ตอนที่ 699 กังวล

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 699 กังวล

บางคนมองเข้าไปด้านในจวนไป๋แวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นเสียงเบา “เจ้าว่าหากองค์หญิงเจิ้นกั๋วเกิดเป็นอันใดขึ้นมาจนไม่ทันได้ทูลขอองค์รัชทายาทแทนคนในตระกูลบรรพบุรุษ หนทางข้างหน้าของลูกหลานพวกเราจะเป็นเช่นไร! ตระกูลไป๋ที่รุ่งเรืองมานับร้อยปีของพวกเราจะสูญสิ้นอำนาจลงเช่นนี้หรือ”

เมื่อคนส่วนหนึ่งกล่าวจบ คนอีกกลุ่มหนึ่งก็กล่าวเสริมขึ้นมา พวกเขาต่างอยากพบหน้าองค์หญิงเจิ้นกั๋ว เพื่อขอให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วทูลขอให้องค์รัชทายาทช่วยปูทางให้ลูกหลานของตน เช่นนี้ความรุ่งเรืองของตระกูลไป๋จะได้มีอยู่สืบต่อไป

“ท่านประมุข ท่านเป็นถึงประมุข ท่านคิดหาวิธีให้พวกเราได้พบหน้าองค์หญิงเจิ้นกั๋วสักครั้งเถิด”

ไป๋ฉีเหอซึ่งสวมชุดสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ใต้โคมไฟที่แกว่งไปมาของจวนไป๋ แสงแดดที่สว่างจ้าส่องกระทบร่างของเขาจนดูสุขุมยิ่งกว่าเดิม เขากวาดสายตามองไปยังบรรดาคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่อยากขอให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วขอร้ององค์รัชทายาทให้พวกเขา จากนั้นกล่าวขึ้น

“องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้รับบาดเจ็บหนักจากการช่วยเหลือองค์รัชทายาท พวกเจ้าคือคนของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ ผู้ที่อยู่ตรงนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นญาติผู้ใหญ่ขององค์หญิงเจิ้นกั๋ว ทว่า พวกเจ้าไม่เพียงไม่เป็นห่วงอาการขององค์หญิงเจิ้นกั๋ว กลับเอาแต่กลัวว่านางจะเป็นอันใดไปจนทำลายอนาคตของลูกหลานพวกเจ้า!”

ไป๋ฉีเหอสูดลมหายใจลึก พยายามปรับอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “พวกเจ้าไม่ได้มาเยี่ยมองค์หญิงเจิ้นกั๋ว ไม่ได้ตั้งใจมาอวยพรวันเกิดให้นาง พวกเจ้ามาเพื่ออนาคตของลูกหลานของพวกเจ้า คิดจะใช้เกียรติยศของตระกูลไป๋บีบให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วทวงบุญคุณจากองค์รัชทายาทเพื่อปูทางให้แก่ลูกหลานของพวกเจ้า ช่างหน้าไม่อายเสียจริง!”

“แค่ทูลขอร้ององค์รัชทายาทเท่านั้น ท่านประมุขกล่าวเกินไปหรือไม่” คนหนึ่งกลอกตาใส่ไป๋ฉีเหอ

สีหน้าของไป๋ฉีเหอสงบนิ่ง ทว่า ในใจเดือดดาลเต็มที่ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก “ข้านึกว่าตอนที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วลงมือจัดระเบียบตระกูลบรรพบุรุษไป๋ใหม่ในตอนนั้นจะทำให้พวกเจ้าเข้าใจแล้วว่าเกียรติยศที่พวกเรามีล้วนได้มาจากตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวง บัดนี้บุรุษตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงเสียชีวิตลงที่หนานเจียงจนหมดสิ้น คนที่พวกเราจะพึ่งพาได้มีเพียงองค์หญิงเจิ้นกั๋วเท่านั้น ทว่า พวกเจ้าอยู่อย่างสงบเสงี่ยมได้ไม่นานก็คิดก่อเรื่องขึ้นอีกแล้ว ช่างน่าผิดหวังจริงๆ”

“ประมุขไป๋กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูก เพราะบุรุษตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงไม่หลงเหลืออยู่แล้ว องค์หญิงเจิ้นกั๋วจึงยิ่งต้องการคนในตระกูลไป๋ไปช่วยเหลือในราชสำนัก ทุกคนในตระกูลสามัคคีกัน ตระกูลไป๋ของเราจึงจะรุ่งเรืองสืบไป!”

