เอ้อร์หนิวอ้าปาก ทำเอาหลู่อ๋องซาบซึ้งใจ และภาคภูมิใจกับสติปัญญาของตนมากทีเดียว
“น้องเจ็ด เจ้าดูสิ ข้าเดาไม่ผิดใช่หรือไม่”
อวี้จิ่นรู้สึกขบขันกับท่าทางของหลู่อ๋องที่ดูเย่อหยิ่งภาคภูมิใจเช่นนั้น เขาจึงพยายามพยักหน้ายิ้มตอบรับ “พี่ห้าคาดเดาเหตุการณ์ได้แม่นยำเหลือเกิน”
หลู่อ๋องรู้สึกถูกชะตากับน้องชายคนนี้เสียยิ่งนักในเวลานี้ เขาจึงยิ้มขึ้นแล้วเอื้อมมือมาตบบ่าของอวี้จิ่น “เช่นนั้นเราไปกันเถอะ”
อวี้จิ่นส่ายหน้า “พวกเราเดินทางไปเยี่ยมเยียนน้องแปด หากนำสุนัขไปด้วยคงไม่เหมาะสมกระมัง”
“เหตุใดจึงไม่เหมาะสมเล่า” หลู่อ๋องได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ “เอ้อร์หนิวเป็นสุนัขธรรมดางั้นหรือ มันเป็นถึงขุนนางขั้นเอกระดับสี่ หากจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนน้องแปดพร้อมกับพวกเราช่างเหมาะสมยิ่งนัก”
น้องเจ็ดยืนกล่าวอยู่เช่นนี้ไม่ปวดหลังหรือไรกัน ไม่รู้จักดูสถานการณ์ตรงหน้าเอาเสียเลย ถ้าไม่เอาเอ้อร์หนิวไปด้วยจะได้หรือ
หากว่าไม่ให้เอ้อร์หนิวไปด้วยล่ะก็ มันคงจะกัดกางเกงของเขาจนขาดน่ะสิ!
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นดูท่าทางลังเล หลู่อ๋องจึงทำได้เพียงพยายามเอ่ยโน้มน้าวใจ เป็นเวลากว่าหนึ่งก้านธูป ในที่สุดอีกฝ่ายจึงได้พยักหน้าตกลง
“ในเมื่อพี่ห้าตั้งใจดังนั้น ก็เอาเอ้อร์หนิวไปด้วยเถิด” อวี้จิ่นกล่าวออกมาอย่างรู้สึกอึดอัดใจ
หลู่อ๋องจึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วนึกในใจว่า ในที่สุดก็หว่านล้อมเจ้าเจ็ดให้ไปด้วยได้สักที อีกประเดี๋ยวเมื่อเดินทางไปถึงจวนเซียงอ๋องแล้วจะต้องดื่มชาสักสามแก้ว ชดเชยน้ำลายที่เสียไปเมื่อครู่
สองพี่น้องไม่รอช้า พาสุนัขตัวใหญ่มุ่งหน้าไปทางจวนเซียงอ๋องทันที
เจียงซื่อได้ยินอาหมานเข้ามารายงานดังนั้นก็ตกตะลึง “หลู่อ๋องร้องขอให้เอาเอ้อร์หนิวไปด้วยอย่างงั้นหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ตอนแรกร้องขอเพียงให้ท่านอ๋องเดินทางไปด้วย ต่อมาก็ได้ร้องขอให้ท่านอ๋องพาเอ้อร์หนิวไปด้วย ดูเหมือนว่าจะหว่านล้อมท่านอ๋องอยู่กว่าครึ่งชั่วยามได้ แม้แต่นกกระจิบที่อยู่บนยอดไม้ยังต้องบินหนีไปด้วยความรำคาญ” อาหมานเอ่ยวาจาเจื้อยแจ้ว แล้วรายงานสถานการณ์ที่ตนแอบจ้องมองดูด้วยรอยยิ้ม
เจียงซื่อได้ยินดังนั้นก็คิดอยู่ในใจว่า คาดไม่ถึงเอาเสียเลยว่าหลู่อ๋องจะเป็นคนประหลาดเช่นนี้
