ตอนที่ 1431 นี่คือขั้นแรก (2) ตอนที่ 1432 สมคบคิด (1)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 1431 นี่คือขั้นแรก (2) / ตอนที่ 1432 สมคบคิด (1)
ตอนที่ 1431 นี่คือขั้นแรก (2)

“คุณหนูใหญ่ วันนี้มีเข้ามาห้าร้อยสามสิบเจ็ดคน จัดการที่พักให้หมดทุกคนแล้วขอรับ” เยี่ยซายืนอยู่นอกประตู และรายงานสถานการณ์วันนี้ให้จวินอู๋เสียฟัง

“ห้าร้อยแล้วหรือ” จวินอู๋เสียหลุบตาลงเล็กน้อย

“ในค่ายผู้ลี้ภัยเหลืออยู่กี่คน”

“ประมาณหนึ่งพันคนขอรับ” เยี่ยซาได้ตรวจสอบจำนวนคนดั้งเดิมที่มีอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยมาแล้ว เนื่องจากเมืองชิงเฟิงอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยเข้าเมืองวันละสามร้อยคนรวมถึงพ่อค้าที่ร่ำรวยซึ่งติดสินบนเพื่อให้ได้โควต้าเข้าเมืองมาด้วย เขาจึงสามารถสรุปได้ว่า จำนวนผู้ลี้ภัยยากไร้ที่เข้ามาในแต่ละวันจะน้อยกว่าสามร้อยคน

“ทำต่อไป” จวินอู๋เสียพยักหน้า

“เรียนคุณหนูใหญ่ ข้าได้แอบติดตามกลุ่มผู้ลี้ภัยที่ถูกพาออกไปจากค่ายผู้ลี้ภัย และพบว่าพวกเขาถูกส่งไปที่จวนเจ้าเมืองขอรับ” เยี่ยซาพูด หลังจากผู้ลี้ภัยเข้ามาในเมืองได้เจ็ดวัน พวกเขาจะถูกจัดให้ไปที่อื่น แต่เป็นที่ไหนนั้น ไม่มีใครรู้ เยี่ยซาได้ตามพวกเขาไปจนถึงจวนเจ้าเมือง แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างในเพราะกลัวว่าจะถูกพบเข้า เขารออยู่ข้างนอกประตูตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่เห็นผู้ลี้ภัยออกมาสักคน ดูเหมือนว่าทุกคนยังคงอยู่ในจวนเจ้าเมือง

เยี่ยซาเล่าทุกอย่างที่พบให้จวินอู๋เสียฟัง จวินอู๋เสียเลิกคิ้วเล็กน้อยขณะฟังรายงาน

ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างทะแม่งๆ เกี่ยวกับเจ้าเมืองชิงเฟิงเสียแล้ว!

“ตั้งแต่นี้ไป ตามดูจวนเจ้าเมืองกับฝูหยวนถังเอาไว้ให้ดี ถ้าเจออะไรผิดปกติ ให้รายงานข้าทันที” จวินอู๋เสียพูด

“ขอรับ!” เยี่ยซารับคำสั่งและถอยออกไป

จวินอู๋เสียหันไปมองนอกหน้าต่าง สายตาของนางดูเหมือนจะฉายแววบางอย่างที่ไม่สามารถอ่านออก

ลั่วซีทำเหมือนอย่างที่เคยทำ นำลูกน้องหลายคนติดตามเขาไป “แผ่ความเมตตากรุณา” ในค่ายผู้ลี้ภัย แต่เขาก้าวเข้ามาในค่ายผู้ลี้ภัยได้ไม่นาน ก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง ค่ายผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ว่างเปล่า ถนนแคบๆ ที่เคยแออัดด้วยฝูงชนก็มีคนเดินอยู่แค่ไม่กี่คน ในมือของพวกเขาถือสัมภาระของตัวเอง ใบหน้าที่ซูบซีดผอมแห้งก็หายไป กลับมีรอยยิ้มเข้ามาแทนที่

