ตอนที่ 600 ฉางโซ่ววางแผนจัดการปีศาจ

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 600 ฉางโซ่ววางแผนจัดการปีศาจ เล่อเอ๋อร์ช่วยเสริมกำลังรบ! (1)

ในเมื่อมีโอกาสเพียงแปดในสิบส่วนเท่านั้นที่จะ ‘ฉวยกระบี่และระเบิดมันได้’ แล้วเหตุใดเขาถึงไม่อาจเปลี่ยนกระบวนการความคิดและเพิ่มการคำนวณหนึ่งร้อยล้านแต้มเพื่อให้แน่ใจว่า กระบี่ ‘วิญญาณเผ่าเวท’ จะถูกนำออกไปสร้างความเสียหายให้กับเผ่าปีศาจได้มากขึ้น?

ด้วยวิธีนี้ แม้ในท้ายที่สุด กว่าครึ่งหนึ่งของจอมปีศาจแห่งกรรมที่นี่จะหลบหนีไปได้ แต่ก็อาจมีการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์โดยรวมได้มากกว่า

แม้เขาจะวางแผนมามากมายแผนแล้วแผนเล่า แต่ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายแล้ว มันก็ยังเพื่อบุญ…

ทว่าหากเขามั่นใจที่จะดูแลความต้องการส่วนตัว ผลประโยชน์ของตนเอง และการมีอายุขัยยืนยาวได้ เช่นนั้น เหตุใดจะไม่ทำเล่า?

ดังนั้น จึงเป็นผลให้ร่างจำแลงทั้งสองของหลี่ฉางโซ่วและองค์เง็กเซียนได้ถอยกลับอย่างเงียบๆ ไปยังมุมที่ไม่เด่นสะดุดตาของค่ายกลใต้ดิน

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครึ่งชั่วยาม และใช้เวลาอีกครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ในการวางแผนทั้งหมด และภายในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เขาก็ได้ร่างและจัดทำแผนการทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ จากนั้นก็เริ่มหารือกับองค์เง็กเซียนในทุกๆ ด้านอย่างครอบคลุม

ในท้ายที่สุด เมื่อการหารือจบลงแล้ว ก็มีการเปลี่ยนแปลงในแผนการโดยรวมทั้งหมดไม่ถึงหนึ่งในพันส่วน…

ทว่าเขาก็ต้องให้องค์เง็กเซียนซึ่งเฝ้าดูอยู่ข้างๆ คลอดเวลา ได้รู้สึกถึงการมีส่วนร่วม!

ในเมื่อเวลามีจำกัด หลี่ฉางโซ่วจึงไม่มีเวลาวางแผนสำรองที่สมบูรณ์มากมายนัก

ดังนั้นเขาจึงใช้แผนในยามนี้เป็นแนวคิดหลักและเหลือแผนการสำรองไว้สองสามแผนสำหรับส่วนที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย

แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่เขาก็ต้องพัฒนาโครงเรื่องและจะต้องดึงมันกลับไปสู่แนวเส้นเรื่องหลักเดิมที่กำหนดไว้ให้ได้!

ความจริงแล้ว แนวคิดโดยรวมของการวางแผนต่อต้านเผ่าปีศาจนั้นง่ายมาก มันเป็นเพียงแนวคิดง่ายๆ นั่นคือ “การปิดล้อมข้าศึกเพื่อโจมตีกำลังเสริม[1]”

เพื่อให้แม่นยำยิ่งขึ้น เขาต้องแสร้งทำเป็นปิดล้อมรอบสถานที่นี้ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าจอมปีศาจแห่งกรรมจะไม่อาจออกไปพร้อมกับกระบี่เล่มนั้นได้

ให้แม่นยำยิ่งขึ้น คือการแสร้งทำเป็นล้อมสถานที่นี้ และบนสมมติฐานเพื่อให้แน่ใจว่าปีศาจกรรมที่นี่ไม่สามารถจากไปพร้อมกับดาบเล่มนั้น และแจ้งเตือนเผ่าปีศาจทั้งหมดที่รู้เรื่องนี้ให้ตื่นตัว และส่งกองกำลังเสริมมาสนับสนุน จากนั้นเขาก็จะนำกระบี่วิญญาณเผ่าเวทออกไปและทำการระเบิดวิญญาณครั้งใหญ่โดยให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด!

