บทที่ 724 เชิดชูอริยะสวรรค์เกรียงไกร

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 724 เชิดชูอริยะสวรรค์เกรียงไกร

“อันที่จริงพวกเราอาจให้ความสำคัญกับเทพยักษาผานกู่เกินไป มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตมากมายหลายครั้งนับแต่โบราณมา การเข้ารุกรานของเผ่าเพลิงกัลป์และเผ่าหายนะ ล้วนไม่เคยเห็นเทพยักษาผานกู่แสดงตัวเลย ในมุมมองของสรรพสิ่ง เทพยักษาผานกู่อาจจะมีบารมีไม่เท่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรเปี่ยมกุศลด้วยซ้ำ” ฉิวซีไหลเอ่ยอย่างมีความนัย

เขากวาดตามองเหล่าอริยชน เอ่ยต่อไปว่า “ผานกู่อยู่ห่างไกลจากปัจจุบันนี้มากแล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องเผยแพร่ตำนานของเขาอีก ตอนนี้เป็นยุคสมัยแห่งบุตรแห่งสวรรค์มิใช่หรือ อริยะสวรรค์เกรียงไกรเปี่ยมกุศลสำเร็จอริยะได้ในสามหมื่นปี หากว่าเรื่องนี้เผยแพร่ต่อเหล่าสรรพสิ่ง ย่อมเป็นแรงผลักดันให้สรรพสิ่งได้มิใช่หรือ

“หากนำความนับถือและศรัทธาของสรรพสิ่งมารวมอยู่ที่ตัวอริยะสวรรค์เกรียงไกรเปี่ยมกุศล ก็สามารถป้องกันมิให้ชนรุ่นหลังของผานกู่ยึดครองมรรคาสวรรค์ได้”

คำพูดของเขาทำให้สีหน้าของเหล่าอริยะแปรเปลี่ยนไป

เช่นนี้คือต้องการเทิดทูนหานเจวี๋ยขึ้นมา สะกดข่มผานกู่ลงไป!

เจ้าสุนัขรับใช้!

จิ้นเสิน มหาจักรพรรดิเซียวและเทพสูงสุดหนานจี๋สบถด่าในใจ

ฉิวซีไหลจงใจเอาหน้าจริงๆ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าคัดค้านตรงๆ

อริยะมรรคาสวรรค์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันนี้ล้วนมีความรู้สึกบางอย่างอยู่บ้างไม่มากก็น้อย และมีหลักการเป็นของตัวเอง อริยะที่หน้าด้านหน้าทน เจ้าแผนการและใจดำอำมหิตอย่างแท้จริงล้วนถูกหานเจวี๋ยทำลายล้างไปแล้ว

ฟางเหลียงเปิดปากเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าสหายเต๋าฉิวพูดถูก วิธีนี้ไม่เลวเลยจริงๆ ถึงอย่างไรอาจารย์ปู่ของข้าก็ไม่ต้องการชื่อเสียงบารมีเช่นนี้อยู่แล้ว ถึงมอบให้เขาไป ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อมรรคาสวรรค์อยู่ดี หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น อาจจะหลงลำพอง สะกดข่มเหล่าอริยะอีกครั้ง แต่อาจารย์ปู่ของข้าไม่ทำแน่ พวกเจ้าน่าจะเคยสัมผัสมาแล้ว”

เหล่าอริยะพยักหน้ารับ

เรื่องนี้เป็นความจริง

อริยะส่วนใหญ่ถูกหานเจวี๋ยใช้คุกสวรรค์อนธการสยบ ล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนที่คุกคามหานเจวี๋ย

พวกจอมอริยะเสวียนตู มหาจักรพรรดิเซียว จิ้นเสินและเทพสูงสุดหนานจี๋ถามตัวเองอยู่ในใจ หานเจวี๋ยไม่เคยสร้างความลำบากใจให้พวกเขาเลยจริงๆ แม้ระดับจะห่างชั้นกันมาก ยามพูดคุยก็ไม่เคยถือตัว

เหล่าอริยะเริ่มแสดงความคิดเห็น ส่วนใหญ่ล้วนเห็นด้วยกับความคิดของฉิวซีไหล

มหาจักรพรรดิเซียวมองผานซินด้วยความแปลกใจ ไม่น่าเชื่อว่าผานซินก็เห็นด้วยเช่นกัน อีกทั้งไม่ได้ถูกบังคับด้วย เขาดูกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด!

