บทที่ 716 รากฐานของหานเจวี๋ย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 716 รากฐานของหานเจวี๋ย

หลังเข้าสู่เขตเซียนร้อยคีรี เซวียนฉิงจวินและลี่เหยาเข้ามาคารวะหานเจวี๋ยทันที

ส่วนสาวน้อยภูตบุปผานางนั้นที่พวกนางต้องการพาเข้ามาด้วย ตามคำบอกเล่าของพวกนาง สตรีนางนี้คือภูตที่ถือกำเนิดขึ้นในสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ เพราะพวกนางเมตตาเอ็นดูจึงพามาด้วย

หานเจวี๋ยได้แต่ทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้าง เคลื่อนย้ายเด็กสาวเข้ามาในเขตเซียนร้อยคีรี ถึงอย่างไรเซวียนฉิงจวินและลี่เหยาก็ล้วนเป็นสตรีของตน ถึงอย่างไรก็ต้องได้สิทธิพิเศษอยู่แล้ว

หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่าสาวน้อยภูตบุปผาแปรผันมาจากสมบัติล้ำค่าฟ้าดิน แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป มีดวงชะตามรรคาสวรรค์ติดตัวมาเป็นพิเศษ

แต่คุณสมบัติระดับนี้ไม่อยู่ในสายตาหานเจวี๋ยอีกต่อไป

หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย

[หานทั่วบุตรชายของท่านรับสืบทอดมรดกจากผู้ทรงพลังลึกลับ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากผู้ทรงพลังลึกลับ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[ฉู่ซื่อเหรินศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญลึกลับ] x692

[หวงจุนเทียนสหายของท่านออกจากมรรคาสวรรค์]

[ซูฉีศิษย์ของท่านครอบครองวัฏจักรหกวิถี อยู่ห่างจากระดับอริยะเพียงครึ่งก้าว]

[มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อสหายของท่านได้รับการเข้าฝันจากผู้ทรงพลังลึกลับ วิญญาณได้รับความเสียหาย]

[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสหายของท่านหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดหมื่นชาติภพ]

[จักรพรรดินีผืนพิภพสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารมรรคาลึกลับ] x6609721

[จ้าวเซวียนหยวนศิษย์ของท่าน…]

….

ผู้ทรงพลังลึกลับที่หานทั่วและจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพบน่าจะเป็นคนเดียวกัน คาดว่าคงเป็นเทพมารมหามรรคหลบเร้น

เทพมารมหามรรคหลบเร้นยังอยู่ในกฎระเบียบดี และไม่เกิดความเกลียดชังในตัวหานเจวี๋ย ตอนนี้ยังไม่นับว่าเป็นศัตรู

ระยะนี้ซูฉีพัฒนาขึ้นมากนัก ผ่านไปอีกสักระยะน่าจะสำเร็จเป็นอริยะได้

เกิดเรื่องขึ้นกับมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ ประเดี๋ยวต้องให้ความสนใจเสียหน่อย

จะว่าไป สาเหตุที่ซูฉีฝึกบำเพ็ญได้รวดเร็วเช่นนี้ ก็ได้รับความช่วยเหลือจากมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อไม่น้อยเลยเช่นกัน ถึงอย่างไรตอนนี้มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อก็เป็นลูกน้องของหานเจวี๋ยแล้ว

เมื่อหานเจวี๋ยเห็นจดหมายของปรมาจารย์ลัญจกรสรวง ก็อดทอดถอนใจไม่ได้

ปรมาจารย์ก็ยังคงเป็นปรมาจารย์อยู่ดี

ยังคงหนีรอดออกมาได้

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงยังนับว่าเป็นต้นแบบของตัวเอกอยู่ ตัวตนที่เคยมีอำนาจเทียมฟ้าในมรรคาสวรรค์ จะตายง่ายๆ ได้อย่างไร

ส่วนจดหมายรายงานการโจมตีในช่วงหลังพวกนั้น หานเจวี๋ยมองข้ามไปเลย

หลังจากตรวจจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยเข้าฝันมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อทันที

แดนความฝันคือสะพานอนิจจังในยมโลก

หลังจากมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อลืมตาขึ้น ปฏิกิริยาแรกคือหวาดระแวง

หานเจวี๋ยเปิดปากถาม “ก่อนหน้านี้เป็นผู้ใดที่ทำร้ายเจ้า”

พอเอ่ยวาจาออกมา มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อก็รู้สึกโล่งอกในทันที

นางกล่าวตอบอย่างนอบน้อม “ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน เขาเรียกขานแทนตัวว่ามิ่ง เขาคิดจะปลุกปั่นให้ข้าก่อกบฏ ข้าปฏิเสธ จากนั้นจึงทำร้ายวิญญาณข้า”

“เมื่อครู่ข้านึกว่าท่านคือเขา ดังนั้น…”

