ตอนที่ 200-2 โชคดีอย่างน่าอัศจรรย์ เพียงพอนเมฆายอมรับเจ้านาย
เพียงพอนเมฆาถีบเท้าหลังบนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ อาศัยแรงกระโจน หมายจะปีนขึ้นไปบนเรือนยอดไม้ แต่โชคร้ายที่มันเล็งไม่แม่น หัวจึงกระแทกกับกิ่งไม้อย่างจัง สองตาเห็นดาวในพริบตา มันตาลายมึนงงหล่นตุ้บลงมา
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวกำลังจูงมือกันเดินเล่นอยู่ในป่า ทันใดนั้นก้อนขนสีขาวก้อนหนึ่งก็หล่นลงมาในอ้อมแขน เฉียวเวยเพ่งมอง “เอ๋ มีเสี่ยวไป๋อีกตัว”
จีหมิงซิวเห็นผู้คนที่กำลังไล่ตามมาด้านนี้อย่างร้อนรน แล้วหันไปมองกิ่งไม้เหนือศีรษะ จากนั้นก็เลิกคิ้ว “เป็นเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ”
เจ้าก้อนขนสีขาวเหนื่อยใจแทบขาดแล้ว มันหมอบอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวยพลางหอบหายใจหนักๆ เฉียวเวยปลดถุงน้ำที่เอวออกมา “อยากดื่มน้ำหน่อยหรือไม่”
เจ้าก้อนขนสีขาวยังตกอยู่ในอาการตาลายมึนงง
เฉียวเวยจึงรินน้ำลงกลางฝ่ามือแล้วป้อนใส่ปากมันอย่างช้าๆ
ทุกคนไล่ตามมาจนทัน แต่กลับเห็นว่าเพียงพอนเมฆาที่เผ่นโผนดุจมังกรดั่งพยัคฆ์ตัวนั้น ทำตัวเหมือนเจ้าตัวน้อยแสนเชื่องที่ตกใจกลัวจนนอนนิ่ง ในใจทุกคนคำราม อะไรกัน พวกเขาล่ามาก่อนแท้ๆ แต่ช้าไปเพียงก้าวเดียวกลับถูกผู้อื่นฉวยความสำเร็จไป!
เมื่อครู่พวกเขาเห็นอยู่ว่าสตรีนางนี้ไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น เจ้าเพียงพอนชนต้นไม้ร่วงลงมาในอ้อมแขนของนางเอง!
นางไม่ลงแรงแต่กลับได้ผลประโยชน์!
ช่างน่าละอาย!
หน้าไม่อาย!
ไร้ยางอาย!
“ลูกศรเล่มนั้นเมื่อครู่ ข้าเป็นผู้ยิง ข้าไล่ต้อนมันขึ้นไปบนต้นไม้ มันจึงกระโดดชนหมดสติหล่นลงมาบนตัวเจ้า ดังนั้นมันสมควรเป็นของข้า” ทูตจากหนานฉู่คนหนึ่งกล่าวขึ้นมา
แม่ทัพต้าเหลียงคนหนึ่งโต้อย่างไม่เห็นด้วย “เจ้ายิงศรเพียงหนึ่งดอก ศรอีกสองดอก ข้าเป็นผู้ยิง! ศรของข้ามากกว่าเจ้า มันสมควรเป็นของข้า!”
ทูตจากหนานฉู่เถียง “ศรมากกว่าก็เป็นของผู้นั้นแล้วหรือ ข้าต่างหากแม่นกว่า!”
แม่ทัพแห่งต้าเหลียงเถียงกลับ “เจ้ายิงไม่ถูกเสียหน่อย!”
แม่ทัพอีกคนหนึ่งของต้าเหลียงโพล่งขึ้นมา “พวกเจ้าสองคนทะเลาะอะไรกัน หากไม่มีพวกเราล้อมไว้ก่อน มันจะตกใจกลัววิ่งหนีไปทั่วหรือ หากกล่าวเช่นนี้ พวกเราก็มีส่วนแบ่งด้วยเหมือนกัน”
ทั้งสองคนที่เมื่อครู่ยังเถียงกันอยู่กลับพูดเป็นเสียงเดียว “เจ้ามีส่วนอะไรด้วย พวกเราสองคนเป็นผู้ยิง!”
