ตอนที่ 183-1 กลับบ้าน
ชุ่ยผิงเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางไปเอาอาหารที่ห้องครัว เดิมทีนางเป็นสาวใช้ในห้องบุปผา ยามปกติรับผิดชอบการซ่อมแซมและจัดการสวนดอกไม้ใหญ่ในจวนตระกูลจี นางพักอาศัยอยู่ละแวกห้องบุปผา ห้องบุปผาไม่มีห้องครัวเป็นของตัวเอง อาหารการกินต้องเดินไปเอาที่ส่วนกลาง
วันนี้เผอิญเป็นเวรนางไปเอาอาหารพอดี นางจึงยกกล่องข้าวเดินออกไป
ขาไปยังไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ขากลับนางใช้ทางลัดตามปกติ นางเดินไปตามระเบียงทางเดินที่อยู่ใกล้ซุ้มต้นองุ่น ตรงบันไดระเบียงมีมอสขึ้นอยู่ นางไม่ทันเห็นเลยเหยียบเข้าไปเต็มเท้า ตัวนางจึงลื่นไถล กลิ้งตกจากบันไดเป็นสิบขั้นจนหัวกระแทก เลือดไหลออกมานองเต็มพื้นทันที
มามาผู้ดูแลห้องบุปผารออยู่นานไม่เห็นนางเอาข้าวกลับไปเสียที ยังคิดว่านางไปแวะทักทายใครที่ไหน จึงฮึดฮัดเดินออกไปตามหา ใครจะรู้ว่าจะได้เห็นชุ่ยผิงนอนเลือดไหลอยู่กับพื้น
ตอนแรกมามาผู้ดูแลคิดว่าชุ่ยผิงตายเสียแล้ว จึงรีบร้อนไปแจ้งให้เรือนถงทราบ ทางเรือนถงก็ส่งคนไปแจ้งข่าวต่อมารดาของชุ่ยผิง มารดาของชุ่ยผิงจึงรีบเดินทางข้ามคืนเพื่อมารับตัวบุตรสาว
เรือนถงไปเชิญหมอมา ทั้งยังให้เงินและยาบำรุงไปอีกจำนวนหนึ่ง กำชับให้มารดาของชุ่ยผิงดูแลบุตรสาวของนางให้ดี ไว้รอให้นางหายดีแล้วค่อยกลับมาทำงานที่จวนอีกครั้ง
มารดาของชุ่ยผิงพาตัวบุตรสาวกลับไปด้วยความซาบซึ้งใจ
เพียงแต่ชุ่ยผิงเจ็บหนักเพียงนั้น น่ากลัวว่าคงเกินจะเยียวยา
เฉียวเวยเอามือเท้าคาง “น่าแปลก”
“น่าแปลกอะไรหรือเจ้าคะ ฮูหยิน” ปี้เอ๋อร์ถาม
เฉียวเวยเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ชุ่ยผิงเดินทางนั้นทุกวัน เหตุใดถึงไปเหยียบเอาต้นมอสได้ มอสก็ไม่ได้จะขึ้นได้ในวันสองวัน หากขึ้นเป็นวงใหญ่นางก็น่าจะรู้แล้วเดินหลบถึงจะถูก อีกอย่างบ่าวไพร่ในจวนอัครเสนาบดีไปอยู่ไหนทำอะไรกันหมด มอสที่อยู่บนบันไดจะไม่รู้จักจัดการให้เรียบร้อยเชียวหรือ”
“ดูเหมือนมีคนบกพร่องในหน้าที่ กำลังถูกโบยอยู่ทีเดียวเจ้าค่ะ เวลานี้ต้องไปจัดการทำความสะอาดจนหมดจดแล้วเป็นแน่!” ปี้เอ๋อร์พูดเสร็จก็คล้ายคิดอะไรได้ “ฮูหยินสงสัยว่ามีคนตั้งใจทำร้ายชุ่ยผิงหรือเจ้าคะ ชุ่ยผิงเป็นคนดีมาก ไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร…”
“ไม่มีหลักฐาน อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ข้าก็แค่บ่นไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องในบ้านชิงเหลียน พวกเราอย่าไปสนใจ” เฉียวเวยเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าไปบอกเยียนเอ๋อร์ที ว่าข้าอนุญาตให้หยุดงานได้”
