หากให้สร้างตึกเพียงไม่กี่หลัง เธอก็ไม่ต้องการที่จะรับช่วงต่อ เพราะขนาดนั้นเล็กเกินกว่าจะทำเงินได้มาก
หลินม่ายจึงถามพ่อไป๋ว่า ชุมชนครอบครัวของธนาคารนั้นใหญ่เพียงใด
พ่อไป๋บอกว่าน่าจะสร้างอาคารอย่างน้อยสามสิบหลัง หลังละห้าชั้น
แน่นอนว่าขนาดที่พวกเขาต้องการนั้นไม่เล็กเลย
หลินม่ายอยากให้พ่อไป๋ช่วยให้เธอได้ดูแลโครงการนี้
แต่เธอกลัวว่าพ่อไป๋จะถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์เพราะเหตุนี้ โดยบอกว่าเขาใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของตนเพื่อเรียกร้องโครงการให้กับลูกสาว
ไม่ง่ายเลยที่พ่อไป๋จะได้ตำแหน่งประธาน และหลินม่ายก็ไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้ผู้เป็นพ่อ
ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงกลืนความปรารถนาทั้งหมดลงไป และเตรียมที่จะกลับไปหาหนทางด้วยตัวเอง
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านของพ่อไป๋ ไป๋เหยียนก็อุ้มลูกสาวไปยังร้านขนมของหยางจิ้น
หล่อนบอกเล่าทุกอย่างให้สามีฟังทันทีที่ไปถึงร้าน โดยบอกว่าแม่ของเขาต้องการให้เขาหย่าร้างกับหล่อน และถามเขาว่าเขาคิดอย่างไร
หยางจิ้นกล่าวขณะกำลังขายเซาปิ่ง “ผมคิดยังไงน่ะเหรอ? ผมจะไม่หย่ากับคุณแน่นอน! ถ้าผมหย่ากับคุณ ผมจะกลายเป็นเครื่องมือหาเงินของตระกูลหยาง ที่สำคัญคือ แม่จะเอาเงินทั้งหมดที่ผมหามาได้ไป ต่อให้ผมร้องขอให้แม่จ่ายค่าครองชีพให้กับเถียนเถียน แม่ก็จะไม่เห็นด้วย ท่านจะมอบเงินทั้งหมดให้กับครอบครัวน้องชายเท่านั้น แม่ไม่แม้แต่จะสนใจเมื่อผมป่วย และไม่เคยสนว่าผมมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเพียงใด”
หยางจิ้นไม่ได้ตื่นตกใจอะไร
ในปีแรกของการแต่งงานกับไป๋เหยียน เขาป่วยด้วยโรคไส้ติ่งอักเสบ
แม้ว่าจะเบิกค่ารักษาพยาบาลในหน่วยงาน แต่พนักงานก็ต้องเบิกเงินล่วงหน้าก่อน
ในเวลานั้น เนื่องจากครอบครัวใหญ่อาศัยอยู่ด้วยกัน เงินเดือนทั้งหมดของสามีและภรรยาของจึงต้องมอบให้กับแม่ของเขา
แต่แม่ของเขาไม่ยอมให้เงินค่าผ่าตัดกับเขาสักหยวน ให้เขาไปขอพ่อตาของเขาแทน
พ่อตาของเขาร่ำรวย จะไม่มีเงินรักษาไส้ติ่งอักเสบให้เขาได้อย่างไร?
ในท้ายที่สุด เป็นไป๋เหยียนที่กลับไปยังบ้านพ่อของหล่อนเพื่อขอเงินให้สามีได้รับการผ่าตัด และดูแลเขาที่โรงพยาบาล
และอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการก็ถูกนำมาส่งโดยแม่บ้านของครอบครัวสามี
ต่อมาเมื่อทำการเบิกคืนค่ารักษาพยาบาลของเขาและได้รับเงิน แม่ของสามีก็เอาเงินนั้นไปจนหมดโดยอ้างว่าตนเป็นผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาล
ดังนั้นหยางจิ้นจึงรู้ดีว่าหากเขาหย่ากับไป๋เหยียนจริง เขาจะถูกครอบครัวหยางกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ไป๋เหยียนมีความสุขมากหลังจากได้ยินคำตอบของหยางจิ้น จึงเอ่ยขึ้น “คุณต้องบอกเรื่องนี้กับแม่ของคุณแล้ว ไม่งั้นแม่ของคุณจะจับผิดฉันและพ่อของฉันเสมอ”
หยางจิ้นตอบกลับ “วันนี้พ่อแม่ของผมมาหาและขอให้ผมหย่ากับคุณ และผมก็บอกพวกเขาทุกอย่างที่ผมบอกคุณ ทายสิว่าแม่พูดอะไร?
ไป๋เหยียนถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “แม่ของคุณพูดอะไร?”
“แม่ของผมบอกว่าจะดูแลครอบครัวน้องชายของผมให้ดี เมื่อลูกชายของพวกเขาโตขึ้นประสบความสำเร็จ ท่านก็จะไม่เห็นหัวเราอีกต่อไป ผมก็แค่ฟังโดยไม่ได้ตอบกลับอะไร และไม่สนใจด้วยว่าลูกชายของน้องชายจะกตัญญูหรือไม่ ผมมีลูกสาวหนึ่งคน อะไรจะวัดได้ว่าลูกสาวเมื่อโตขึ้นจะไม่กตัญญู? ตอนนี้มีการวางแผนครอบครัวแล้ว หลาย ๆ ครอบครัวจะไม่มีลูกชายในอนาคต พวกเขาล้วนแต่พึ่งลูกสาวไม่ใช่หรือ? ครอบครัวที่มีลูกสาวจะไม่มีใครดูแลเมื่อยามแก่เฒ่า เก็บศพ ทำพิธีศพ และไปหลุมฝังศพในช่วงเชงเม้งหรือยังไง?
ไป๋เหยียนหัวเราะ “คุณพูดแบบนั้น แม่ของคุณไม่โกรธเหรอคะ?”
หยางจิ้นตอบกลับ “ปล่อยท่านไปเถอะ ยังไงเงินที่ผมให้แม่แต่ละเดือนก็ไม่น้อยไปกว่าที่ลูกชายสุดที่รักของแม่ให้หรอก ในช่วงวันหยุด ผมจะซื้อเสื้อผ้าที่ใส่สบายให้ท่าน เพราะนี่เป็นสิ่งที่ถูกใจท่านมากที่สุด”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อย่าบีบบังคับลูกคนโตเชียวนะป้า เมื่อไหร่ที่เขาเขียนตัดความสัมพันธ์แม่ลูกขึ้นมาแบบไม่ส่งค่าเลี้ยงดูสักหยวน มันจะเป็นวันที่หนาวที่สุดนะ
ไหหม่า(海馬)