ระหว่างที่พวกเขาโต้เถียงกันอยู่ ไม่รู้ผู้ใดตะเบ็งเสียงตะโกนขึ้นว่า “พวกเขาไปแล้ว!”
ถูกต้อง เฉียวเวยเดินจากไปแล้ว
เฉียวเวยขี้เกียจทะเลาะกับคนกลุ่มนั้น นางกอดก้อนขนสีขาวตัวน้อยเดินออกมาจากสนามล่าสัตว์อย่างเบิกบานใจ นางคิดมาตลอดว่าลูกน้อยสองคนมีเสี่ยวไป๋เพียงตัวเดียวออกจะใจร้ายอยู่บ้าง ในที่สุดตอนนี้ก็ล่าตัวที่สองมาได้แล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไปทั้งสองคนจะมีเพียงพอนน้อยเป็นสัตว์เลี้ยงของตนเองแล้ว
เพียงพอนเมฆาของชนเผ่าลึกลับกลายเป็นเป็นเพียงพอนน้อยสัตว์เลี้ยงของเด็กคนหนึ่ง นี่จะต้องเป็นการทำให้เสียของครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน!
ทั้งสองคนอุ้มเพียงพอนกลับมาถึงปะรำพิธี
จีซวงตั้งครรภ์หกเดือนแล้ว นั่งนานก็เริ่มไม่ค่อยสบายตัว ผู้หญิงจากตระกูลจีกับจีหว่านจึงกลับมายังตำหนักผิงชุนเป็นเพื่อนนางแล้ว
ฮ่องเต้ทราบแล้วว่าเฉียวเวย ‘ล่า’ เพียงพอนเมฆมาได้ ช่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ คนมากมายปานนั้นตามไล่ล่าดันไม่สำเร็จ แต่เจ้าเดรัจฉานน้อยตัวนี้กลับหมดสติหล่นตุ้บลงมาหาผู้อื่นด้วยตัวเอง แล้วยังซุกอยู่ในอ้อมกอดของแม่สาวน้อยคนนี้ไม่ยอมออกมาอีก
นี่มันโชคดีอะไรกัน
ฮ่องเต้กระแอมแล้วตรัสว่า “มันเป็นเพียงพอนเมฆาของบรรณการจากหนานฉู่ นิสัยดุร้าย เจ้าต้องคิดให้รอบคอบ”
เฉียวเวยตอบ “ไม่เป็นอะไรเพคะ มันเชื่องยิ่งนัก”
เพียงพอนเมฆาแสนเชื่อง อ้าปากสีแดงสดกัดข้อมือของเฉียวเวยอย่างดุร้าย!
เป๊าะ!
ปรากฏว่าฟันกลับหัก
บังเอิญว่าฟันซี่นั้นเป็นฟันที่ผุอยู่พอดี
…
ฮ่องเต้พระราชทานแก้วแหวนเงินทองให้เฉียวเวยกองโต เนื่องจากซาบซึ้งที่เฉียวเวยพาเดรัจฉานน้อยแสนดุร้ายตัวนี้กลับไปที่บ้าน
เฉียวเวยได้เพียงพอนหิมะน้อยมาก็ดีใจยิ่งนัก ดีใจยิ่งกว่าหนแรกที่ได้เสี่ยวไป๋กลับมาเสียอีก
แต่เดิมตอนที่นางพบเสี่ยวไป๋หนแรก มันพาความลำบากครั้งใหญ่มาให้นาง ทำเอานางเกือบจะถูกเสือคาบไปกิน หากไม่ใช่ว่าวั่งซูชอบเสี่ยวไป๋ นางคงขายเสี่ยวไป๋ทิ้งไปแล้ว แล้วตอนนั้นนางก็ยังยากจนนัก ข้าวยังไม่มีจะกิน จะเอาที่ไหนมาเลี้ยงลูกเพียงพอนหิมะ ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเพียงพอนหิมะหนึ่งตัว สิบตัวนางก็เลี้ยงไหว
“ดีใจเช่นนี้เชียว” จีหมิงซิวมองรอยยิ้มที่ไม่หุบลงสักนิดบนใบหน้าของนาง
เฉียวเวยตอบว่า “ตัวหนึ่งให้วั่งซู ตัวหนึ่งให้จิ่งอวิ๋น ย่อมต้องดีใจสิ ท่านอย่าเห็นว่าจิ่งอวิ๋นไม่พูด เขาก็อยากได้เสี่ยวไป๋สักตัวมากเหมือนกัน”
จีหมิงซิวถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่ซื้อให้เขาสักตัวเล่า”
เฉียวเวยเบิกตาจนกลมบ๊อก “ซื้อก็ต้องเสียเงินสิ!”
