มองเขาที่ยิ่งเดินยิ่งไกลออกไป นวิยายิ่งรู้สึกว่าในใจยิ่งว่างเปล่า ยิ่งตระหนกมากขึ้น ความรู้สึกสูญเสียบางอย่าง ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
เธอออกแรงเชิดคอขึ้น เอื้อมมือไปยังหลังของพิชิต แล้วตะโกนขึ้น “พิชิต อย่าไป!”
เธอไม่อยากให้พิชิตไป เพราะสัญชาตญาณบอกเธอ ว่าหลังจากที่เขาไป เธอจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วจริงๆ
พิชิตได้ยินคำเหนี่ยวรั้งของนวิยา ฝีเท้าก็ชะงักลง แต่ก็ไม่ได้หันไป ไม่ช้าเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วสาวเท้าก้าวออกจากประตูไป
นวิยาเห็นว่าเขาจากไปอีกครั้ง หัวใจร้อนรนมากขึ้น เสียงของเธอดังมากขึ้น “พิชิต อย่าไป ขอร้องนายอย่าไป อย่าไป……”
พิชิตไม่หยุดฝีเท้า และยังคงไม่หันหลังกลับ เมื่อเดินไปถึงประตู ก็เปิดประตูทันที
มองไปที่แสงตรงประตู มองเท้าของพิชิตที่เหยียบก้าวออกไป นวิยาร้องไห้อย่างใจสลาย “พิชิต!”
พิชิตไม่ตอบกลับ หลังจากที่ออกไป ก็ปิดประตูลง
ประตูได้ปิดกั้นทุกอย่างจากแผ่นหลังทั้งหมด และเอาความยืนหยัดของพิชิตไปด้วย
เขาเองก็ทนไม่ได้อีกต่อไป นั่งยองๆ ลง แล้วเริ่มร้องไห้
เขาเป็นผู้ชายกำยำแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับร้องไห้เหมือนกับเด็ก
ถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าจะปล่อยนวิยาไป แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงเหนี่ยวรั้งนั้นของนวิยา ในใจก็ยังคงไม่สามารถแบกรับความเจ็บปวดได้
สุดท้ายแล้วการเลิกราทั้งหมดกับคนที่เรารัก ก็เท่ากับการใช้มีดคว้านหัวใจตัวเอง
วารุณีและนัทธี รวมถึงมารุตสามคนยืนอยู่ตรงข้าม มองดูพิชิตร้องไห้ ไม่มีใครพูดอะไร
เพราะพวกเขารู้ ว่าตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ แค่ปล่อยให้เขาร้องไห้ ระบายออกมาก็พอแล้ว
พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเขาได้พูดอะไรไปกับนวิยา แต่ดูจากสภาพของเขา ก็น่าจะเป็นแบบนั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ พิชิตหยุดร้องไห้ แล้วลุกขึ้นยืน หลังจากที่เช็ดตาแล้ว ก็ใส่แว่นกลับเข้าไปใหม่ ยิ้มอย่างเกรงใจให้กับนัทธีและทั้งสามคน “ขอโทษนะ ที่ทำให้พวกคุณตลก”
นัทธีเม้มปาก “นายบอกลานวิยาแล้วใช่ไหม?”
“อืม” พิชิตพยักหน้า
ก็ไม่มีอะไรต้องไม่ยอมรับสักหน่อย
ยังไงซะนี่ก็เป็นการเจอหน้าครั้งสุดท้ายของเขากับนวิยา การบอกลาก็เป็นเรื่องที่ควรทำ
นัทธีเชิดคางขึ้น แล้วไม่ได้พูดอะไร
พิชิตจัดเสื้อผ้า “เอาล่ะนัทธี ดึกแล้ว ฉันไปนะ”
พูดอยู่ เขาก็เดินลงบันไดผ่านนัทธีไป
ระหว่างที่เขาเดินสวนไหล่ไปนั้นนัทธีก็ กดไหล่เขาไว้ “ไม่อยากรู้ ว่าฉันจะทำยังไงกับเธอเหรอ?”