ไม่ว่าปีศาจตนใดที่รู้เรื่องการหลอมกระบี่วิญญาณย่อมไม่อาจเรียกได้ว่า เป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’ ได้

เรื่องนี้ฟังดูง่าย แต่การดำเนินงานจริงนั้น กลับยุ่งยากซับซ้อนยิ่งนัก

เขาจะทำอย่างไรเพื่อทำให้เผ่าปีศาจรู้สึกมั่นคง และทำให้พวกมันสรุปว่า พวกมันจะ “ปกป้องสถานที่นี้” แทนที่จะเป็นการ “ถือกระบี่แล้วหลบหนีไป?”

แล้วเขาจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เผ่าปีศาจระแวงสงสัยใดๆ ในช่วงครึ่งแรกของแผนการ และปล่อยให้กองกำลังเสริมของพวกมันเข้ามาภายในพื้นที่ในรัศมีร้อยลี้?

ส่วนที่ยากที่สุดของกระบวนการนี้คือ จะทำอย่างไรให้ศาลสวรรค์มีอำนาจเหนือกว่า โน้มน้าวใจปวงประชา และเผยแผ่พลังบารมีของพวกเขาออกมาในขณะที่ตัวของหลี่ฉางโซ่วเองยังคงไม่แตะต้องกรรมใดๆ …

นั่นย่อมจะต้องมีแผนการบางอย่างและต้องขอความร่วมมือในการเล่นละคร

ทว่าเพื่อความปลอดภัย หลี่ฉางโซ่วยังคงแจ้งความกังวลเพียงอย่างเดียวของเขาและเสนอความคิดเห็นต่อองค์เง็กเซียน

“ฝ่าบาท หากเราสามารถทำร้ายพลังปราณวิญญาณของเผ่าปีศาจได้ในครั้งนี้ บางที เราก็อาจจะจะเรียกให้ปรมาจารย์จอมปราชญ์มาไกล่เกลี่ยการต่อสู้ได้บ้างเล็กน้อย เช่นนั้นแล้ว แม้ความพยายามทั้งหมดของเราจะไม่สูญเปล่า แต่เราก็ยังมีปัญหาบางอย่างอยู่”

“ฉางเกิง เจ้าไม่ต้องกังวลไป” ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนกล่าวอย่างจริงจังว่า “ตามการจัดเตรียมการที่นี่ เผ่าปีศาจจะสามารถถูกตัดสินได้ว่าไม่ยอมรับโทษทัณฑ์ลิขิตฟ้าบัญชาสวรรค์

และไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด เพียงแค่อาศัยกระบี่ชั่วร้ายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่นี่ ก็สามารถตัดสินลงโทษเผ่าปีศาจได้!

หากจอมปราชญ์ที่อยู่เบื้องหลังเผ่าปีศาจกำลังปกป้องพวกมันโดยเข้าข้างอย่างผิดๆ และไม่ดูตาม้าตาเรือ ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปที่วังเมฆม่วงเพื่อชี้แจงสาเหตุและผลกระทบ และขอให้ท่านบรรพาจารย์เต๋าผดุงความยุติธรรมให้!”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงแข็งแกร่งยิ่ง”

“มันเป็นลิขิตสวรรค์”

ในเมื่อพบคนแบกหม้อ[2]แล้ว… แค่กๆ!

ในเมื่อองค์เง็กเซียนได้เตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับจอมปราชญ์หนี่วาในเวลานี้แล้ว หลี่ฉางโซ่วจึงไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก เขาจึงเริ่มเตรียมการระยะแรกทันที

เขาได้แบ่งการเตรียมงานออกเป็นสามส่วนหลัก

งานส่วนแรก เขาสามารถระดมพลตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์และจัดหาถั่วเซียนในจำนวนที่เพียงพอให้มาที่นี่

ส่วนที่สอง ศาลสวรรค์จะเตรียมกองกำลังสามแสนนาย และองค์เง็กเซียนยังต้องลงมือจัดการอยู่ด้านหลังและยืมพลังแห่งเต๋าสวรรค์มาสร้างแรงขับเคลื่อนได้ตลอดเวลาอีกด้วย

ส่วนที่สาม พวกเขาต้องหาราชาปีศาจที่ไม่ฉลาดนัก ทว่าค่อนข้างทรงพลังและมีอิทธิพลอยู่บ้าง…

ส่วนที่สาม นี้มีความสำคัญเป็นพิเศษยิ่งยวด

หลี่ฉางโซ่วและองค์เง็กเซียนต่างก็มีร่างจำแลงซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลใหญ่ใต้ดิน พวกเขาแอบเร้นกายอยู่เงียบๆ และพร้อมที่จะโจมตีได้ทุกเมื่อ

หลังจากจัดวางร่างจำแลงทั้งสองแล้ว จักรพรรดิสวรรค์ธรรมดาและขุนนางธรรมดาบางคนต่างก็เริ่มยุ่งวุ่นวาย