ไป๋ฉีเหอส่ายหน้า “พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ องค์หญิงเจิ้นกั๋วให้ความสำคัญกับเกียรติยศของตระกูลยิ่งกว่าผู้ใดทั้งนั้น ดังนั้นนางจึงไม่อยากทูลขอร้ององค์รัชทายาท พวกเจ้าที่อยู่ในที่นี้กล้ารับปากหรือไม่ว่าหากพวกเจ้าเข้าไปในราชสำนักแล้ว พวกเจ้าจะไม่คดโกง ไม่ทำลายชื่อเสียงของตระกูลไป๋ จะสละชีพเพื่อเกียรติยศของตระกูลไป๋!”

“หากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งสามารถแบกภาระที่หนักอึ้งของตระกูลไป๋ได้จริง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมาขอร้ององค์หญิงเจิ้นกั๋ว นางก็จะแนะนำพวกเจ้าให้องค์รัชทายาทแน่นอน ทว่า หลายปีมานี้ทายาทตระกูลบรรพบุรุษไป๋เอาแต่เสพสุขไปวันๆ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น ตระกูลไป๋ของเราใหญ่ถึงเพียงนี้ ทว่า ทายาทในตระกูลคนใดเคยสอบติดชุนเหวยบ้าง ไม่มีสักคน! พวกเจ้าคิดแต่จะพึ่งพาตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวง คิดแต่จะพึ่งพาองค์หญิงเจิ้นกั๋ว ขอให้นางปูทางและหาเส้นสายให้พวกเจ้า ผู้ใดในพวกเจ้าเคยคิดเสียสละเพื่อเกียรติยศของตระกูลอย่างแท้จริงบ้าง มีเพียงคนจากตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงเท่านั้น!”

ไป๋ฉีเหอกล่าวอย่างเดือดดาล หน้าอกสั่นไหวอย่างรุนแรง ทว่า เขากลับเห็นคนอื่นๆ ของตระกูลบรรพบุรุษมองหน้ากันอย่างไม่ทุกข์ร้อน ประหนึ่งว่าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เขาพยายามข่มโทสะของตัวเอง จากนั้นกล่าวอย่างอ่อนแรง “หากพวกเจ้ายังอยากพบหน้าองค์หญิงเจิ้นกั๋วอยู่ พวกเจ้าก็หาทางกันเอาเองก็แล้วกัน ข้า ไป๋ฉีเหอไม่มีทางขอร้องให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วมาพบพวกเจ้าแน่นอน”

กล่าวจบ ไป๋ฉีเหอสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที

เมื่อคนของตระกูลบรรพบุรุษเห็นไป๋ฉีเหอขึ้นรถม้าจากไป พวกเขาต่างเบ้ปาก บางคนถึงกลับถ่มน้ำลายตามหลังไป๋ฉีเหอ “ถุย คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใดกัน! ก็แค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่งขององค์หญิงเจิ้นกั๋วเท่านั้น! คิดว่าตัวเองสำคัญมากนักหรืออย่างไร!”

“นั่นนะสิ เรื่องในครอบครัวของตัวเองยังจัดการไม่ได้เลย เมียจะไม่มีอยู่แล้ว ยังมีหน้ามาสั่งสอนพวกเราอีก!”

“ไป๋ฉีเหอคงกลัวว่าหากองค์หญิงเจิ้นกั๋วโมโห เขาจะสูญเสียตำแหน่งประมุขที่เพิ่งได้มาไปกระมัง!!”

คนตระกูลบรรพบุรุษไป๋ต่อว่าไป๋ฉีเหอลับหลังเพื่อระบายความโกรธจนตอนนี้อารมณ์ดีขึ้นมานิดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าพวกเขาเข้าไปในจวนไป๋ไม่ได้ ของขวัญถูกยกจากไปแล้ว พวกเขาจึงหมุนตัวจากไปอย่างหงุดหงิด กลัวว่าหากบ่าวรับใช้ของจวนไป๋ไปตามนายอำเภอโจวมาจริงๆ พวกเขาจะเดือดร้อน

ภายในโถงของเรือนเซ่าหวา ไป๋ชิงเหยียนฟังรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าจวนจากพ่อบ้านเหา ทว่า ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ พ่อบ้านเหากลับโมโหแทนไป๋ชิงเหยียน หลายปีมานี้ตระกูลไป๋ทำดีต่อตระกูลบรรพบุรุษไป๋มากเกินไป พวกเขาจึงกล้าทำตัวสามหาวถึงเพียงนี้

เมื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าจวนไป๋จบ พ่อบ้านเหาจึงกล่าวต่อ “คุณหนูใหญ่ วันนี้คือวันเกิดของคุณหนูใหญ่ กู่เหล่า ผู้ดูแลหลิวและข้าซึ่งเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของตระกูลไป๋เตรียมของขวัญมามอบให้คุณหนูใหญ่ชิ้นหนึ่งขอรับ คุณหนูใหญ่ได้โปรดรับไว้ด้วยเถิดขอรับ!”

