บทที่ 722 บิดาบังเกิดเกล้า กลายเป็นมิ่ง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 722 บิดาบังเกิดเกล้า กลายเป็นมิ่ง

แต่สุดท้ายฉินหลิงก็เป็นเพียงเซียนทองต้าหลัว ในไม่ช้าก็ถูกมารร่างยักษ์สูงนับหมื่นจั้งตนหนึ่งคว้าตัวไว้ ดิ้นไม่หลุด

หานทั่วเหวี่ยงทวนกวาดออกไป ตะโกนว่า “อี๋เทียน ช่วยศิษย์หลานของข้าที!”

โจวฝานเคยติดต่อไปหาหลี่เสวียนเอ้า หลี่เสวียนเอ้าจึงส่งศิษย์ของสำนักซ่อนเร้นมาเพื่อหาประสบการณ์ ในกลุ่มนั้นมีฉินหลิงอยู่ด้วย หลี่เสวียนเอ้าเคยเอ่ยถึงฉินหลิงเป็นพิเศษ หลังจากนั้นโจวฝานก็นำมาบอกต่อหานทั่ว หลังจากหานทั่วทราบก็ให้การดูแลฉินหลิงเป็นพิเศษ คล้ายว่ากำลังชดเชยที่เคยติดค้างหานอวี้ไว้

“ได้!”

ห่างออกไปหลายร้อยล้านลี้ อี๋เทียนคำรามออกมา ปรากฏตัวขึ้นเหนือศีรษะมารร่างยักษ์ทันที ซัดหมัดออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แขนของมารร่างยักษ์ขาดทันที

ฉินหลิงดิ้นหลุดออกมาได้ เขามองไปทางอี๋เทียนด้วยความซาบซึ้ง

อี๋เทียนแสยะยิ้ม ชกศีรษะของมารร่างยักษ์อีกครั้ง มารร่างยักษ์สูงหมื่นจั้งถูกซัดกระเด็นออกไป

พลังที่เขาแสดงออกมาทำให้จิตใจของฉินหลิงรู้สึกฮึกเหิมพลุ่งพล่าน

ต่อสู้มานานขนาดนี้ ฉินหลิงก็เหนื่อยมากเช่นกัน แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือความตื่นเต้น

ในที่สุดเขาก็ค้นพบชีวิตที่ตนปรารถนาแล้ว

นั่นคือต่อสู้!

อีกด้านหนึ่ง

โจวฝานและจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายร่อนลงบนขลุ่ยหยกใหญ่มโหฬารเลาหนึ่ง จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่ง ร่างกายท่อนล่างหายไป บริเวณเอวมีโลหิตไหลนอง ปราณดำมืดแปลกประหลาดพัวพันอยู่ที่บริเวณบาดแผล ทำให้ร่างกายของเขาไม่สามารถสมานตัวกลับมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

“บัดซบ เหตุใดเทพมารฟ้าบุพกาลถึงต่อกรได้ยากขึ้นเรื่อยๆ กัน”

โจวฝานสบถ เขามองจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย เอ่ยถาม “ฝ่าบาท หากมีที่พึ่งอันใดที่สามารถเรียกมาได้ รีบเรียกมาเถอะ! จะปล่อยให้ลูกน้องเหล่านี้ของข้าตายเปล่าไม่ได้”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้วแน่น เขาสับสนขัดแย้งอยู่ครู่นึง พลันหงายมือขวาขึ้น ปรากฏกระดูกชิ้นหนึ่ง

“คงต้องขอให้เขาช่วยลงมืออีกสักครั้ง”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายถอนหายใจ

โจวฝานถามด้วยความอยากรู้ “ผู้ใดหรือ”

แววตาจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายฉายแววซับซ้อน ตอบว่า “ยังคงเป็นเขา เทพจักรพรรดิอัปมงคล”

เขากำมือขวา กระดูกแตกละเอียด กลายเป็นเถ้าธุลีสลายหายไป

โจวฝานอยากรู้ยิ่งกว่าเดิม ถามต่อว่า “เทพจักรพรรดิอัปมงคลเกี่ยวข้องกับท่านอย่างไรกันแน่ นี่มิใช่ครั้งแรกที่ท่านขอความช่วยเหลือจากเขา”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายถอนหายใจอีกครั้ง ตอบว่า “เขาคือบิดาบังเกิดเกล้าของเรา”

โจวฝานตกตะลึง สีหน้าไม่คาดคิด

เขายังไม่ทันได้ถามต่อ ห้วงอวกาศเหนือศีรษะพวกเขาทั้งสองพลันปริร้าว เงามืดน่าหวาดผวาร่างหนึ่งค่อยๆ คืบคลานออกมา รอบกายปั่นป่วนโกลาหล ยากจะวิเคราะห์ร่างของเขาได้ แรงกดดันประหลาดอย่างหนึ่งกดทับลงมา ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในสนามรบหนาวสะท้านอยู่ในทรวง

ราชันอัปมงคล!

มาเร็วยิ่งนัก!