ปี้เอ๋อร์ถามว่า “กี่วันเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยตอบ “กี่วันก็ได้”
ถึงอย่างไรในเรือนนี้ก็งานน้อยคนมาก สาวใช้ไม่อยู่สองคนก็ไม่ต่างอันใดกัน
การเปลี่ยนบ้านชิงเหลียนให้เป็นสถานตรวจรักษาขนาดย่อมนั้นไม่ได้อยู่ในแผนของเฉียวเวย นางไม่ได้คิดจะรักษาคนจำนวนมากเพียงนั้น ที่นางช่วยรักษาอู๋มามาเป็นเพียงความบังเอิญโดยแท้จริง ตอนหลังจะเลือกปฏิบัติก็คงไม่ดีจึงตรวจอาการให้ทุกคน นางอยู่บ้านว่างจนไม่รู้จะทำอะไร การได้ทำเรื่องที่ตนเองถนัดเป็นครั้งคราวเพื่อฆ่าเวลา อันที่จริงก็เพลินดีเหมือนกัน แค่ไม่รู้ว่าการที่นางทำเช่นนี้ จะทำให้ใครบางคนไม่พอใจหรือไม่
“เรื่องในวันนี้ท่านพอได้ยินแล้วกระมัง” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวพลิกหนังสือในมือ “อ้อ เจ้าหมายถึงเรื่องที่เจ้าตรวจโรคให้บ่าวไพร่น่ะหรือ อื้อ ได้ยินแล้ว”
เฉียวเวยพึมพำว่า “หากท่านมีความเห็นอะไรก็บอกข้านะ”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “เจ้าชอบก็ดีแล้ว”
เฉียวเวยเขยิบไปทางขวาก้าวหนึ่งเพื่อให้มองเขาได้ชัดเจนขึ้นในระยะประชิด “ท่านพูดง่ายเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร คงไม่ใช่ว่ามีแผนอะไรอีกกระมัง”
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างมีนัยยะลึกซึ้งว่า “เจ้าเป็นของข้าแล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะวางแผนทำอะไรเจ้าอีกหรือ”
เฉียวเวยกระแอมเบาๆ “เจ้าคิดจะ…คิดจะทำเรื่องนั้น”
“เรื่องนั้นเรื่องไหน?” จีหมิงซิวแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
ขนตาเฉียวเวยสั่นไหวเล็กน้อย หน้าแดงก่ำขณะเอ่ยว่า “ก็เรื่องนั้นไงเล่า!” จีหมิงซิวทำหน้าจนใจ “ตัวข้าปัญญาทึบ หวังว่าภรรยาจะช่วยอธิบายให้กระจ่าง ตัวข้าคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องไหนกันหรือ”
หากว่ากันเรื่องความหน้าหนาแล้ว เฉียวเวยร้อยคนก็ยังไม่ใช่คู่ปรับของเขา เฉียวเวยรู้สึกลึกๆ ว่าหากเอาหนังหน้าเขากลับไปยังยุคปัจจุบัน ไม่แน่ว่าอาจใช้กันกระสุนได้เลยทีเดียว
เฉียวเวยไม่โต้เถียงกับเขาอีก ยิ่งเถียงก็ยิ่งแพ้หนักขึ้น “คิดเอาเองแล้วกัน ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ เสียหน่อย เหตุใดต้องเอาแต่ถามข้าด้วย”
จีหมิงซิวทำสายตาอบอุ่น “ก็แค่อยากพูดคุยกับเจ้า”
ปากหวานก้นเปรี้ยว ปากหวานก้นเปรี้ยว ปากหวานก้นเปรี้ยว!