เดิมทีนางรู้สึกว่าการที่อาจิ่นพาเอ้อร์หนิวเดินทางไปเยี่ยมเซียงอ๋องดูไม่เหมาะสมนัก ด้วยเกรงว่าฮ่องเต้จะรู้สึกสงสัยในภายหลัง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ มีหลู่อ๋องผู้ละเอียดรอบคอบอยู่ด้วยก็ไร้กังวล
ประตูใหญ่แห่งจวนเซียงอ๋องในวันนี้ถูกเปิดออกหลายครั้งหลายครา ซึ่งคนแรกที่เดินทางมาคือฉีอ๋อง
ด้วยความระแวดระวังของฉีอ๋อง เขาเดินทางไปยังจวนเซียงอ๋องเป็นคนแรกเพื่อสอดแนมดูว่าเหมาะสมหรือไม่
เขากับเจ้าแปดมีความสนิทสัมพันธ์กันค่อนข้างแน่นแฟ้น ทุกคนล้วนรู้ในเรื่องนี้ เสด็จพ่อเองก็รู้ว่าสองพี่น้องเขาคุ้นเคยกันเพียงใด บัดนี้เมื่อเจ้าแปดเผชิญหน้ากับความยากลำบาก การที่ตนเดินทางมาปลอบโยนเขาเป็นคนแรก คาดว่าเสด็จพ่อคงจะไม่เกิดความสงสัย อีกทั้งกลับรู้สึกว่าสองพี่น้องตนมีความห่วงใยกัน
การที่ฉีอ๋องรู้สึกกระตือรือร้นในการเดินทางมาเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการไขข้อข้องใจ เมื่อวานนี้พวกเขาคุยกันแล้วว่าจะวางยาในสุราของเจ้าเจ็ด สุดท้ายที่สุดแล้วเหตุใดจึงเป็นเจ้าแปดที่ถูกผิดเสียเอง
เนื่องด้วยข้อข้องใจนี้ ฉีอ๋องจึงไม่อาจหลับตาลงได้ทั้งคืน สภาพของเขาในตอนนี้ไม่ได้ดูดีไปกว่าเซียงอ๋องที่ทำเหตุการณ์ขายหน้าขึ้นเมื่อวานนี้เลย
เมื่อจับจ้องไปยังใบหน้าและขอบตาดำคล้ำ ประกอบกับหนวดเคราที่เพิ่งขึ้น ฉีอ๋องก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “น้องแปด เรื่องเมื่อวานนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน”
ท่าทางของเซียงอ๋องยังคงดูมึนงง “ข้าไม่รู้”
“ไม่รู้งั้นหรือ!”
เซียงอ๋องดูท่าทางเหม่อลอยแล้วกล่าวว่า “หากถูกพี่เจ็ดคิดจัดการเข้าล่ะก็คงหนีไม่พ้น แต่ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ข้าเห็นกับตาว่าเขาดื่มสุรานั้นลงไปแล้ว”
เซียงอ๋องกล่าวพลางรู้สึกโมโห
ฉีอ๋องตบไปที่บ่าของเขาเบาๆ “น้องแปด เจ้าสงบสติอารมณ์ลงก่อน เมื่อวานนี้ข้าจำได้ว่าเขาได้รินสุราให้แก่เจ้าดื่มอีกหนึ่งจอกด้วยเช่นกัน หรือปัญหาจะเกิดขึ้นที่สุรานั่น”
“แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ยาของเขาจะมีฤทธิ์เช่นเดียวกันกับยาของพี่สี่งั้นหรือ แล้วอธิบายได้อย่างไรว่าพี่เจ็ดดื่มเข้าไปแล้ว เหตุใดจึงไม่เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับเขา” เซียงอ๋องเอ่ยถามกลับ
อันที่จริงนี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่เซียงอ๋องพยายามคิดย้ำซ้ำไปมา
แต่ก็คิดไม่ออก
ฉีอ๋องแววตาเป็นประกาย หรือเจ้าเจ็ดไม่ได้ดื่มสุรานั้นลงไป!