คนผู้นี้เข้าพวกหานเจวี๋ยแล้วจริง!

ในมุมมองของเขา ผานซินและฉิวซีไหลให้ความรู้สึกคล้ายกำลังแย่งชิงความโปรดปรานกันอยู่บ้าง

มหาจักรพรรดิเซียวปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ช่วยผานซินชิงความโปรดปรานแล้วกัน พยายามทำให้ได้รับความไว้วางใจจากหานเจวี๋ย ภายหน้าจะได้อยู่ในมรรคาสวรรค์ได้สะดวกขึ้น

เหล่าอริยะเริ่มวางแผนว่าจะกลบตำนานของผานกู่ลงไปอย่างไร เชิดชูตำนานอริยะสวรรค์เกรียงไกรเปี่ยมกุศลขึ้นมาอย่างไร

ผานซินนั้นกระตือรือร้นที่สุด เนื่องจากเขาก็เป็นชนรุ่นหลังของผานกู่เช่นกัน ดังนั้นจึงเข้าใกล้ชนรุ่นหลังของผานกู่เหล่านั้นได้ง่ายขึ้น

เหล่าอริยะลอบอิจฉาเขา โดยเฉพาะฉิวซีไหล ไม่คิดเลยว่าตนจะเย็บชุดแต่งงานให้ผู้อื่น ทำให้ผานซินได้ประโยชน์

….

ในห้วงมิติลึกลับเทาทึบ หลี่เต้าคงในสภาพเปลือยเปล่านั่งสมาธิอยู่ในสระน้ำ นอกสระน้ำมีหมอกหนาทึบอบอวล มองไม่เห็นส่วนที่อยู่ไกลออกไป น้ำในสระก็มีไอร้อนลอยกรุ่น ปรากฏเป็นสีเขียว บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นสีม่วง

ตูม!

เงาร่างหนึ่งพลันร่วงลงมา หล่นลงมาอยู่ข้างๆ หลี่เต้าคง ทว่าน้ำในสระกลับไม่กระเซ็นขึ้นมาเลย

เป็นสือตู๋เต้า!

สือตู๋เต้าพลิกตัวปรับท่าทางอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายของเขาอ่อนแอยิ่ง ผมสยายกระเซิง เห็นได้ชัดว่าเคยถูกทรมานอย่างทารุณ

หลี่เต้าคงเอ่ยด้วยความแปลกใจระคนยินดี “เจ้ายังไม่ตายหรือ”

สือตู๋เต้าสะกดกลิ่นอาย กลอกตาใส่เขา เอ่ยว่า “เจ้าอยากให้ข้าตายนักหรือไง เจ้าตัวสุนัข หากมิใช่เพราะฟังคำเจ้า ข้าไหนเลยจะต้องเผชิญเคราะห์หนักเช่นนี้”

หลี่เต้าคงกลับไม่ละอายใจเลย ใบหน้าเจือรอยยิ้มนิดๆ

เวลานี้เอง เสียงของมิ่งแว่วขึ้นมา

“พวกเจ้าล้วนกลายเป็นมิ่งแล้ว จงฝึกบำเพ็ญให้ดี รอจนพวกเจ้ากลายเป็นอันธการแล้ว ก็สามารถออกไปได้”

หลี่เต้าคงขมวดคิ้วเอ่ยถาม “สิ่งใดคืออันธการ”

มิ่งตอบว่า “ก่อนฟ้าบุพกาลก็คืออันธการ อันธการสิถึงจะเป็นรากเหง้าดั้งเดิมของทุกสิ่ง พวกเจ้าต้องอยู่ที่นี่ไปอย่างน้อยๆ หนึ่งล้านปี ยามปกติอย่าได้ลืมฝึกบำเพ็ญ”

“นานขนาดนี้เชียวหรือ”