เฉียวเวยสูดหายใจเขาลึกๆ แล้วถลึงตาใส่อีกฝ่าย ก่อนจะไปพับเสื้อผ้าของตนต่อ
เด็กน้อยทั้งสองอาบน้ำเสร็จก็วิ่งตึกตักๆ ขึ้นไปบนเตียง
จีหมิงซิวตบก้นเนื้ออวบแน่นของวั่งซู “วันนี้นอนเองได้หรือไม่”
วั่งซูปฏิเสธทันควัน “ไม่ได้”
จีหมิงซิวหลอกล่อต่อว่า “เดี๋ยวพ่อจะซื้อเตียงหลังใหญ่สวยๆ ให้เจ้าดีหรือไม่ เอาที่ทองอร่ามระยิบระยับไปเลย”
วั่งซูกลืนน้ำลาย จินตนาการถึงความรู้สึกที่ตนไม่ได้นอนบนเตียงสีทองหลังใหญ่ กับความรู้สึกที่ไม่มีท่านแม่นอนอยู่ข้างกาย นางรู้สึกว่าอย่างหลังออกจากน่าเศร้ากว่าเล็กน้อย
จีหมิงซิวหันไปเอ่ยชี้นำความคิดบุตรชาย “เจ้าโตแล้ว เป็นสุภาพบุรุษ จะนอนกับสตรีอีกคงจะไม่ดี ยังจำที่พ่อเคยบอกได้หรือไม่ ว่าน้องน้อยของเจ้า ให้ภรรยาของเจ้าดูได้คนเดียวน่ะ หลักการเดียวกัน ต่อไปเจ้าก็จะนอนได้แต่กับภรรยาของเจ้าเช่นกัน”
“ภรรยาคืออะไรหรือ” จิ่งอวิ๋นถาม
“ก็คือคนที่แต่งงานกับเจ้า”
“แต่งงานต้องมีอีกคนด้วยหรือ”
จีหมิงซิวเอ่ยชักจูงต่อไป “แน่นอน ผู้ชายหนึ่งคน ผู้หญิงหนึ่งคน อยู่ด้วยกันถึงจะเรียกว่าแต่งงาน”
จิ่งอวิ๋นคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ “ก็คือแต่งอีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในบ้าน หมายถึงอย่างนี้ใช่หรือไม่”
“อื้อ”
“ที่แท้ก็อย่างนี้เองหรือ” จิ่งอวิ๋นเปิดลิ้นชักตรงหัวเตียงแล้วหยิบผ้าดอกไม้สีแดงของตนออกมา “ข้าแต่งงานกับท่านแม่แล้ว ข้าจะนอนกับท่านแม่ตลอดไปเลย!”
จีหมิงซิวพลันหน้าถอดสี
ซาลาเปาน้อยสองคนนอนคั่นกลางระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ ก่อนจะหลับไปด้วยความสบายใจ
ระหว่างนั้น จิ่งอวิ๋นฝืนลืมตาขึ้นมาสองครั้ง เมื่อมั่นใจว่าตนยังอยู่บนเตียงผู้ใหญ่ จึงหลับตากลับลงไปเหมือนเดิม
เฉียวเวยเองก็นอนลงแล้วเอาผ้าห่มคลุมกาย
แต่แล้วจู่ๆ ผ้าห่มก็ถูกใครบางคนดึงมุมให้เลิกขึ้น ลมเย็นหอบหนึ่งพัดเข้ามา แทบจะในชั่วขณะเดียวกัน ร่างที่อุ่นร้อนก็ไถลตัวเข้ามาด้วย โอบกอดนางไว้แน่นจากทางด้านหลัง
แผ่นหลังที่เย็นจัดของนางสัมผัสถูกแผงอกที่ร้อนระอุ จึงคล้ายอุ่นร้อนไปทั้งตัว
นี่ก็คือความรู้สึกของการถูกโอบกอด ไม่น่ารังเกียจสักนิด
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเพียงกอดเฉยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรมากกว่านี้ เฉียวเวยจึงปล่อยมือที่จับอยู่บนแขนอีกฝ่ายออก
จีหมิงซิวดึงนางให้เข้าไปในอ้อมแขนตนมากขึ้น ท่อนแขนทรงพลังที่โอบรอบเอวบางของนางอยู่ พลันกระชับขึ้นอีกนิด
เฉียวเวยหลับตาลงเล็กน้อย ไม่นานก็เข้าสู่นิทรารมย์อันแสนอ่อนหวาน
…
“เข็มด้ายในมือมารดา เย็บเสื้อให้ผู้เดินทางไกล
ก่อนออกเดินทางไป ยังคงตั้งใจเย็บทุกฝีเข็ม
ใจกตัญญูอันไหวอ่อนดั่งต้นหญ้า ใครเลยจะกล้าบอกว่าตอบแทนคุณมารดาได้”
ในบ้านบนภูเขา เฉียวเจิงกำลังอ่าน “นิราศ” อยู่
จูเอ๋อร์ตบโต๊ะแล้วชี้ไปยังหนังสือรวมกลอนที่วางอยู่บนโต๊ะ เป็นการบอกให้อีกฝ่ายอ่านอีก
เฉียวเจิงหัวเราะ แล้วอ่านเบาๆ ต่อไป “เข็มด้ายในมือมารดา เย็บเสื้อให้ผู้เดินทางไกล…”
จูเอ๋อร์นั่งอยู่บนเก้าอี้เด็กเฉพาะของตน (เฉียวเวยเป็นคนทำ) ตรงหน้าคือตะเกียงน้ำมันที่อ่อนแสง แสงไปสะท้อนลงบนใบหน้าที่ (ตัวมันคิดว่า) ซีดขาว ทำให้เกิดเป็นแสงที่ (ตัวมันคิดว่า) เหลืองทองดูอบอุ่น
มันขยี้ตาที่ (คิดเอาเองว่า) มองไม่ชัด มือซ้ายหยิบเข็ม (ที่ไม่มีอยู่จริง) ขึ้นมาเล่มหนึ่ง มือขวาหยิบด้าย (ที่ไม่มีอยู่จริง) ขึ้นมา แล้วเริ่มร้อยด้ายด้วยสายตาที่พร่ามัว
รูเข็มเล็กเกินไป มองไม่ชัดเลย!