โจวฝานตกใจกับตัวเอง เห็นทีว่าเทพจักรพรรดิอัปมงคลจะเป็นบิดาของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจริงๆ

สิ่งมีชีวิตในวังสวรรค์และเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ล้วนเคยพบเทพจักรพรรดิอัปมงคลมาก่อน เมื่อเห็นเขาปรากฏตัวขึ้น ขวัญกำลังใจก็พลันฮึกเหิมขึ้นมา

….

บนเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล แดนต้องห้ามอันธการกว้างใหญ่เงียบสงัด ท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงเส้นทางแสงสายหนึ่ง

ในช่วงหนึ่งของเส้นทาง หลี่เต้าคงและสือตู๋เต้านั่งสมาธิหันหลังให้กัน

ทันใดนั้นสือตู๋เต้าพลันลืมตาขึ้น เขาขมวดคิ้วทันที

หลี่เต้าคงคล้ายจะสัมผัสถึงบางอย่างได้เช่นกัน จึงลืมตาขึ้นมาอีกคน

“เจ้าสัมผัสได้หรือไม่” สือตู๋เต้าถามเสียงเบา

ทั้งสองอยู่ห่างกันหมื่นลี้ หลี่เต้าคงตอบว่า “มีบางอย่างสอดส่องพวกเราอยู่”

พอกล่าวจบ หลี่เต้าคงลุกขึ้นมา

สือตู๋เต้าก็เช่นเดียวกัน

หลี่เต้าคงพลันปรากฏตัวขึ้นข้างกายสือตู๋เต้า ทั้งสองมองไปในทิศทางเดียวกัน

เมื่อมองตามสายตาของทั้งสองไป จุดนั้นมืดมิด ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย

ผ่านไปสักพักใหญ่

มีเสียงหัวเราะหยันแว่วมาจากความมืดมิด “อริยะมรรคาสวรรค์เช่นนั้นหรือ พวกเจ้าช่างอ่อนแอเสียจริง หากมิใช่เพราะอยู่ในเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล พวกเจ้าตายไปนานแล้ว

“ข้าก็เป็นเช่นเดียวกับพวกเจ้า เป็นเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้า แต่ข้าสามารถบดขยี้พวกเจ้าทั้งสองได้ง่ายยิ่ง”

สือตู๋เต้าฟังแล้วขมวดคิ้ว

หลี่เต้าคงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ยั่วยุด้วยวิธีเช่นนี้มิอ่อนด้อยเกินไปหน่อยหรือ”

เสียงหัวเราะหยันแว่วขึ้นอีกครั้ง “หากกล้าก็ออกมาสู้กันดู หากข้าชนะ พวกเจ้าต้องยอมรับข้าเป็นนาย หากข้าพ่ายแพ้ จะมอบปราณม่วงอนธการให้พวกเจ้าสามสาย”

สือตู๋เต้าเอ่ย “ปัจจุบันนี้มรรคาสวรรค์ไม่จำเป็นต้องใช้ปราณม่วงอนธการเพื่อพิสูจน์มรรคแล้ว”

“ปราณม่วงอนธการมิได้มีไว้สำหรับพิสูจน์มรรคเท่านั้น มันยังเป็นกุญแจด้วย กุญแจสำหรับเข้าสู่แดนต้นกำเนิดฟ้าบุพกาล รู้หรือไม่ว่าเหตุใดอริยะมรรคาสวรรค์ในอดีตถึงพิสูจน์มหามรรคได้”

เสียงหัวเราะหยันแปรเปลี่ยนไป เต็มไปด้วยเสน่ห์ล่อใจ

หลี่เต้าคงและสือตู๋เต้าเงียบไป

เสียงเยาะหยันแว่วขึ้น “พวกเจ้าไม่อยากรู้หรือว่ามิ่งคือผู้ใด มาสู้กับข้าแล้วจะได้รู้”

หลี่เต้าคงขมวดคิ้วเอ่ยถาม “เจ้าคือมิ่งเช่นนั้นหรือ”

“ข้ามิใช่ แต่ข้ารู้ว่ามิ่งคือผู้ใด อันที่จริงมิ่งมิได้มีแค่ผู้เดียว”

“หมายความว่าอย่างไร”

“ออกมาสู้กับข้า ศิษย์เอกนิกายเหรินผู้สูงส่ง ผู้พิทักษ์หลักแห่งสำนักซ่อนเร้น ไฉนถึงขี้ขลาดเช่นนี้ เคยได้ยินนามของจอมเทพข่งเซวี่ยหรือไม่ ในอดีตยามที่เขาเป็นเพียงครึ่งอริยะ ยังกล้าต่อกรกับอริยะเลย หากเทียบกับเขาแล้ว พวกเจ้าห่างชั้นกว่ามากนัก ไม่คู่ควรเป็นบุตรแห่งสวรรค์เลย!”