สือตู๋เต้าร้องออกมา แต่มิ่งไม่ได้ตอบกลับมาอีก

หลี่เต้าคงกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก หนึ่งล้านปี แปลว่ากว่าจะถูกอันธการกัดกร่อนก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งล้านปี เวลาเท่านี้มากพอจะให้หานเจวี๋ยแข็งแกร่งขึ้นอีกมากโข

เขารู้ถึงคุณสมบัติของหานเจวี๋ยดี ตอนนี้หานเจวี๋ยเพิ่งอายุสามแสนกว่าปีเท่านั้น แต่สามารถต่อกรกับอริยะมหามรรคได้แล้ว

อีกล้านปีให้หลัง ต้องสังหารมิ่งได้เหมือนเชือดไก่เป็นแน่!

สือตู๋เต้ายิ้มขมขื่นพลางกล่าวว่า “ต้องติดอยู่ในสระเดียวกันกับเจ้าไปนับล้านปี ฆ่าข้าเสียยังดีกว่า”

หลี่เต้าคงแค่นเสียง “เช่นนั้นเจ้าก็ฆ่าตัวตายไปเสียสิ”

“ฮ่าๆ”

ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ

ผ่านไปสักพัก

สือตู๋เต้าเอ่ยถาม “เจ้าเคยเจอมิ่งกี่คน”

หลี่เต้าคงเอ่ยว่า “สี่คน เจ้าล่ะ”

“ห้าคน มรรคาสวรรค์ตกอยู่ในอันตรายแล้ว”

สือตู๋เต้าถอนหายใจ

ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกมิ่งเพียงคนเดียวสะกดข่มอย่างง่ายดาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมิ่งห้าคนเลย นั่นจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน

อีกอย่าง หากว่ามิ่งเหล่านี้ล้วนควบคุมกลุ่มอิทธิพลแกร่งกล้าเอาไว้ หากรวมเข้าด้วยกัน จะน่ากลัวมากเท่าใดกัน

หลี่เต้าคงกล่าวว่า “ฝึกบำเพ็ญไปก่อนเถอะ พวกเราไม่มีหนทางอื่นแล้ว”

“อืม”

….

ฟ้าบุพกาล ณ วังสวรรค์

ผ่านการพัฒนามาหลายหมื่นปี วังสวรรค์ค้นพบห้วงมิติแห่งหนึ่ง จึงใช้เป็นสถานที่ก่อตั้งวังสวรรค์ ราชวังตำหนักกระจายตัวราวดวงดาว แม่ทัพและทหารสวรรค์ลาดตระเวนเป็นรูปขบวน ใจกลางของวังสวรรค์ เป็นที่ตั้งของพระราชวังเทียมเมฆา

ภายในตำหนัก เทพเซียนรวมตัวกัน คึกคักยิ่งกว่าวังสวรรค์ในอดีตเสียอีก

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายนั่งอยู่บนบัลลังก์จักรพรรดิ ฟังเทพเซียนฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊โต้เถียงกันอย่างเงียบๆ

สามยอดแม่ทัพเทพยืนอยู่ด้านหน้าสุด ไม่ได้สอดปากพูด

วังสวรรค์ไม่เพียงแต่ทำสงครามอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ยังต้องการเซียนฝ่ายบุ๋นคอยจัดการภายในเช่นกัน ช่วยดูแลควบคุมมรรคาสวรรค์น้อยและเผ่าพันธุ์ต่างๆ

แตกต่างไปจากวังสวรรค์แห่งมรรคาสวรรค์ ไม่มีเครือข่ายเส้นสายของอริยะ ดังนั้นการโต้แย้งกันของวังสวรรค์ในปัจจุบันนี้ยังคงเป็นเพราะเจตนาดี มิได้บาดหมางขัดแย้ง

ฉู่ซื่อเหรินก็รวมอยู่ด้วย เพียงแต่เขามิใช่เซียนฝ่ายบุ๋น แต่เป็นแม่ทัพสวรรค์

“เคี๊ยกๆๆ…”

เสียงหัวเราะแปลกประหลาดพลันแว่วเข้ามาในพระราชวังเทียมเมฆา ขัดจังหวะเสียงพูดคุยของเหล่าเทพเซียน

เทพเซียนทั้งหมดเงียบเสียงลง พากันหันไปมอง นอกตำหนักไม่มีผู้มาเยือน และภายในตำหนักก็ไม่มีคนแปลกหน้า

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้ว

เสียงหัวเราะประหลาดดังขึ้นอีกครั้ง “วังสวรรค์อย่างนั้นหรือ ก็ไม่เท่าไรนี่ ข้าคือมิ่ง จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย กล้าเดิมพันกับข้าหรือไม่”

มิ่ง!

