บทที่ 708 ย้ายออก

บทที่ 708 ย้ายออก

ทันทีที่เห็นรอยยิ้มของฉืออี้หย่วน อิ่นหรูอวิ๋นก็รู้สึกในทันทีว่าผู้ชายคนนี้ควรเป็นของตนต้องเป็นของตนเท่านั้น คนคนนี้น่าจะเป็นคนในพรหมลิขิตของเธอ ขอเพียงได้พบหน้าก็รู้สึกราวกับเคยแยกจากกันเมื่อชาติก่อน

ทันใดนั้นอิ่นหรูอวิ๋นก็นึกได้ว่ารอยยิ้มของผู้ชายคนนี้พุ่งตรงไปยังซูเสี่ยวเถียน ความรู้สึกแย่ก่อตัวในใจทันที

แค่ช่วงเวลาเพียงพริบตาในหัวของเธอก็เกิดความคิดหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ท้ายที่สุดความคิดที่ไม่สมควรของเธอเหล่านี้ก็ถูกเธอปัดออกจากหัว

ชายผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับซูเสี่ยวเถียน แต่น่าจะไม่ถึงขั้นมีความสัมพันธ์เป็นคนรักกัน ถึงอย่างไรซูเสี่ยวเถียนก็ยังอายุน้อยเกินไป

หากทั้งสองคนไม่ใช่แฟนกันหรือว่าจะเป็นพี่น้องกัน?

เพียงชั่วพริบตาอิ่นหรูอวิ๋นก็โน้มน้าวตัวเองจนมั่นใจว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน

ในตอนที่อิ่นหรูอวิ๋นกำลังคิดเรื่องนี้ ซูเสี่ยวเถียนและฉืออี้หย่วนก็เดินไปทางโรงอาหารแล้ว

เดิมทีหรูอวิ๋นอยากจะพาอ้ายอวี้และฉีเสี่ยวฟางไปกินข้าวที่ร้านอาหารข้างนอก แต่ตอนนี้ที่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเธอจึงเดินตามฉืออี้หย่วนและซูเสี่ยวเถียนไปที่โรงอาหาร

นับว่าดีที่ทั้งสองคนข้างหลังไม่รู้แผนการของเธอที่เดิมทีคิดจะไปกินข้าวที่ร้านอาหารข้างนอก จึงเดินตามเธอไปที่โรงอาหาร

ซูเสี่ยวเถียนและฉืออี้หย่วนทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างมีความสุข ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้ปิดบังฉืออี้หย่วน เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องพัก และเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังไปแล้ว

ฉืออี้หย่วนได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเย็นชา

สาวน้อยตัวเล็ก ๆ ในครอบครัวมาถูกคนรังแกเสียแล้วหรือ?

ฉืออี้หย่วนในตอนนี้ลืมไปเสียสนิทว่าซูเสี่ยวเถียนไม่ได้บอกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ

เธอแค่รู้สึกมีน้ำโหเท่านั้นเอง

เมื่อคิดว่าซูเสี่ยวเถียนอยู่อาศัยกับคนพวกนี้เขาก็เกิดความกังวลขึ้นหลายส่วน

“เสี่ยวเถียนไม่อย่างนั้นพวกเราไปซื้อบ้านที่นอกมหาวิทยาลัยดีไหม หลังจากนี้เธอจะได้อยู่บ้านของตัวเอง”

ในเมื่ออาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัยแล้วต้องรู้สึกอึดอัดใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องอยู่ในมหาวิทยาลัยก็ได้ แม้ฉืออี้หย่วนจะยอมให้ตัวเองกล้ำกลืนได้ แต่กลับทนไม่ได้ที่จะให้ซูเสี่ยวเถียนต้องกล้ำกลืน

ตั้งแต่ตอนนั้นที่ซูเสี่ยวเถียนให้ความเคารพเขาและคุณปู่ เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าทั้งชีวิตนี้จะปกป้องซูเสี่ยวเถียนให้ดี

ช่วงปีที่ผ่านมาฉืออี้หย่วนมีความคิดที่จะดูแลและปกป้องซูเสี่ยวเถียนเช่นนี้มาตลอด

แม้ว่าส่วนใหญ่ซูเสี่ยวเถียนจะไม่ได้ต้องการการปกป้องจากเขา แต่ขอเพียงมีโอกาสฉืออี้หย่วนก็อยากทำให้ดีที่สุด