เสียงเยาะหยันเปลี่ยนเป็นยั่วโมโห กระโชกโฮกฮาก

สือตู๋เต้าถ่ายทอดเสียงหาหลี่เต้าคง “คนผู้นี้ผิดปกติ อย่าหลงกล”

หลี่เต้าคงตอบกลับ “เขาคิดจะเริ่มลงมือจากพวกเรา หากพวกเราปฏิเสธ เขาต้องไปหาอริยะรายอื่นต่อแน่ ไม่สู้พวกเราลองเสี่ยงกันเองเถอะ ข้ามีวิธีพิเศษบางอย่าง สามารถติดต่อเจ้าสำนักได้”

สือตู๋เต้าขมวดคิ้ว ตกอยู่ในความลังเล

ทว่าหลี่เต้าคงกลับก้าวออกไปด้านหน้า “เจ้ารักษาคำพูดด้วยเล่า”

“มาเถิด! หลี่เต้าคง! อริยะกระบี่มหามรรคในตำนาน ไม่รู้เช่นกันว่าคนหนุ่มเช่นเจ้าจะมีท่วงท่าของอริยะกระบี่หรือไม่!”

เสียงเยาะหยันแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นอย่างยิ่ง

หลี่เต้าคงเหาะออกนอกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล สือตู๋เต้ากัดฟัน รีบตามเขาไป ทั้งสองหายลับไปในส่วนลึกของความมืดมิด

….

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น แปลว่าเวลาผ่านไปอีกหนึ่งหมื่นปีแล้ว

“น่าแปลก เมื่อก่อนปิดด่านพันปีบ้าง ห้าพันปีบ้าง มักจะมีคนมาขัดจังหวะข้าอยู่เสมอ เหตุใดตอนนี้ข้าปิดด่านหมื่นปี ถึงไม่มีผู้ใดมาเลย ร่วงกันไปหมดแล้วหรือ”

หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง รู้สึกหดหู่ใจอยู่บ้าง

ไม่ง่ายเลยกว่าจะแข็งแกร่งขึ้นมาขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีโอกาสได้แสดงพลังของตนเลย

เขาคะนึงถึงครั้งที่ลงมือช่วยเหลือหานทั่วก่อนหน้านี้

เป็นความรู้สึกที่เบิกบานนัก

หานเจวี๋ยเริ่มสอดส่องแดนเซียน

ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพียงแต่สิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

ราชวงศ์เผ่ามนุษย์พัฒนาเป็นจักรวรรดิกระจายตัวอยู่นับหมื่นอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของแดนเซียน โดยจักรพรรดิมนุษย์ล้วนอาศัยในชั้นฟ้าที่เก้า จักรวรรดิเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งบุตรแห่งสวรรค์มุ่งหน้าไปยังเส้นทางฟ้าบุพกาลเท่านั้น ยังส่งผู้บำเพ็ญมุ่งหน้าไปเผยแผ่มรรคที่โลกมนุษย์สามัญด้วย

มีเพียงราชาที่ปกครองโลกมนุษย์สามัญเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติจะกลายเป็นจักรวรรดิได้!

เหนือจักรวรรดิขึ้นไป คือวิหารจักรพรรดิมนุษย์ วิหารจักรพรรดิมนุษย์คอยดูแลควบคุมเรื่องใหญ่เช่นความเจริญรุ่งเรืองของเผ่ามนุษย์

สำนักดวงชะตาเองก็เป็นเช่นนี้ แบ่งระดับยิบย่อยขึ้นเรื่อยๆ

จำนวนครึ่งอริยะในแดนเซียนเกินสามร้อยคนแล้ว เซียนทองต้าหลัวก็เกือบหมื่นแล้ว

ความรุ่งเรืองในช่วงเกือบสองแสนปีมานี้ล้ำหน้าหลายยุคมหาเคราะห์ก่อนหน้านี้ไปไกลแล้ว จุดสำคัญเป็นเพราะไม่มีอริยะมาควบคุม ซ้ำยังมีเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลสำหรับค้นหาทรัพยากรในฟ้าบุพกาลอีกด้วย เมื่อดวงชะตามรรคาสวรรค์เพิ่มขึ้นก็ทำให้พลังวิญญาณในแดนเซียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รุ่งเรืองเฟื่องฟู!

หานเจวี๋ยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมรรคาสวรรค์ ทอดมองปวงสวรรค์หมื่นโลกา เฝ้ามองความเป็นไปของสรรพสิ่ง ด้วยอารมณ์เบิกบาน

นี่คือดินแดนของเขา!

หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู เพิ่งเปิดอ่านจดหมายฉบับแรก ก็ทำให้เขาขมวดคิ้วทันที

[หลี่เต้าคงสหายของเจ้าเผชิญกับการโจมตีจากพลังลึกลับ กลายเป็นมิ่ง]

กลายเป็นมิ่งเช่นนั้นหรือ

มิ่งที่เขากังวลถึงก่อนหน้านี้น่ะหรือ

ช้าก่อน!

มิ่งมิได้มีคนเดียวอย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมาทันที ตรวจสอบรูปประจำตัวของหลี่เต้าคง

………………………………………………………………