พิชิตตาเป็นประกาย แล้วยิ้มอย่างขมขื่น “อยากอยู่แล้วสิ แต่ต่อให้อยากรู้ ฉันก็ไม่อ้าปากถามหรอกนะ เพราะตอนนี้รู้ไปก็ไม่มีความหมายอะไร มีแต่จะทำให้ฉันทุกข์มากไปกว่าเดิมเสียเปล่า ไว้ทีหลัง แกค่อยบอกฉันแล้วกัน”
พูดจบ เขาก็ก้มหน้า แล้วเดินจากไป
นัทธีทั้งสามมองตามที่แผ่นหลังของเขา จนกระทั่งเงาของแผ่นหลังนั้นหายไปจากสายตา แล้วละสายตากลับมา
วารุณีถอนหายใจ “ที่นวิยารั้งคุณหมอพิชิตไว้เมื่อกี้ ฉันได้ยิน แล้วก็ได้ยินอย่างอื่นด้วย”
“อะไรเหรอ?” นัทธีมองที่เธอ เห็นได้ชัดว่ากำลังถามถึงอย่างอื่น
วารุณีทัดผมข้างๆ หู กำลังจะเริ่มพูด มารุตก็พูดขึ้น “ที่คุณหญิงจะพูดคือ ความรู้สึกใช่ไหม?”
วารุณีเลิกคิ้ว “ใช่ ผู้ช่วยมารุตก็ฟังออกเหมือนกันใช่ไหม”
“ครับ ชัดเจน” มารุตพยักหน้า
เขาอยากบอกว่า คนที่มีหู ฟังออกกันทั้งนั้นแหละ
แต่หลังจากคิดดูแล้ว ประธานฟังไม่ออกหนิ ไม่งั้นคงไม่ถามคุณหญิงว่าหมายถึงอะไร
ดังนั้นถ้าเขาพูดแบบนี้ออกมา ก็ต้องเป็นสิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่เหรอ?
วารุณีมองที่ประตูห้องตรงหน้า “นวิยา ความจริงแล้วชอบคุณหมอพิชิต”
ได้ยินแบบนี้ ตาของนัทธีเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ารู้สึกประหลาดใจ
วารุณีเห็นแบบนั้น จึงมองเขาแล้วยิ้ม “ทำไม คุณไม่เชื่อเหรอ?”
นัทธีอึมอำ “ไม่เชื่อจริงๆ นวิยาไม่ได้มองมาที่ฉันตลอดหรอกเหรอ?”
แล้วจะชอบพิชิตได้ยังไง
วารุณียิ้ม “จริงๆ เมื่อกี้นี้ ฉันก็คิดแบบนี้แหละ คิดว่านวิยาชอบคุณ แต่ที่นวิยาตะโกนไปเมื่อกี้นี้ คือความรู้สึกจริงๆ ที่มีต่อคุณหมอพิชิต ฉันเลยคิดว่าจริงๆ แล้วนวิยารักคุณหมอพิชิต เพียงแต่เธอไม่รู้ตัว แล้วก็ดูไม่ออก”
“ใช่ครับ” มารุตพยักหน้า “จะว่าไป ผมว่าผมรับรู้ได้ก่อนหน้านี้สักพักแล้วล่ะ เมื่อก่อน พบเห็นว่าสายตาของนวิยาที่มองท่านประธาน กับที่มองคุณหมอพิชิตนั้นไม่เหมือนกันครับ”
“ไม่เหมือนตรงไหน?” นัทธีขมวดคิ้ว อยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
เพราะสิ่งที่พวกเขาพูด เขามองไม่ออกจริงๆ
มารุตผลักแว่นแล้วพูด “สายตาที่นวิยามองประธาน ถึงแม้ว่าจะมีความรู้สึก แต่ความรู้สึกนั้นมันแปลกๆ ครับ เหมือนสายตาที่คุณหญิงมองประธาน กลับกันคือเหมือนแฟนคลับที่มองไอดอลซะอีก อืม ผมหมายถึงพวกซาแซงแฟนน่ะครับ แต่สายตาที่มองคุณหมอพิชิต มันเหมือนสายตาที่คุณหญิงมองประธานมากครับ”
“นายหมายถึง ที่จริงแล้วนวิยาไม่เคยรู้สึกอะไรกับฉัน คนที่เธอรักมาตลอดคือพิชิตงั้นเหรอ?” นัทธีประหลาดใจเล็กน้อย
มารุตพยักหย้า “ใช่ครับ”
“แล้วทำไม นายไม่บอกฉันตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ?” นัทธีถามอย่างไม่พอใจ