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่” ลั่วซีขมวดคิ้วทันที เขาไม่ได้มาที่นี่แค่สองวัน ทำไมที่นี่ถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ ผู้ลี้ภัยที่ควรจะวิ่งเข้าหาเขาหายไปเกินครึ่ง ทั่วทั้งค่ายว่างเปล่า ลั่วซีรู้สึกงุนงง เขาให้ลูกน้องไปถามผู้ลี้ภัยที่กำลังจะออกจากค่าย และไม่นานลูกน้องของเขาก็วิ่งกลับมา

“คุณชาย คนพวกนี้กำลังจะไปทางเหนือของเมืองขอรับ” ลูกน้องพูด

“ทางเหนือของเมือง” ลั่วซีขมวดคิ้วอย่างงุนงง “ไปทางเหนือของเมืองทำไม”

“ได้ยินว่า ไม่นานมานี้มีคนซื้อบ้านในพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ทางเหนือของเมือง รื้อบ้านทั้งหมดทิ้ง แล้วสร้างหอพักขึ้นเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็ให้พวกผู้ลี้ภัยได้อยู่ฟรีกินฟรีที่นั่น ผู้ลี้ภัยพวกนี้ถึงได้ย้ายกันไปหมดขอรับ” ลูกน้องเริ่มพูดอย่างระมัดระวัง

ดวงตาของลั่วซีลุกวาวด้วยความโกรธ เขาคว้าคอเสื้อของลูกน้อง แล้วถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ มีคนหาที่พักใหม่ให้พวกแมลงโสโครกนี่เรอะ”

ลูกน้องกลืนน้ำลายแล้วตอบตะกุกตะกักว่า “ใช่…ใช่ขอรับ…”

“ทำบ้าอะไรของมัน!” ลั่วซีขมวดคิ้ว “รู้หรือไม่ว่าใครทำ”

“ไม่รู้ขอรับ…” ลูกน้องส่ายหัว

“หรือว่าท่านผู้นั้นมีแผนการอื่น” ลั่วซีไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น “ไปดูทางเหนือของเมืองกันก่อน”

“ขอรับ!”

ไม่นานลั่วซีกับลูกน้องของเขาก็ไปถึงทางเหนือของเมือง พอลั่วซีเห็นหอพักเรียงรายเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ เขาก็ผงะไปเล็กน้อย ที่ด้านหน้าหอพักทุกหลัง มีบุรุษในเครื่องแบบหลายคนกำลังรับผู้ลี้ภัยที่เพิ่งมาถึงอย่างเร่งรีบ

ตอนที่ 1432 สมคบคิด (1)

“ไป! ไปถามว่าใครเป็นคนรับผิดชอบที่นี่ บอกพวกเขาว่าลั่วซีจากฝูหยวนถังมาขอพบ” ลั่วซีพูดพลางขมวดคิ้ว จากที่เขาเห็น หอพักพวกนี้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ที่ดีๆ แบบนี้เอาให้พวกผู้ลี้ภัยอยู่ฟรี ออกจะแปลกไปหน่อย คนปกติจะไม่เสียเงินมากมายให้กับผู้ลี้ภัยพวกนี้ ลั่วซีจึงเดาว่าสถานที่นี้น่าจะเกิดจากการเตรียมการบางอย่างของท่านผู้นั้น เนื่องจากทั้งคู่รับใช้เจ้านายคนเดียวกัน การที่เขามาที่นี่เพื่อทักทายก็ไม่น่าจะเป็นการหยาบคาย

ลั่วซีไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อยว่าที่หน้าต่างชั้นสองบนหอพัก มีใครบางคนกำลังมองเขาด้วยสายตาเย็นชาตั้งแต่วินาทีที่เขาปรากฏตัว

“คุณหนูใหญ่! ลั่วซีบอกว่าอยากพบท่านขอรับ” เยี่ยเม่ยพูด

“เร็วจริง…” จวินอู๋เสียมองลั่วซีที่ยืนอยู่ข้างล่าง ดวงตาฉายแววเยียบเย็น

“บอกเขาว่า ข้าไม่ว่าง” พูดจบ นางก็ละสายตาจากนอกหน้าต่าง และนั่งลงที่โต๊ะ

เยี่ยเม่ยให้คนไปถ่ายทอดคำพูดของจวินอู๋เสียแก่ลั่วซีทันที

เมื่อลั่วซีไม่ได้เข้าพบคนทางเหนือของเมือง เขาก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เมืองชิงเฟิงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขามานาน ไม่มีใครสามารถสร้างความวุ่นวายใหญ่โตขึ้นที่นี่ได้