จีหมิงซิว “…”
…
เสี่ยวไป๋ยังไม่รู้ว่าในบ้านกำลังจะมีสหายที่หน้าตาเหมือนตนเองทุกประการมาเพิ่มอีกตัวหนึ่ง มันกินขนมชิ้นน้อยที่หอมฉุยเสร็จก็สะพายตะกร้าใบน้อยเข้าไปจับงูในป่า
หากอากาศหนาวขึ้นอีกหน่อย งูสุดที่รักก็จะจำศีลกันหมดแล้ว ก่อนหน้านั้นมันจะต้องจับงูสุดที่รักให้ได้มากๆ
เสี่ยวไป๋สะพายตะกร้าใบน้อย ค้นหาภายในป่าอย่างมีความสุข
ทว่า ฟิ้ว! จู่ๆ ลูกศรดอกหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านข้าง หูสีขาวขนาดจิ๋วของเจ้าเพียงพอนกระดุกกระดิก ร่างกายกระโดดโจนขึ้นไปบนต้นไม้!
แม่ทัพน้อยมู่ยิงศรออกมาอีกหนึ่งดอก ปักตรึงอยู่กลางสองขาของเสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋มองลูกศรที่สูงยิ่งกว่าตนเอง คิ้วน้อยๆ ขมวดมุ่น ก่อนจะดึงลูกศรออกมาแล้วโยนใส่แม่ทัพน้อยมู่!
แม่ทัพน้อยมู่คิดไม่ถึงว่ามันจะทำแบบนี้ เขาถอยหลังสองก้าว ลูกศรดอกนั้นปักลงกลางหว่างขาของเขาบ้าง
เขาทั้งตกใจทั้งยินดี “เจ้าทำสิ่งนี้เป็นด้วยหรือ”
เสี่ยวไป๋เท้าสะเอวพองแก้มมองเขา
แม่ทัพน้อยมู่ยิ้ม “เจ้าไม่หนีแล้วหรือ ก็ดี รีบลงมาเสีย ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้อื่น ข้าจะซ่อนเจ้าไว้ในถุงแล้วพากลับไป”
เสี่ยวไป๋มองเขาอย่างระแวดระวัง ไม่มีความคิดที่จะลงไปสักนิด
แม่ทัพน้อยมู่มองมัน ยิ่งมองก็ยิ่งแปลกใจ “บนหลังเจ้าสะพายสิ่งใดอยู่”
เสี่ยวไป๋ไม่สนใจเขาแล้ว มันคว้าเถาวัลย์เส้นหนึ่งแล้วโหนตัวจากไป
แม่ทัพน้อยมู่ขยี้ตา เขาหลอนไปเองหรือไม่ เหตุใดจึงรู้สึกว่าเพียงพอนตัวนั้นท่าทางเหมือนลิง
…
เฉียวเวยอุ้มเจ้าก้อนขนสีขาวตัวน้อยกลับมาถึงตำหนักผิงชุน ระหว่างทางเฉียวเวยพบว่าเพียงพอนหิมะตัวนี้กับเสี่ยวไป๋มีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย เสี่ยวไป๋มีขนสีขาวล้วน บนร่างไม่มีขนต่างสีแม้แต่เส้นเดียว แต่ตรงลำคอกับหางของเพียงพอนตัวนี้มีขนสีเทาแซมอยู่เล็กน้อย ทว่าก็งดงามมากเช่นเดียวกัน
หากไม่มองให้ถี่ถ้วนก็คงมองไม่ออก ความจริงขนาดตัวของมันก็ใหญ่กว่าเสี่ยวไป๋หนึ่งไซส์ด้วย
เพียงพอนที่ไม่ยอมโตเสียที ทั้งใต้หล้านี้คงมีแต่เสี่ยวไป๋ของบ้านนางตัวเดียว
จะว่าไปแล้วมันเหมือนจะเป็น…
เฉียวเวยแหวกขาสั้นๆ ของเพียงพอนเมฆาออก คิดจะดูว่ามันเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย เพียงพอนเมฆายื่นกรงเล็บน้อยข้างหนึ่งออกมาปิดไว้!