เวลานี้ ในหอสมบัติหลิงเซียว องค์เง็กเซียนก็เรียกแม่ทัพตงมู่และออกบัญชาให้จัดกองทัพใหม่ทันที และภายในสามวัน แม่ทัพตงมู่ก็ได้ระดมพลกองทหารแห่งศาลสวรรค์จำนวนสามแสนนายให้มารวมตัวกันและรอรับบัญชาการอยู่ที่ประตูสวรรค์กลาง ประตูสวรรค์ประจิม และประตูสวรรค์ทักษิณ

ไม่จำเป็นต้องขอคำสั่งพิเศษเฉพาะเพิ่มเติม เขาเพียงประกาศให้ผู้คนภายนอกรู้ว่า นี่เป็นการฝึกฝนทหารก็เพียงพอแล้ว

ที่บริเวณรอบๆ ด้านนอกค่ายกลใหญ่ใต้ดิน ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วได้เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง และครอบครองจุดสำคัญอยู่สองสามจุด…

ในโลกยามนี้ มีสถานที่ไม่มากนักที่จะทำให้เขาได้รับบุญใหญ่

หลี่ฉางโซ่วได้วางแผนกำจัดปีศาจมานานแล้ว

ก่อนหน้านี้ เขาเคยคิดว่า หลังจากที่ศาลสวรรค์ได้คัดเลือกและเกณฑ์ทหารนับล้านนายแล้ว เขาก็จะเริ่มฝึกทหารกับเผ่าปีศาจ และจะมีการผสมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาเองกับพวกเขาเพื่อรับผลบุญบางส่วนจากจอมปีศาจแห่งกรรม

ทว่าครั้งนี้ ด้วยมีเรื่องของเผ่าเวทเป็นตัวนำทาง หลี่ฉางโซ่วจึงตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะก่อการใหญ่บางอย่างในขณะที่ใช้แผนการเรียบง่ายในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เขาประสงค์จะได้รับบุญมหาศาลจากจอมปีศาจแห่งกรรมของเผ่าปีศาจเพื่อช่วยสร้างร่างทองแห่งบุญให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด!

แม้เขาจะได้รับเวลาเตรียมตัวเพียงช่วงสั้นๆ แต่เขาก็ยังวางแผนให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…

ในที่ใดสักแห่งในป่าภูเขาแห่งหนึ่ง เหนือค่ายกลใหญ่ใต้ดิน ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วยังมองไปที่ปีศาจน้อยที่ถูกตีจนหมดสติไปต่อหน้าเขาเช่นกัน

เดิมทีเขาเพียงแค่ต้องการสอบถามข้อมูลบางอย่าง แต่ตอนนี้เขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

ก่อนอื่นเขาได้ปิดผนึกวิญญาณของปีศาจน้อย จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมของปีศาจน้อยออก เขาสัมผัสกลิ่นอายของมันเต็มที่ แล้วสวมเสื้อคลุมลงบนร่างตัวเขาเอง

หลี่ฉางโซ่วแปลงร่างและใช้วิชาจำแลงกายเพื่อเปลี่ยนเป็นร่างและรูปลักษณ์ของปีศาจน้อย จากนั้น เขาก็ดึงดวงวิญญาณของปีศาจน้อยออกมาและครอบมันด้วยเปลวเพลิงสมาธิแท้

หลังจากนั้นไม่นาน วิญญาณปีศาจน้อยก็ตื่นขึ้นและตัวสั่นอยู่ในเปลวเพลิง

หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าถาม เจ้าตอบ จงตอบทุกคำถามที่ข้าถาม หากเจ้าไม่ตอบหรือคำตอบไม่ตรงคำถาม วิญญาณของเจ้าก็จะแตกกระจายสลายไป แต่หากเจ้าตอบได้ทั้งหมด ข้าก็จะปล่อยให้วิญญาณของเจ้าได้เข้าสู่สังสารวัฏกลับชาติมาเกิดได้ เพราะเจ้าเองก็ไม่ได้มีกรรมร้ายมากนัก”

………………………………………………………………..

[1] เป็นกลยุทธ์ที่ฝ่ายรุกใช้กองกำลังส่วนหนึ่งเข้าปิดล้อมข้าศึกที่ป้องกันเมือง เพื่อล่อข้าศึกให้เรียกกองกำลังเสริมหรือทหารกองหนุนจากที่อื่นมาช่วยเหลือ แล้วใช้กองกำลังหลักที่จัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าเข้าทำลายกองกำลังเสริมของข้าศึก

[2] หมายถึงแพะรับบาป หรือคนมารับเรื่อง มารับภาระแทน

—————————————-