แววตาของฉีอ๋องเปล่งประกายวูบวาบ “เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าเจ็ดจะไม่ดื่มสุรานั้นลงไป แต่ฉวยโอกาสตอนที่รินให้เจ้า เอาสุรานั้นคืนมาดังเดิม”
เซียงอ๋องชะงักเล็กน้อยก่อนจะครุ่นคิดเรื่องบางอย่างได้ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วทำท่าทางจะอ้วก
ฉีอ๋องเห็นท่าทางอันประหลาดของเซียงอ๋อง หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มขึ้นด้วยใบหน้าอันขมขื่นพร้อมปลอบโยนว่า “น้องแปด เจ้าคิดมากไปแล้ว เจ้าเจ็ดจะมีความสามารถในการอ้วกเอาสุราออกมาใส่แก้วต่อหน้าเจ้าได้อย่างไร…”
เซียงอ๋องทำท่าทางอ่อนแรง “พี่สี่อย่าได้ว่าไป บัดนี้ข้าเห็นชัดเจนแล้วว่าพี่เจ็ดนั้นไม่ธรรมดา”
“ถูกต้องแล้ว เจ้าเจ็ดไม่ธรรมดา…” ฉีอ๋องพึมพำออกมา
สองคนพี่น้องนั่งอยู่ตรงข้ามสนทนากันสักครู่ ผ่านไปไม่นานก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่าฉินอ๋องเดินทางมา
ฉีอ๋องยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “พี่ใหญ่ของเรานั้นช่างไม่เคยออกนอกลู่นอกทางเสียเลย”
ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามเขาจะไม่ทำให้ย่ำแย่ และไม่ทำให้โดดเด่น ทำตัวถ่อมตนราวกับไม่มีตัวตนอยู่
เซียงอ๋องที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “เขาจะมีความคิดใดได้อีกงั้นหรือ”
ก็เพียงแค่โชคดีได้ขึ้นเป็นโอรสคนโตของเสด็จพ่อ หากในตอนนั้นเสด็จพ่อไม่ได้รับมาอุปการะเลี้ยงดู บัดนี้เขาก็คงจะเป็นเพียงสมาชิกในราชวงศ์คนหนึ่งที่แสนธรรมดา ซึ่งไม่มีใครรู้จักแม้แต่ชื่อ
“พี่ใหญ่หวังดีเดินทางมาดูเจ้า เจ้าจะปล่อยให้เขายืนรออยู่นอกประตูอย่างงั้นหรือ” ฉีอ๋องเกรงว่าเซียงอ๋องจะทำนิสัยราวกับเด็กๆ จึงได้เอ่ยเตือน
การที่เขาเดินทางมาเยี่ยมเยียนเจ้าแปดเป็นคนแรกนั้นก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่หากว่าเจ้าแปดไม่ยอมให้ใครเข้าพบเลยนอกจากเขาก็คงจะไม่ดี
“น้องแปด เจ้าอย่าหดหู่ไป ตำแหน่งนั้นหากลดได้ก็เพิ่มขึ้นได้ นี่เป็นเพียงความผิดพลาดชั่วครู่ชั่วคราว ไม่ใช่เรื่องใหญ่ใด” ฉีอ๋องพยายามชี้นำ
เซียงอ๋องพยักหน้าแล้วยิ้มด้วยความขมขื่น “จากนี้ไปน้องคงต้องขอให้พี่สี่ช่วยคอยนำทางด้วย”
หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ แม้เซียงอ๋องจะถูกโจมตีอย่างหนัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ติดคุกหรือถึงแก่ชีวิต ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามอย่างเข้มแข็งเพื่อมีชีวิตอยู่
หากจะรู้สึกคับข้องใจเพราะพี่สี่ไม่อาจทำประโยชน์ให้เขาก้าวหน้าได้ สู้ทำใจแล้วติดตามพี่สี่เสียดีกว่า