มิ่งหรือ

หานเจวี๋ยนึกถึงหานมิ่งเป็นอันดับแรก แต่เด็กคนนี้หลังจากถูกเขาโยนเข้าไปในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ก็อยู่อย่างสงบสุขยิ่งนักตลอดมา ไม่เคยออกจากอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองเลย

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เจ้าทำได้ดีมาก ข้าจะเทศนาธรรมให้เจ้า ช่วยเพิ่มพูนตบะให้เจ้า พยายามพิสูจน์อริยะเสรีให้ได้ในเร็ววัน”

มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อติดค้างอยู่ในระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าระยะสมบูรณ์มาโดยตลอด หากพึ่งพาแค่ความพยายามของตัวนางเอง เกรงว่าคงฝ่าทะลวงได้ยากยิ่ง

มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อได้ยินก็ปรีดานัก รีบคุกเข่าขอบคุณหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยก็ไม่พูดไร้สาระอีก เริ่มเทศนาธรรม

….

หนึ่งร้อยปีต่อมา

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น

‘ข้าอยากรู้ว่ามิ่งที่มาหาจักรพรรดิเทียนเอ้อกล่าวถึงคือผู้ใด’ หานเจวี๋ยถามในใจ

[ไม่สามารถทำนายได้ ในบ่วงกรรมที่มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อปนเปื้อนไร้ซึ่งตัวตนของมิ่ง]

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

หรือว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีนามว่ามิ่ง

คาดว่าคงเป็นเพราะมิ่งเกรงว่าจะถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเพ่งเล็ง

อย่างน้อยๆ ก็ยืนยันได้จุดหนึ่งว่า มิ่งผู้นี้คาดเดาว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการอยู่ในมรรคาสวรรค์

หรือจะเป็นเทพมารต้องสาป

หานเจวี๋ยเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมา รูปประจำตัวของเทพมารต้องสาปยังอยู่ มิได้มีนามว่ามิ่งปรากฏขึ้น

เมื่อเอ่ยถึงเทพมารต้องสาป เขายังคงถูกจอมเทพข่งเซวี่ยพัวพันอยู่ ซ้ำจอมเทพข่งเซวี่ย ยังอาศัยประสบการณ์จากการต่อสู้กับเขาทำความเข้าใจพลังวิเศษแห่งกรรมด้วย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เทพมารต้องสาปอาจถูกจอมเทพข่งเซวี่ยสังหารโดยไม่ทันได้พบกับหานเจวี๋ยด้วยซ้ำ

ในเมื่อทำนายถึงมิ่งไม่ได้ ก็จำเป็นต้องปล่อยไปชั่วคราว

หากอีกฝ่ายคิดจะทำร้ายหานเจวี๋ยจริงๆ ก็ต้องบุกเข้ามาในมรรคาสวรรค์ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ตอนนี้มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องแทบทุกวัน ส่งผลให้ตบะของอริยะมรรคาสวรรค์เหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย

เหล่าอริยะมรรคาสวรรค์ก็สังเกตเห็นจุดนี้เช่นกัน เรื่องนี้ทำให้พวกเขาปีติยินดียิ่ง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงทุ่มเทพัฒนามรรคาสวรรค์ยิ่งนัก

หานเจวี๋ยเริ่มสอดส่องแดนเซียน

จำนวนสิ่งมีชีวิตในแดนเซียนรวมถึงปวงสวรรค์หมื่นโลกาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ตลอด โดยเฉพาะหลังจากบุกเบิกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล ผู้บำเพ็ญจำนวนมากเข้าสู่เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล ทำให้ความกดดันด้านพื้นที่อยู่อาศัยลดน้อยลง

ผืนแผ่นดินของแดนเซียนขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง พลังวิญญาณในโลกมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

หากการโบยบินสู่สวรรค์คือความปรารถนาหลักของโลกมนุษย์

เส้นทางสวรรค์ก็เป็นความปรารถนาหลักของแดนเซียน

เพิ่มขึ้นไปทีละขั้น ทำให้สรรพสิ่งรู้สึกว่าวิถีบำเพ็ญไร้ที่สิ้นสุด

หานเจวี๋ยพอใจกับความเปลี่ยนแปลงของมรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้ยิ่ง ต้องกล่าวเลยว่า เหล่าอริยะมรรคาสวรรค์มีความสามารถยิ่งนัก โดยเฉพาะในด้านการดึงดูดความปรารถนาของสรรพสิ่ง

‘หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สักวันหนึ่ง มรรคาสวรรค์จะกลายเป็นศูนย์กลางของฟ้าบุพกาล ส่วนเขาก็จะฝึกบำเพ็ญอยู่ จุดสูงสุดของมรรคาสวรรค์อย่างสงบสุข ไม่ถูกผู้ใดรบกวนและไม่มีผู้ใดกล้ามารบกวน’