ลำบากคนแก่คนเฒ่าอย่างพวกนางเสียจริง!
“ใครเลยจะกล้าบอกว่าตอบแทนคุณมารดาได้”
เฉียวเจิงอ่านจบอีกรอบแล้ว
จูเอ๋อร์ตีโต๊ะอีกครั้ง
เฉียวเจิง “เข็มด้ายในมือมารดา เย็บเสื้อให้ผู้เดินทางไกล…”
ในที่สุดจูเอ๋อร์ก็ร้อยด้ายเข้ากับเข็มได้เสียที มันหยิบเสื้อ (ที่ไม่มีอยู่จริง) ขึ้นมาตั้งใจเย็บโดยละเอียด พอเย็บเสร็จก็มัดปม กัดด้ายส่วนที่เหลือออก สองมือจับเสื้อขึ้นสะบัด แล้วจู่ๆ ก็ขนตั้งชันไปหมด
ตอนนั้นมันลืมใส่เข็มกลับลงไปในตะกร้า เข็มเลยทิ่มนิ้วเสีย!
มันยื่นนิ้วไปตรงหน้าเฉียวเจิง
เฉียวเจิงมองปลายนิ้วที่ไม่มีอะไรบุบสลายสักนิดแล้วเหลือบตามองท่าทางเจ็บปวดจนอยากร้องไห้ของมัน เขาร้องอ้อคำหนึ่งแล้วทำแล้วจึ๊ๆ “เหตุใดเจ้าถึงไม่ระวังเช่นนี้ ถูกเข็มทิ่มมือเข้าสิท่า เลือดออกเยอะเลยนะนี่… มา ข้าทำแผลให้”
เฉียวเจิงทำท่าทำแผล
จูเอ๋อร์แกะผ้าพันแผลออก มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ได้ใส่ยา!
เฉียวเจิงเลย “ใส่ยา” ให้มัน จากนั้นถึงได้ “พันแผล” ให้
จูเอ๋อร์พยักหน้าด้วยความพอใจ ยกมือข้างที่เจ็บขึ้นถูกับพื้นไม้
มารดาแก่ชราที่มากด้วยความห่วงกังวล อันที่จริงพวกนางเหนื่อยยากมามาก เหนื่อยมากๆ!