มารุตลูบจมูก “ขอโทษครับประธาน ผมเองก็เพิ่งนึกได้ตอนนี้ครับ เมื่อก่อนไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น”
“เอาล่ะนัทธี อย่าโทษผู้ช่วยมารุตเลย เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?กลับกันผู้ช่วยมารุตพูดออกมาแบบนี้ ในที่สุดฉันเองก็รู้ว่าทำไมนวิยาถึงไม่รักคุณ แต่ก็ยังยืนกราน”
พูดเท่านี้ วารุณียกมุมปากเยาะเย้ย “ก็เพราะว่าความมั่งคั่งและตำแหน่งไงล่ะ นวิยาจะรักหรือไม่รักคุณไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือ เธอต้องการตำแหน่งของฉัน ต้องการความรุ่งเรืองและร่ำรวย”
“ใช่ครับๆๆ คุณหญิงพูดแบบนี้ ผมเข้าใจแล้ว สายตาที่นวิยามองท่านประธาน บางครั้งก็เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าความทะเยอทะยานของเธอคืออะไรกัน แต่ตอนนี้ได้รู้แล้ว ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” มารุตพยักหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อสะท้อนคำพูดของวารุณี
นัทธีเม้มปากเป็นเส้นตรง “แบบนี้นี่เอง”
“พูดเรื่องนี้ไปตอนนี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร และก็ไม่สำคัญด้วย ที่สำคัญคือ นัทธี พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ มีบางเรื่อง ควรพูดกับนวิยาให้ชัดเจน ระหว่างเรากับนวิยา ควรสะสางให้จบ” วารุณีมองที่นัทธี ด้วยสายตาจริงจัง
นัทธีพยักหน้า “เธอพูดถูก ไปเถอะ”
มารุตก้าวไปข้างหน้า แล้วเปิดประตูออก
นัทธีจับมือวารุณีเดินเข้าไป
ภายในห้อง นวิยานอนฟุบอยู่บนพื้น ด้วยท่าทางแปลก ขณะที่ผ้าห่ม ถูกเธอม้วนอยู่ตรึ่งตัว อีกครึ่งกองอยู่บนเตียง
เห็นได้ว่า เธอตกลงมาจากเตียง และตำแหน่งหันหน้ามาทาง ตรงประตูพอดี
วารุณีเดาว่า นวิยาอาจจะอยากรั้งพิชิตไว้ เลยปีนลงมาจากเตียง แล้วก็ตกลงมาด้วยความไม่ระวัง
มองนวิยาที่ร่างกายสั่นเทา ตอนที่ตกลงมา กลัวว่าจะตกลงมา แล้วเจ็บจนตัวสั่น
แต่วารุณีก็ไม่ได้เห็นอกเห็นใจ และก็ไม่ได้น่าสงสาร นี่คือสิ่งที่นวิยาควรได้รับ
“เอาเธอกลับขึ้นเตียง” นัทธีมองนวิยาด้วยความรังเกียจ เชิดคางขึ้น แล้วชี้สั่งมารุต
มารุตตอบรับ ก้าวไปข้างหน้า แล้วอุ้มนวิยาด้วยสองแขน แล้วพาเธอกลับขึ้นเตียง
มารุตไร้ความรู้สึกอยากทะนุถนอม แทบจะโยนเธอด้วยซ้ำ
นวิยาร้องเจ็บจนตัวม้วน ร่างกายสั่นกระตุกทั้งตัว
ส่วนด้านวารุณีสามคน ยืนมองเธออยู่ตรงข้าม มองเธอด้วยความเย็นชา ไม่มีใครรู้สึกเห็นใจ ไม่มีใครสงสาร
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความเจ็บปวดดูเหมือนค่อยๆ จางหายไป นวิยาสงบลง หายใจหอบเฮือกใหญ่อยู่บนเตียง ดวงตาหย่อนยาน เหม่อลอย ราวกับคนไร้จิตวิญญาณ