หานเจวี๋ยวาดภาพไว้สวยหรู ความฝันของเขายิ่งใหญ่ทว่าเรียบง่ายเช่นนี้

เมื่อเขาสังเกตดูอย่างละเอียด พบว่าตอนนี้แดนเซียนมีจำนวนเซียนทองต้าหลัวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแล้ว โดยเฉพาะระดับจักรพรรดิและระดับเทพที่เพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัว

ยุคสมัยของบุตรแห่งสวรรค์ กระแสการบำเพ็ญรุ่งเรืองยิ่งนัก แม้แต่มนุษย์ธรรมดาในเผ่ามนุษย์ก็ยังนิยมตรวจหารากวิญญาณ

แน่นอนว่า เผ่ามนุษย์ในโลกมนุษย์ธรรมดายังมิได้พัฒนาไปถึงขั้นนี้

ส่วนเผ่าเรืองนาม เผ่าบรรพกาลและเผ่ามังกรยังคงแกร่งกล้าทรงอำนาจเช่นในอดีต มิได้ถูกเผ่ามนุษย์กดทับจนอับแสง

เมื่อเอ่ยถึงเผ่าพันธุ์ต่างๆ เผ่ากิเลนในเขตเซียนร้อยคีรีก็มีความพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ภายใต้การปกครองของสวีหลินกิเลนที่แปลงกายได้ตัวแรก จำนวนสมาชิกเผ่ากิเลนทะลุหลักแสนแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งง่วนกับการฝึกบำเพ็ญ ตามปกติแล้วพวกมันอาศัยอยู่ใต้ดิน มีการขึ้นมาติดต่อสื่อสารกับศิษย์สำนักซ่อนเร้นบนพื้นดินบ้างเป็นครั้งคราว

พวกมันมีสถานะเทียบเท่าศิษย์ในนามของสำนักซ่อนเร้น ดังนั้นเหล่าศิษย์จึงไม่ข่มเหงรังแกพวกมัน ยิ่งไปกว่านั้นคือที่นี่อยู่ในสายตาของหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยได้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในมรรคาสวรรค์ไปโดยไม่รู้ตัว ครอบครองสองอาณาเขตเต๋า กลุ่มอิทธิพลในฟ้าบุพกาลต่างไม่กล้าดูแคลนเช่นกัน

มีแต่ต้องพึ่งความพิเศษของมรรคาสวรรค์เท่านั้น เขาถึงจะยืนได้อย่างมั่นคงยั่งยืน

ซึ่งเงื่อนไขแรกที่ห้ามทำคือไปยุแหย่หาเรื่องจอมเทพฟ้าบุพกาลส่งเดช

แม้จะมีอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หานเจวี๋ยก็ยังคงรักษาปณิธานเดิม มิได้หลงระเริงไปกับความสุขสำราญ ยังคงเพียรบำเพ็ญต่อไป

หลังจากหานเจวี๋ยสรุปรากฐานอำนาจของตนอยู่ในใจอย่างเงียบๆ ก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาก จากนั้นก็เข้าสู่สภาวะบำเพ็ญอีกครั้ง

จอมเทพฟ้าบุพกาลและผู้สร้างมรรคาคือดาบที่พาดอยู่เหนือศีรษะของหานเจวี๋ย หากยังเทียบชั้นกับพวกเขาไม่ได้ หานเจวี๋ยก็ยังไม่สามารถวางใจลงได้อย่างแท้จริง

ฝึกบำเพ็ญทั้งทีก็ต้องฝึกให้ถึงระดับที่แข็งแกร่งที่สุด!

อีกด้านหนึ่ง

ภายในแดนต้องห้ามอันธการ

เงาร่างสองร่างลอยอยู่ในความมืดมิด มองไปในทิศทางเดียวกันอย่างเงียบงัน

มีปราณสีดำพัวพันอยู่บนร่างพวกเขา มองออกเพียงว่าเป็นรูปร่างมนุษย์ ทว่าไม่สามารถสอดส่องไปถึงร่างจริงได้ ดวงตาของทั้งคู่เรืองแสงเขียวเรืองรอง

เงาร่างหนึ่งที่มีขนาดเล็กกว่าเอ่ยขึ้นว่า “มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะกลายเป็นตัวตนชั้นปกครองของฟ้าบุพกาลในไม่ช้า ก้าวข้ามแดนเทพหวนปัจฉิมในอดีตไป ไยพวกเราถึงยังไม่ลงมืออีก”

เงาอีกร่างหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไม่ได้ จำเป็นต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคือผู้ใด ซ่อนเร้นอยู่ในมรรคาสวรรค์หรือไม่ มิเช่นนั้นจะซ้ำรอยเผ่าเพลิงกัลป์และเผ่าหายนะได้ง่ายๆ”

………………………………………………………………