…
เด็กๆ เล่นสนุกกันมาตลอดทั้งเช้า ป่วนจนหลังคาของตำหนักผิงชุนแทบจะถูกรื้อออกมา นางกำนัลทั้งหลายแทบจะมีควันลอยออกมาจากศีรษะ พอเห็นเฉียวเวยเดินเข้ามาจึงรู้สึกราวกับว่าได้รับพระราชทานอภัยโทษ
เฉียวเวยอุ้มเพียงพอนเมฆาเข้ามาในห้อง
เด็กทั้งหลายเมื่อเห็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยก็ไม่สนใจว่าเป็นเพียงพอนหรือเป็นสุนัข แย่งกันมาจับ เฉียวเวยก็ไม่สนใจ ปล่อยเพียงพอนเมฆาลงเสร็จก็เดินจากไป
นางกำนัลและขันทีทั้งห้องมองหน้ากัน ปล่อยสัตว์ป่าดุร้ายหนึ่งตัวไว้กับเด็กกลุ่มหนึ่ง จะไม่เป็นอะไรจริงหรือ
เพียงพอนเมฆาแสนดุร้ายแสยะเขี้ยวขู่
มันจะกัดมนุษย์กลุ่มนี้ให้ตายให้หมด! กัดให้ตาย! กัดให้ตาย!
วั่งซูยื่นมือน้อยอวบอ้วนข้างหนึ่งออกมาลูบลำตัวเล็กจ้อยของเพียงพอนเมฆอย่างอ่อนโยน ทว่าเพียงพอนเมฆากลับรู้สึกราวกับว่าจู่ๆ ตนเองถูกภูเขาลูกหนึ่งทับอยู่ข้างใต้ แล้วภูเขาลูกนั้นยังกลิ้งไปมาบนตัวของมันอีก อวัยวะของมันจะถูกบดขยี้แหลกอยู่แล้ว
หลังจากนั้น วั่งซูก็ส่งเพียงพอนเมฆาให้แก่ตัวน้อยทั้งสามที่อยู่ด้านข้าง
พละกำลังของตัวน้อยทั้งสามก็ไม่ใช่น้อย
คนแรกลูบขนเพียงพอน ขนเพียงพอนแหว่งไปครึ่งตัว
คนที่สองคว้าขาเพียงพอน ครึ่งท่อนล่างของเพียงพอนฉับพลันไร้ความรู้สึก
คนที่สามจุ๊บเพียงพอนหนึ่งที ใบหน้าครึ่งซีกของเพียงพอนบวมปูดนูนขึ้นมาในทันใด…
หลังจากถูกจอมพลังน้อยทั้งสี่ปฏิบัติด้วยอย่างอ่อนโยน (ทารุณอย่างโหดเหี้ยม) เมื่อผลัดมาถึงตาจิ่งอวิ๋นกับซื่อจื่อน้อย เพียงพอนผู้ดุร้ายก็เหลือเรี่ยวแรงพอแค่กลอกตาเท่านั้น