ซูเสี่ยวเถียนมองฉืออี้หย่วนที่ราวกับกำลังเผชิญกับศัตรูก็ยิ้ม

“พี่อี้หย่วนไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ เด็กผู้หญิงก็เป็นแบบนี้ พี่วางใจเถอะหนูจะไม่ทำให้ตัวเองต้องกล้ำกลืนฝืนทนแน่นอน”

คนอย่างอิ่นหรูอวิ๋นความจริงแล้วไม่ได้มีพลังหรืออำนาจมากมายนัก ขอเพียงไม่สนใจเธอว่าจะคับข้องใจหรือไม่ก็พอแล้ว

ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าอิ่นหรูอวิ๋นในตอนนี้มีความตั้งใจใหม่แล้ว

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ถ้าอย่างนั้นเธอก็อยู่ในหอพักไปสักพักหนึ่งก่อน ถ้ารู้สึกอึดอัดใจเกินไปก็บอกพี่” ฉืออี้หย่วนเตือนอีกประโยค

“พี่อี้หย่วนฉันรู้แล้วค่ะพี่วางใจเถอะ! วันนี้พี่จะพาฉันไปกินอะไรหรือคะ?” ซูเสี่ยวเถียนรีบพยักหน้าพลางพูด

ซูเสี่ยวเถียนเกรงว่าฉืออี้หย่วนจะพัวพันกับปัญหานี้ต่อไปจึงรีบหาเรื่องอื่นมาพูด

“วันนี้พวกเราไปกินข้าวที่โรงอาหารกันเถอะ โรงอาหารของมหาวิทยาลัยรสชาติอาหารไม่เลวเลย แต่แน่นอนว่าเทียบกับรสชาติอาหารของคุณย่าซูไม่ได้”

ฉืออี้หย่วนนึกถึงทักษะการทำอาหารของคุณย่าซูก็รีบอธิบาย

ซูเสี่ยวเถียนก็รู้เช่นกันว่าอาหารในโรงอาหารมหาวิทยาลัยรสชาติไม่เลว เรื่องนี้ทั้งเมืองหลวงต่างรู้ดี

ครอบครัวพวกเขาแต่ละคนล้วนมีคนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเคยได้ยินมา

“พี่อี้หย่วนคะ ฝีมือการทำอาหารของคุณย่าหนูแม้แต่ทั้งเมืองหลวงก็ยังมีไม่กี่คนที่สามารถเทียบได้ ถ้าอย่างนั้นต้องเป็นเชฟถึงจะเทียบได้!”

ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนพูดคำนี้ก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก

คุณย่าของเธอหากไม่ใช่เพราะอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แถวชายแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หากเป็นสถานที่ที่ดีกว่านี้สักหน่อย และมีโอกาสสักนิดก็คงกลายเป็นแม่ครัวที่มีชื่อเสียงไปแล้ว

ฉืออี้หย่วนยิ้มพลางส่ายหน้า เด็กคนนี้ช่างมีความเชื่อมั่นจริง ๆ

เมืองหลวงใหญ่ถึงเพียงนี้ยังมีพ่อครัวอีกมาก ฝีมือการทำอาหารของคุณย่าซูแม้จะยอดเยี่ยม แต่ยังขาดระบบการถ่ายทอดความรู้จากอาจารย์สู่ลูกศิษย์

ทว่าคำพูดเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องพูดกับซูเสี่ยวเถียนจนทำให้ซูเสี่ยวเถียนโกรธ

ทั้งสองพูดคุยกันระหว่างเดินไปที่โรงอาหาร

“หมูตุ๋นน้ำแดงที่โรงอาหารรสชาติไม่เลวเลย ยังมีซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานที่อร่อยเหมือนกัน วันนี้พวกเราไปกินกับข้าวสองอย่างนี้ดีไหม?”

กับข้าวสองอย่างนี้ซูเสี่ยวเถียนล้วนชอบมากจริง ๆ เธอเป็นคนที่ชอบกินเนื้อและไม่ค่อยสนใจกับข้าวจานผักมากนัก

“ค่ะวันนี้พวกเราไปกินกับข้าวสองอย่างนี้กัน พี่อี้หย่วนพวกเราสองคนกินกับข้าวสองอย่างจะพอหรือคะ?”

ฉืออี้หย่วนยิ้มอย่างเอ็นดูพลางกล่าว “พอสิ!”