วันต่อมาเป็นวันกลับเรือน กลับเรือนเรียกอีกอย่างว่ากลับบ้านเดิม โดยมากหมายถึงการที่เจ้าสาวกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเดิมหลังจากแต่งงานได้วันที่สาม หก เจ็ด แปด เก้าวันหรือไม่ก็หลังจากครบเดือนโดยมีสามีกลับไปพร้อมกันด้วย
ราชสำนักอนุญาตให้จีหมิงซิวลาหยุดได้สามวัน (เดิมทีราชวงศ์ต้าเหลียงให้ลาแต่งงานได้ครึ่งเดือน แต่ด้วยมีบางคนเมื่อปีที่แล้วลาหยุดไปหนึ่งปีเต็มๆ ทำให้งานในราชสำนักวุ่นวาย เดือดร้อนกันไปถ้วนทั่วเป็นที่เดือดดาลของฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงลดทอนวันลาแต่งงานของเขาลง) ตระกูลจีจึงกำหนดวันกลับเรือนไว้ที่วันที่สาม
เดิมทีวันที่สามนับว่าเป็นวันดีที่สุดอยู่แล้ว สะใภ้ตระกูลใดบ้างได้กลับเรือนเร็วเพียงนี้ นี่เรียกได้ว่าทำให้ได้หน้าได้ตาโดยแท้
แน่นอนว่าไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีข้อยกเว้น บางพื้นที่วันกลับเรือนยังมีข้อห้าม เช่นว่าวันที่สิบห้าของเดือนห้ามกลับบ้านเดิมเป็นต้น
เฉียวเวยถามปี้เอ๋อร์มาแล้ว มีเพียงบางพื้นที่ที่มีธรรมเนียมเช่นนี้ ในเมืองหลวงไม่มี มีคนจำนวนไม่น้อยที่กลับบ้านเดิมในวันที่สิบห้าของเดือน
แต่ไม่ว่าอย่างไรเมื่อถึงยามควรกลับบ้าน ก็ต้องกลับ ไม่อย่างนั้นจะมีเรื่องหนักอกเกิดขึ้นได้ ช่วงที่ไม่ควรกลับ ก็ห้ามกลับโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องน่าหนักอกขึ้นได้อีกเช่นกัน
คนโบราณเขาว่าไว้
ปี้เอ๋อร์บอกว่าคนโบราณว่าไว้
ทางด้านนี้ ปี้เอ๋อร์กำลังเก็บของและของขวัญอยู่ อีกด้านหนึ่งสองสามีภรรยาก็พาเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองไปคารวะเหล่าฮูหยินที่เรือนลั่วเหมย
จีเหล่าฮูหยินรู้อยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันกลับเรือน นางเอ่ยอนุญาตอย่างอารมณ์ดี ทั้งยังให้โสมคนพันปีกับเฉียวเวยต้นหนึ่ง ให้เฉียวเวยเอากลับไปกตัญญูต่อบิดา เฉียวเวยกล่าวขอบคุณเสร็จก็ไปที่เรือนถงต่อ
จีหมิงซิวไม่ได้ไปที่เรือนถงด้วย เขากับจีซั่งชิงเป็นประหนึ่งน้ำกับไฟ แค่เห็นหน้าก็อยากจะมีปากเสียงขึ้นมาแล้ว เฉียวเวยไม่หวังให้เขาไปคารวะจีซั่งชิง แต่อย่างไรซาลาเปาน้อยทั้งสองก็ยังต้องไปอยู่
เฉียวเวยพาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปที่เรือนถง
จีซั่งชิงเกษียนจากราชการนานแล้ว เวลานี้จึงอยู่ว่างๆ ที่บ้าน อาจเพราะเบื่อไม่มีอะไรทำจึงเลี้ยงนกเดินดงกับนกกระทาไว้หลายตัว กรงนกแขวนอยู่ใต้ระเบียงทางเดิน ยามเดินผ่านได้ยินเสียงพวกมันส่งเสียงร้องจิ๊บๆ เป็นที่เพลิดเพลินยิ่งนัก
จิ่งอวิ๋นอุ้มเสี่ยวไป๋อยู่ในมือ ใช่แล้ว ตั้งแต่รู้ว่าพละกำลังของตนสู้น้องสาวไม่ได้ จิ่งอวิ๋นก็ใช้น้ำตาลสิบเม็ดแลกกับการได้อุ้มเสี่ยวไป๋แทนน้องสาว เขามักคิดว่าการที่น้องสาวมีพละกำลังมากเพียงนี้เป็นเพราะฝึกมาจากตอนอุ้มเสี่ยวไป๋
เสี่ยวไป๋ได้กลิ่นหอมบางอย่างจึงยกศีรษะขึ้นมา
นกเหล่านั้นเดิมทีกำลังซุบซิบเรื่องในบ้านตระกูลจีกันอยู่ เมื่อได้เห็นสายตาที่ราวกับหมาป่าหิวกระหาย จึงตกใจจนตีปีกกระโดดไปมา ตัวกระแทกกับกรงจนขนร่วงเต็มไปหมด!
“จิ๊บๆๆ!”
พังพอนตัวนั้นจะกินพวกเรา!
“จิ๊บๆ จุ๊บๆ จิ๊บๆ!”
มันกินไม่ได้! พวกเราอยู่ในกรง!