ตอนที่เขานอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนนี้แล้วพลิกตัวไปมาเพื่อครุ่นคิด ความขุ่นเคืองที่มีต่อฉีอ๋องก็ค่อยๆ จางหายไป บัดนี้สิ่งเดียวที่พอจะปลอบใจเขาได้นั่นคือ พี่ห้าเองก็เป็นจวิ้นอ๋องเช่นกัน เรื่องนี้จึงทำให้เขาไม่อับอายมากนัก
“เชิญฉินอ๋องเข้ามาข้างใน” เซียงอ๋องพยายามทำท่าทีสดใสแล้วกำชับกับบ่าวรับใช้
เมื่อฉีอ๋องเห็นท่าทางของเซียงอ๋องเช่นนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
โชคดีที่เจ้าแปดไม่ได้ล้มลงไม่เป็นท่าด้วยการโจมตีในครั้งนี้ ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็คงจะดีขึ้น ในอนาคตจะร่วมกันหาโอกาสโจมตีเจ้าเจ็ดสักครั้ง
บัดนี้ฉีอ๋องรู้สึกระมัดระวังอวี้จิ่นเป็นอย่างมาก และไม่คิดว่าเขาเป็นเพียงคนเถื่อนที่ไร้แผนการอีกต่อไป
เมื่อฉินอ๋องถูกเชิญเข้ามาด้านในได้ไม่นาน บ่าวรับใช้ก็เข้ามารายงานอีกว่าสู่อ๋องเดินทางมาถึงแล้ว
ห้องโถงรับแขกของจวนเซียงอ๋องจึงดูครึกครื้นขึ้นมาทันใด
เนื่องจากจวนอ๋องทั้งหลายอยู่ไม่ไกลกันมากนัก อวี้จิ่นและหลู่อ๋องที่เดินทางมาด้วยกัน โดยมีอวี้จิ่นมีหลู่อ๋องเดินตามมาด้านซ้าย ที่ด้านหลังเอ้อร์หนิวตามมาติดๆ ในไม่ช้าก็เดินทางมาถึงจวนเซียงอ๋อง
“ไปบอกกับท่านอ๋องของเจ้าว่าข้าและเยี่ยนอ๋องเดินทางมาเยี่ยม” หลู่อ๋องกำชับกับผู้เฝ้าประตูอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
เมื่อฉีอ๋องและคนอื่นๆ ทยอยกันมา ผู้เฝ้าประตูจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เขารีบวิ่งเข้าไปรายงานอย่างรวดเร็ว
ฉีอ๋องเป็นกังวลว่าเมื่อเซียงอ๋องได้ยินเรื่องที่อวี้จิ่นเดินทางมาแล้วจะมีท่าทีผิดปกติไป จึงได้เอ่ยทำลายความเงียบงันขึ้นว่า “คิดไม่ถึงเสียจริงว่าน้องห้าและน้องเจ็ดจะเดินทางมาด้วยกัน”
“พวกเขาอาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน คาดว่าคงจะเจอกันระหว่างทางพอดี” ฉินอ๋องยิ้มแล้วพูดขึ้น
เซียงอ๋องพยายามระงับอารมณ์ของตนเองแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องทั้งหลายเชิญด้านในเถิด”
ภายในห้องรับแขก พวกเขานั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่มีกะจิตกะใจจะสนทนากันอีก ได้แต่ดื่มน้ำชารอทั้งสองคน
ผ่านไปไม่นาน บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ตรงประตูก็ยกม่านขึ้น หลู่อ๋องและอวี้จิ่นเดินตามเข้าไปด้านใน
คนที่อยู่ในห้องโถงพากันเอ่ยทักทาย แต่ยังพูดไปได้ไม่กี่คำพวกเขาก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ สายตาจับจ้องไปที่ด้านหลัง
เหตุใดด้านหลังเจ้าห้าและเจ้าเจ็ดถึงได้มีวัวเดินตามมาด้วย!
เอ๋ ผิดไปแล้ว นั่นมันเอ้อร์หนิว!