เหล่าเทพเซียนพลันแตกตื่นขึ้นมา

ระยะนี้นามนี้ได้ยินกันทั่วไปในฟ้าบุพกาล

ขณะที่วังสวรรค์โจมตีเทพมารฟ้าบุพกาลอยู่ มิ่งก็ทำแบบนี้เช่นกัน

แต่ไม่ได้ลำบากลำบนเหมือนวังสวรรค์ มิ่งเข้าโจมตีคนเดียว ก็สามารถสยบเทพมารฟ้าบุพกาลได้สามตนแล้ว

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายแค่นเสียงถาม “เดิมพันอย่างไร”

หานทั่ว อี๋เทียนและแม่ทัพฟ้าทมิฬกวาดกระแสจิตออกไปค้นหามิ่งอย่างต่อเนื่อง แต่จับสัมผัสกลิ่นอายของเขาไม่ได้เลย

“ข้าจะส่งเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่งมาโจมตีวังสวรรค์ หากวังสวรรค์สามารถต้านรับไว้ได้หนึ่งปี ข้าจะให้เทพมารฟ้าบุพกาลตนนี้เข้าร่วมกับวังสวรรค์ หากว่าวังสวรรค์พ่ายแพ้ วังสวรรค์ต้องสยบต่อข้า!”

มิ่งหัวเราะอย่างดูถูกเหยียดหยาม เหล่าเทพเซียนได้ยินก็โกรธเกรี้ยว เริ่มพากันด่าทอเขา

ถึงแม้จะมองไม่เห็นมิ่ง แต่ที่นี่คือวังสวรรค์ ไหนเลยจะปล่อยให้คนนอกมาเหิมเกริมได้

ซ้ำอีกฝ่ายยังจงใจมาหาเรื่องอย่างเห็นได้ชัด!

อี๋เทียนด่าว่า “มารดาเจ้าเถอะ ซุกหัวซ่อนหางอยู่ได้ ออกมาสู้กับข้าสักยกก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”

มิ่งไม่ได้ตอบพวกเขา

แววตาจักรพรรดิเซียนวูบไหว ไม่ได้ตอบตกลงทันที

เขานึกสงสัยอยู่ในใจ อีกฝ่ายดูมั่นใจว่าจะจัดการพวกเขาได้ ในเมื่อแข็งแกร่งปานนั้น ไยจึงไม่เผยตัวเล่า

มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น!

นั่นคือมิ่งไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเทพมารฟ้าบุพกาลที่เขาจะส่งมา ดังนั้นจึงอ้อมค้อมไม่ลงมือตรงๆ

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องเดิมพันนี้ไม่มีปัญหา แต่วังสวรรค์ไม่เห็นค่าเทพมารฟ้าบุพกาลแล้ว พวกเราเปลี่ยนเดิมพันกันหน่อยดีหรือไม่”

เสียงของมิ่งดังขึ้นอีกครั้ง “เดิมพันอย่างไร”

“เจ้ากับเราส่งบุตรแห่งสวรรค์ระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้ามาฝ่ายละคน ให้ประลองตัดสินกัน หากเจ้าชนะ วังสวรรค์จะสยบต่อเจ้า แต่หากเจ้าแพ้ บุตรแห่งสวรรค์คนนั้นต้องเข้าสู่วังสวรรค์ นับจากนี้ไปเจ้าห้ามมาระรานวังสวรรค์อีก!”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมีสีหน้ามั่นใจยิ่ง ยังเอ่ยท้าทายอย่างดูแคลนอีกด้วย “ไม่ทราบว่าสหายเต๋ามิ่งกล้าตอบตกลงหรือไม่”

………………………………………………………………