นกพอรู้ว่ามีปราการเหล่านี้อยู่ ไม่นานก็สงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว พวกมันเหลือบมองเสี่ยวไป๋ด้วยความหยิ่งผยอง แล้วกลับไปพูดคุยเรื่องในบ้านตระกูลจีต่อไป
จีซั่งชิงกับสวินหลันอยู่ที่เรือนด้วยกันทั้งคู่ หลิวเกอร์นั่งอยู่บนตักสวินหลัน คอยป้อนยาให้บุตรชายกินทีละช้อน เด็กคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูจนบอบบางไปแล้วจริงๆ แค่ท้องไม่ดีนิดหน่อย สามวันแล้วยังต้องกินยาอยู่เลย หากเป็นวั่งซู วันต่อมาก็กลับมากระโดดโลดเต้นได้แล้ว
เด็กทั้งสามยังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน จึงอดมองกันไปมองกันมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ไม่ได้
เฉียวเวยทำความเคารพคนที่นั่งอยู่ด้านบน “ท่านพ่อ ฮูหยิน”
นางไม่ได้เรียกสวินหลันว่าท่านแม่ ไม่รู้ว่าจีซั่งชิงจะไม่พอใจหรือไม่
จีหมิงซิวไม่ยอมเรียกมารดาเลี้ยงว่าท่านแม่ นางเลยไม่มีทางขัดแย้งกับสามีที่นางมั่นใจว่ารักใคร่ตนมากๆ เพื่อไปเอาใจพ่อสามีที่อาจจะหรืออาจจะไม่เอ็นดูตนเด็ดขาด
จีซั่งชิงยังคงไม่ยิ้มแย้มดังเก่า สีหน้าเคร่งขรึม เวลาไม่พูดอะไรดูคล้ายกำลังอารมณ์ไม่ดี แต่เขากลับไม่ได้ทำอะไรให้เฉียวเวยลำบากใจ ตอบรับว่า “เจ้ามาแล้ว”
เฉียวเวยตบบ่าซาลาเปาน้อยทั้งสอง เป็นสัญญาณให้ทักทายท่านปู่
ทั้งสองไม่มีใครยอมเรียก
วั่งซูปกติปากหวานเป็นที่หนึ่ง แต่ครานี้เอาแต่ซุกอยู่กับอกมารดา ใช้ตาข้างเดียวลอบมองจีซั่งชิง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมทักทายอีกฝ่าย
สายตาของจีซั่งชิงดูผิดหวังเล็กน้อย เขามองเด็กทั้งสองพลางขยับริมฝีปากคล้ายอยากพูดบางอย่าง แต่กลับข่มใจเอาไว้
มุมปากของสวินหลันยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ “เพิ่งมาคงยังไม่คุ้น ไว้รอให้คุ้นเคยกันอีกหน่อยก็คงเรียกขานกันได้เอง”
เฉียวเวยกะพริบตา นี่แม่เลี้ยงสาวคลี่คลายสถานการณ์ให้นางหรือ ถ้าอย่างนั้นตัวนางก็เอาความคิดของคนใจแคบไปตัดสินคนใจกว้างจริงๆ อย่างนั้นสิ ดูมารดาเลี้ยงสิ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นสตรีที่อบอุ่น ใจกว้าง จิตใจงามและเอาใจใส่แค่ไหน
“หลิวเกอร์ พวกเขาเป็นหลานของเจ้า ชื่อจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู ต่อไปเจ้าเล่นกับพวกเขานะ เข้าใจหรือไม่” สวินหลันเอยกับบุตรชายที่นั่งอยู่บนตักด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
หลิวเกอร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย เขารู้ว่าตัวเองจะได้เป็นอาคนแล้ว แต่อันที่จริงเขาไม่ค่อยเข้าใจว่าอามีความหมายว่าอะไร แต่สรุปแล้วเด็กสองคนนี้ต้องเรียกเขาว่าท่านอา เขาหันไปมองเด็กผู้หญิงที่น่าจะเอาอยู่ได้ง่ายหน่อย แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เรียกข้าว่าท่านอา”
วั่งซู “ไม่เรียก!”
