ตอนที่ 795 อู๋เสี่ยวเจี๋ยนตื่นเต้น
แม้ว่าคำสั่งซื้อครึ่งล้านจะฟังดูมากมาย แต่ถุงน่องก็เป็นเพียงสินค้าชิ้นเล็ก
โรงงานถุงเท้าทั้งสองแห่งล้วนเป็นโรงงานถุงเท้าขนาดใหญ่ ดังนั้นการผลิตจึงรวดเร็วมาก และสินค้าทั้งหมดจะถูกจัดส่งหลังจากผ่านไปสิบวัน
ในช่วงสิบวันก่อนการส่งมอบ ผู้จัดการซุนและเหรินเป่าจูไม่มีเวลาว่างเลย
ตามคำแนะนำของหลินม่าย เขาได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับถุงน่อง ซึ่งมีชื่อว่าถุงน่องเจี่ยเม่ย
พวกเขาส่งเสมียนไปเช่าเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าในสิบเมืองทางตอนใต้เพื่อขายถุงน่อง
นอกจากนี้ นางแบบที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง และรองชนะเลิศอันดับสองของการประกวดนางแบบของห้องเสื้อจิ่นซิ่วก็ยังได้รับเชิญให้ถ่ายภาพโฆษณาถุงน่อง
หลังเตรียมการแล้ว พวกเขาก็เริ่มแจกใบปลิวตามเมืองใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อให้คนทั่วไปรู้ว่าถุงน่องแบบกางเกงคืออะไร
สาวทันสมัยหลายคนรู้สึกประทับใจเมื่อเห็นแผ่นพับที่บอกว่าถุงน่องนี้ไม่หลุดง่าย
การสวมถุงน่องตามปกติ ส่วนบนของถุงน่องมักจะม้วนลงมา ทำให้สวมใส่ไม่สะดวก และการจัดระเบียบในที่สาธารณะก็เป็นเรื่องน่าอาย
แต่เมื่อเป็นถุงน่องเจี่ยเม่ย ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป
ถุงน่องของหลินม่ายยังไม่ออกสู่ตลาด ดังนั้นหญิงสาวทันสมัยเหล่านี้จึงถามว่าจะซื้อถุงน่องได้จากที่ไหน
แต่หลังจากสอบถามแล้วก็ไม่พบว่ายังไม่มีขาย
หญิงสาวทันสมัยเหล่านั้นรู้สึกหดหู่ใจทันที
ในวันที่ 1 เมษายน พวกเขาได้วางถุงน่องเจี่ยเม่ยบนห้างสรรพสินค้าในเมืองใหญ่หลายแห่ง
ผู้หญิงที่รักสวยรักงามแห่กันไปยังเคาน์เตอร์พิเศษในห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อถุงน่องเจี่ยเม่ย
แม้ว่าพนักงานขายจะอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าหากซื้อแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนหรือคืนสินค้าได้ แต่คนก็ยังแห่กันไปซื้อ
แม้จะมีราคาสูง แต่หญิงสาวมากมายก็แย่งกันซื้อคนละสองถึงสามคู่เพราะกลัวจะไม่มีขายอีกในอนาคต
หลินม่ายเปิดขายถุงน่องพร้อมกันในสิบเมืองใหญ่ทั่วประเทศ
เธอวางแผนจะขายถุงน่องหนึ่งแสนคู่ในแต่ละเมือง
ถุงน่องขายได้หนึ่งหมื่นคู่ในหนึ่งวัน ถุงน่องหนึ่งแสนคู่จะขายหมดภายในเวลาสิบวันอย่างแน่นอน
ในที่สุดผู้จัดการซุนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถุงน่องเหล่านี้ไม่ขาดทุนเลยแม้เพียงนิด
แต่หลังจากผ่านไปสิบวัน ถุงน่องยี่ห้ออื่น ๆ มากมายก็ปรากฏขึ้นในตลาดราวกับดอกเห็ดหลังฝนตก
ผู้จัดการซุนกังวลอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงตรงไปยังมหาวิทยาลัยและรายงานสถานการณ์ให้หลินม่ายทราบ
หลินม่ายกล่าวด้วยท่าทางสงบ “ความสามารถของนักลอกเลียนแบบในประเทศของเรานั้นแข็งแกร่งมาก แต่พวกเขาจะไม่มีวันผลิตถุงน่องลอกเลียนแบบเราได้ ไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ฉันไม่กลัวว่าจะมีใครเลียนแบบถุงน่องของเราได้ แต่รู้สึกกังวลเรื่องที่คนอื่น ๆ ทำตามกระแสในการผลิตถุงน่องและส่งผลกระทบต่อยอดขายถุงน่องของเรา”
จากนั้นหลินม่ายก็ถามเขา “เรามีถุงน่องเหลือกี่คู่?”