พ่อบ้านเหากล่าวพลางหันไปรับหีบเก็บสมบัติสีขาวซึ่งมีฝาปิดสองด้านสีม่วงมาจากบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ฝาปิดทั้งสองด้านแกะสลักเป็นลายดอกไม้และนกอย่างประณีต เมื่อเปิดฝาออก ด้านในมีชุดเครื่องประดับศีรษะซึ่งทำจากทับทิมวางอยู่หนึ่งชุด แม้ทับทิมจะไม่ได้ใหญ่มาก ทว่า ถูกทำขึ้นอย่างประณีต มีทองเคลือบสลับอยู่ด้วย สีทองและสีแดงส่องแสงแวววับ ช่างดูงดงามยิ่งนัก

“เป็นเครื่องประดับศีรษะที่งดงามมากเจ้าค่ะ!” ต่งถิงเจินอุทานออกมา

พ่อบ้านเหายืนอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนหยิบพู่ประดับศีรษะออกมาดูอย่างชื่นชอบ ดวงตาของพ่อบ้านเหาจึงส่อแววดีใจขึ้นมาทันที

“แค่หีบเก็บสมบัติสีขาวหีบนี้ก็คงแพงมากแล้ว เครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำได้ประณีตมาก พวกเขาตั้งใจกันมากจริงๆ นะเจ้าคะ” ไป๋จิ่นจื้อเข้าไปลูบปลายพู่ประดับศีรษะ จากนั้นเงยหน้ายิ้มให้พ่อบ้านเหา

บ่ายวันนี้ ต่งซื่อจ่ายเงินเดือนให้บ่าวรับใช้ในจวนไป๋เพิ่มอีกสองเดือนเนื่องในวันเกิดของไป๋ชิงเหยียน อีกทั้งส่งของขวัญขอบคุณไปให้กู่เหล่า ผู้ดูแลหลิวและพ่อบ้านเหาซึ่งเป็นบ่าวรับใช้เก่าแก่ของจวนไป๋ กล่าวว่าหลายเดือนมานี้พวกเขาลำบากกันมามาก นางจึงถือโอกาสนี้ตอบแทนพวกเขา

เมื่อกู่เหล่า ผู้ดูแลหลิวและพ่อบ้านเหาเห็นของขวัญที่ล้ำค่ายิ่งกว่าของขวัญที่พวกเขามอบให้ไป๋ชิงเหยียนที่ต่งซื่อส่งมาให้ พวกเขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทว่า พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธ เนื่องจากฉินหมัวมัวกล่าวดักไว้ว่าหากพวกเขาปฏิเสธเท่ากับเป็นการดูถูกน้ำใจของต่งซื่อ

ไป๋จิ่นจื้ออยู่เป็นเพื่อนหลี่ซื่อที่จวนทั้งวัน ช่วงดึกจึงไปหาไป๋ชิงเหยียนที่เรือนปัวอวิ๋น

พรุ่งนี้ไป๋จิ่นจื้อจะเดินทางไปยังค่ายผิงอันแล้ว นอกจากความตื่นเต้นดีใจแล้ว ลึกๆ แล้วไป๋จิ่นจื้อแอบรู้สึกกังวลกับหนทางข้างหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทั้งๆ ที่อยากเข้านอนแต่หัวค่ำ ทว่า สาวน้อยกลับตัดสินใจมาหาพี่หญิงใหญ่ที่เรือนปัวอวิ๋นอย่างทนไม่ไหว

แสงไฟในห้องของเรือนปัวอวิ๋นยังคงสว่างอยู่ ไป๋จิ่นจื้อที่ยืนอยู่หน้าประตูเห็นพี่หญิงใหญ่ของตนนั่งอ่านตำราอยู่ริมหน้าต่างอย่างเลือนราง สาวน้อยเริ่มลังเล กลัวว่าหากเข้าไปบอกพี่หญิงใหญ่ว่านางรู้สึกกังวล พี่หญิงใหญ่อาจคิดว่านางยังเตรียมตัวไม่พร้อม