แม้สาวน้อยคนนี้จะชอบกินเนื้อแต่อาหารที่มากเกินไปย่อมไม่ดี ฉืออี้หย่วนเชื่อว่ากับข้าวสองจากนี้เป็นสัดส่วนที่เพียงพอให้พวกเขาสองคนกินแล้ว

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในโรงอาหารด้วยรอยยิ้ม

ในโรงอาหารสามารถสั่งอาหารได้แต่การสั่งอาหารจะราคาแพงกว่า เพราะคนส่วนใหญ่ยังชอบที่จะเอาอาหารมาบรรจุลงกล่องโดยตรง

ในตอนนี้มีแถวรอรับอาหารอยู่ที่หน้าตู้กระจกอยู่ยาวพอสมควร

ซูเสี่ยวเถียนเห็นจากไกล ๆ ว่ามีหม้ออยู่เจ็ดแปดใบมีทั้งเนื้อและผักดูหน้าตาไม่เลวเลย ตอนที่มีเพื่อนนักเรียนบางคนเดินผ่านตัวเธอไปพร้อมกับจานข้าว ก็ยังได้กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยออกมา

มองไปอีกด้านที่มีคนต่อแถวอยู่หน้าตู้กระจกมีคนไม่มากจนแทบจะไม่มีคน

แม้นักศึกษาจะได้รับเงินอุดหนุนยกเว้นนักศึกษาที่ครอบครัวมีฐานะดี คนส่วนใหญ่จะไม่เอาเงินอุดหนุนมากินหมด แต่เก็บไว้เพื่อส่งไปให้ครอบครัว

เพราะแบบนี้แม้ว่านักศึกษาในตอนนี้จะไม่อาจรับภาระในการรับผิดชอบเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่การประทังชีวิตกลับไม่ยากเย็นนัก

ฉืออี้หย่วนและซูเสี่ยวเถียนไม่ใช่คนที่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการเลี้ยงดูครอบครัว ในมือมีเงินก็ย่อมไม่อมเงินไว้กับตัวเอง

ทั้งสองคนหาโต๊ะได้แล้วฉืออี้หย่วนก็ให้ซูเสี่ยวเถียนนั่งลง และตัวเองเดินไปสั่งอาหาร

เขาคิดว่าหากเป็นไปได้ต่อไปก็อยากสั่งอาหารให้ ซูเสี่ยวเถียนเองจะได้ไม่ต้องมาต่อคิว

หลังจากนั้นครู่หนึ่งพวกอิ่นหรูอวิ๋นก็ตามทั้งสองคนเข้ามา ตอนที่เห็นแถวยาวเหยียดก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“พวกเรามาช้าไปหรือ? ทำไมคนเยอะขนาดนี้” อ้ายอวี้ขมวดคิ้วพลางพูด

ถ้ารู้มาก่อนว่าคนจะเยอะขนาดนี้คงจะมาเร็วกว่านี้สักหน่อย

“ตรงนั้นไม่มีคน!” ฉีเสี่ยวฟางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นคนสองสามคนกระจายตัวอยู่เพื่อสั่งอาหารหน้าตู้กระจก ในตอนนั้นเองที่ตะโกนตื่นเต้นราวกับค้นพบทวีปใหม่ของโลก

อ้ายอวี้เหลือบมองฉีเสี่ยวฟาง ไม่ชอบคนที่ไม่รู้ความแบบนี้จริง ๆ

นั่นคือตู้กระจกสำหรับสั่งอาหารเธอรู้หรือเปล่าว่าอาหารตรงนั้นราคาแพงมาก?

เดิมทีอิ่นหรูอวิ๋นคิดจะพาทั้งสองคนไปกินข้าวที่ร้านอาหารข้างนอก ดังนั้นหลังจากได้ยินคำพูดของฉีเสี่ยวฟางที่บอกว่าตรงตู้กระจกที่ให้สั่งอาหารไม่มีคนจึงไม่ได้คัดค้านอะไร

ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเห็นชายหนุ่มรูปงามคนนั้นกำลังยืนสั่งอาหารอยู่ตรงตู้กระจก

นี่เป็นโอกาสหายากที่จะได้ใกล้ชิดกัน

“พวกเธอไปหาโต๊ะนะฉันจะไปสั่งอาหารก่อน” อิ่นหรูอวิ๋นพูดโดยที่ไม่เห็นทั้งสองคนอยู่ในสายตา ก่อนจะก้าวเดินตรงไปทางฉืออี้หย่วนอย่างรวดเร็ว