เสียงดังมาก หลิวเกอร์ตกใจจนตัวสั่น รีบซุกหน้าเข้ากับอกมารดาแล้วพลันขลาดกลัวขึ้นมาทันที
บุตรของอีกฝ่ายดูราวกับหมาป่า บุตรของตนดูราวกับลูกแพะ จีซั่งชิงแทบจะทนดูไม่ได้
สวินหลันโอบกอดบุตรชายไว้ เอ่ยยิ้มๆ กับเฉียวเวยว่า “วันนี้เป็นวันที่เจ้าต้องกลับเรือน ข้าเตรียมของขวัญไว้ให้เล็กน้อย ช่วยทักทายท่านพ่อเจ้าแทนนายท่านกับข้าด้วย”
เฉียวเวยทำความเคารพ “ขอบคุณฮูหยินมาก”
หลังจากไปเยี่ยมคารวะทั้งสองเสร็จ เฉียวเวยก็พาบุตรของตนออกจากเรือนถงไป
เมื่อพวกนางเดินออกมากันไกลแล้ว คล้ายได้ยินเสียงคนกรีดร้องดังมาจากในเรือน
“นกของนายท่านเล่า หายไปไหนหมด ใครขโมยนกของนายท่าน! นั่นเป็นตัวที่นายท่านชอบมากที่สุดเลยนะ!”
เสี่ยวไป๋บ้วนขนนกออกมาจากปากแล้วเรอขึ้นมาทีหนึ่ง
เมื่อออกจากบริเวณเรือนถงแล้ว เฉียวเวยก็พาบุตรทั้งสองไปที่ประตูใหญ่ รถม้าใดๆ เตรียมพร้อมรอท่าอยู่แล้ว แต่รถขนของขวัญก็มีถึงสามคันด้วยกัน
“เหตุใดถึงมากมายเพียงนี้” เฉียวเวยถาม นี่แทบจะเป็นของหมั้นได้อยู่แล้วนะ
จีหมิงซิวเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ไม่มากหรอก มีคันหนึ่งที่ใส่หมูทองเอาไว้”
วั่งซูพอได้ยินคำว่าหมูทองก็รีบวิ่งไปยังรถที่ขนสัมภาระแล้วเปิดดูทีละคัน แต่ที่น่าผิดหวังก็คือ มีหมูทองอะไรนั่นที่ไหนกัน มีแต่หมูย่างตัวหนึ่งเท่านั้น
หมูย่างตัวนี้คือหมูที่จีหมิงซิวเรียกว่าหมูทองนั่นเอง วันกลับเรือน บ้านฝ่ายผู้ชายจะต้องส่งหมูทองกลับไปให้ตัวหนึ่ง เพื่อเป็นการบอกถึงความบริสุทธิ์ของเจ้าสาว ถึงแม้เฉียวเวยจะมีกระทั่งบุตรแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่บริสุทธิ์ ในใจของใต้เท้าอัครเสนาบดี ฮูหยินอัครเสนาบดีเป็นสตรีที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกหล้านี้แล้ว
รถม้าเคลื่อนตัวไป พอเที่ยงวันก็ไปถึงปากหมู่บ้านพอดี
คนในหมู่บ้านคาดการณ์กันไว้แล้วว่าวันนี้นางจะต้องกลับมา จึงมาล้อมวงรอกันอยู่ที่ปากหมู่บ้านเพื่อรอชมความคึกคัก
เฉียวเวยเดินลงมาจากรถม้า อาภรณ์สีแดงตลอดร่างเป็นที่โดดเด่นสะดุดตา ขับให้นางดูงดงามจนต้องกลั้นหายใจ
นี่คือแม่หม้ายสาวที่มักสวมอาภรณ์เนื้อหยาบ เดินแบกจอบลงไปตรากตรำอยู่ในทุ่งนาจริงๆ น่ะหรือ นี่เป็นเทพธิดามาจากสวรรค์กระมัง
ยิ่งเมื่อมองบุรุษที่อยู่ข้างกายนาง รูปร่างสูงใหญ่มีรัศมีอันองอาจ ตั้งแต่หัวจรดเท้าคล้ายมีไอแห่งความสูงสง่าแผ่กระจายออกมา
ประโยคนั้นกล่าวไว้ว่าอย่างไรนะ
ชายมากสามารถกับหญิงผู้เลอโฉม คงหมายถึงเสี่ยวเฉียวกับสามีของนางกระมัง
ซาลาเปาน้อยทั้งสองกระโดดลงจากรถม้า พวกเขาเปลี่ยนไปอยู่ชุดหรูหราราคาแพง เป็นคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยจากตระกูลชั้นสูง
ทั้งสองเห็นเอ้อร์โก่วจื่อที่อยู่ด้านหลังฝูงชนในทันที นางหันมาบอกเฉียวเวยเสร็จก็แยกตัวออกไปหาเอ้อโก่วจื่อ