แต่การถูกดูแคลนเช่นนี้ก็ทำให้สีหน้าของลั่วซีดูไม่ดีเช่นกัน ตอนที่เขากลับไป เขาไม่ได้กลับไปที่ฝูหยวนถัง แต่เดินไปทางจวนเจ้าเมืองแทน

“คุณชาย ท่านจะไปที่จวนเจ้าเมืองหรือขอรับ” ลูกน้องคนหนึ่งถามอย่างระมัดระวัง

“ในเมื่อคนนั้นไม่ยอมพบข้า อย่างนั้นข้าก็จะไปถามเจ้าเมืองว่าเขาเป็นใคร” ลั่วซีพูด

ลูกน้องพยักหน้าท่าทางเหมือนเข้าใจ

ภายในจวนเจ้าเมือง ลั่วซีนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ จิบชาที่คนรับใช้นำมาเสิร์ฟให้เขา

หลังจากนั้นไม่นาน บุรุษวัยกลางคนผู้มีพุงอ้วนกลมก็เดินหอบแฮ่กๆ เข้ามา เขาแต่งตัวหรูหรา มีรอยยิ้มบนใบหน้า แก้มยุ้ย ดูร่าเริง

“วันนี้เสี่ยวรั่วมีเวลาว่างมาที่นี่ได้อย่างไรเนี่ย” บุรุษอ้วนผู้นี้คือเจ้าเมืองชิงเฟิง คนมีคุณธรรมที่ผู้ลี้ภัยกล่าวถึง แต่ดูจากตัวเขาแล้ว ยากมากที่จะเชื่อมโยงเขากับขุนนางที่รักประเทศชาติและห่วงใยประชาชน

ลั่วซีกวาดสายตามองเจ้าเมือง แล้วแอบเดาะลิ้น ดวงตาฉายแววรังเกียจแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขาปัดแขนเสื้อและตรงเข้าหัวข้อที่จะพูดทันที “มีคนซื้อคฤหาสน์ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของเมือง เจ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

เจ้าเมืองชะงัก เขาคิดไม่ถีงว่าลั่วซีจะมาที่นี่เพราะเรื่องนี้ “ข้ารู้ เดิมทีพื้นที่ทางเหนือของเมืองก็เอาไว้ขายให้พวกโง่ที่มีเงินเยอะๆ อยู่แล้ว ครั้งนี้ขายได้ตั้งเยอะในคราวเดียว ได้กำไรมาไม่น้อยเลย”

ความจริงแล้ว ร้านขายบ้านที่อยู่ข้างๆ ศาลาว่าการเปิดดำเนินการโดยคนของเจ้าเมือง แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในชื่อของเจ้าเมือง แต่เงินส่วนใหญ่ก็เข้ากระเป๋าของเขา วันก่อนที่เจ้าของร้านมารายงานกับเจ้าเมือง เจ้าเมืองดีใจมากที่รู้ว่ามีคนซื้อที่รวดเดียวตั้งมากมาย ต้องรู้ว่าราคาบ้านในเมืองชิงเฟิงขึ้นไปอยู่ในระดับที่เทียบได้กับเมืองหลวงของรัฐเหยียน มันไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อยเลย!

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ซื้อเป็นใคร” ลั่วซีมองเจ้าเมือง เขารู้เรื่องของร้านนั้นดี

“เห็นว่าเป็นผู้เยาว์แปลกหน้า เดาว่าเขาคงติดสินบนเพื่อเข้ามาในเมือง ทำไมจู่ๆ ถึงสนใจเรื่องนี้เล่า หรือว่าท่านผู้นั้นมีคำสั่งอะไร” สีหน้าของเจ้าเมืองเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงความกังวล

ลั่วซีพูดว่า “ท่านผู้นั้นแค่ให้เราดำเนินการต่อไป แค่นั้นแหละ ที่ข้ามาหาเจ้าวันนี้ก็เพราะบ้านทางเหนือของเมืองพวกนั้น เจ้ารู้หรือเปล่าว่าบ้านพวกนั้นถูกเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นเอาไปช่วยผู้ลี้ภัยแล้ว!”