ผู้จัดการซุนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “ยังไม่ทราบเลยครับ”
หลินม่ายกล่าว “ตามข้อเท็จจริงที่ว่าแต่ละเมืองขายถุงน่องได้วันละหนึ่งหมื่นคู่ ตอนนี้ผ่านมาแปดวันแล้ว แสดงว่าเราขายถุงน่องได้อย่างน้อยเจ็ดหมื่นถึงแปดหมื่นคู่แล้ว ถุงน่องเหลือไม่เยอะแล้ว แสดงว่าเราขายถุงน่องได้ดี แล้วจะต้องกังวลอะไรอีก?”
ผู้จัดการซุนตระหนักได้ทันที มีถุงน่องเหลืออยู่ไม่เกินหนึ่งหมื่นถึงสองหมื่นชิ้นในแต่ละเมือง เขาจะต้องกังวลอะไรอีก?
หลินม่ายกล่าว “ธุรกิจถุงน่องของเราได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ดังนั้นอย่ากังวลอะไร ตั้งใจทำการตลาดต่อไป คุณไปบอกโรงงานถุงเท้าทั้งสองแห่งว่า ว่าเราต้องการสั่งผลิตถุงน่องกับพวกเขาอีกแห่งละห้าแสนคู่”
ผู้จัดการซุนสับสนเล็กน้อย “คนขายถุงน่องไม่ได้มีแค่เรา ในท้องตลาดก็มีถุงน่องมากมายหลายยี่ห้อ หากเราผลิตถุงน่องซ้ำอาจเกิดความกดดันในการขายนะครับทำไมเราไม่เลือกเพียงหนึ่งโรงงานจากทั้งสองโรงงานเพื่อให้ผลิตถุงน่องให้กับเราเราสั่งผลิตถุงน่องในแต่ละรอบเพียงห้าแสนชิ้น และสั่งผลิตใหม่อีกห้าแสนชิ้นเมื่อขายหมด ด้วยวิธีนี้จะไม่มีแรงกดดันด้านการขายหรือกังวลเกี่ยวกับสินค้าคงคลัง”
หลินม่ายกล่าว “ตอนนี้ทางเหนือก็อบอุ่นเช่นกัน ถุงน่องหนึ่งล้านคู่ที่ผลิตในครั้งนี้จะถูกส่งไปขายในเมืองใหญ่ทางตอนเหนือรวมถึงเมืองขนาดเล็กและขนาดกลางทางตอนใต้ เพื่อคว้าโอกาสและสร้างรายได้มากมาย หากเลือกโรงงานถุงเท้าเพียงแห่งเดียว การผลิตจะชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลต่อส่วนแบ่งการตลาดและกำไรที่ได้รับ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องสินค้าคงคลังหรอก เพราะถุงน่องทั้งหมดในตลาดเป็นของเลียนแบบเรา ครั้งนี้เราได้เปลี่ยนรูปแบบของถุงน่องชุดนี้ซึ่งแตกต่างจากถุงน่องในตลาด และพวกเขาก็ไม่อาจเทียบเราได้”
ด้วยคำแนะนำของหลินม่าย ผู้จัดการซุนได้เลือกรูปแบบใหม่สี่แบบจากตัวอย่างถุงน่องที่เฉินเฟิงส่งให้หลินม่ายครั้งล่าสุด และส่งแบบถุงน่องทั้งสองแบบไปยังโรงงานถุงเท้าสองแห่ง เพื่อให้แต่ละแห่งผลิตตามคำสั่งของพวกเขา
ทันทีที่ถุงน่องเจี่ยเม่ยเข้าสู่ตลาด ถุงน่องเหล่านั้นในตลาดก็ถูกตีตื้นจนแตกพ่าย
แม้ว่ายอดขายจะไม่แรงเหมือนช่วงแรก แต่ก็ยังค่อนข้างดี
เวลาผ่านไปถึงวันที่ 14 เมษายนอย่างรวดเร็ว ทางตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มอบอุ่นขึ้น เช่นเดียวกับเมืองหลวง
ถนนในกรุงปักกิ่งเต็มไปด้วยหญิงสาวสวมถุงน่อง
สาว ๆ แต่งตัวงดงามเดินบนถนน ทำให้ทิวทัศน์โดยรอบดูสวยงามอย่างมาก
และวันนี้ยังเป็นวันที่หลินเพ่ยที่รักของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนได้รับการปล่อยตัวจากคุก
เมื่อสองสามวันก่อนที่หล่อนจะได้รับการปล่อยตัว อู๋เสี่ยวเจี๋ยนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
หลังอาหารเย็นเมื่อคืนนี้ ขณะที่เขาช่วยฝูโช่วกุ้ยล้างจาน เขาทำจานชามแตกไปหลายใบ และคุณป้าฝูก็ดุเขาเพราะความสะเพร่าอยู่หลายครั้ง
เรือนจำตั้งอยู่ที่ชานเมืองปักกิ่ง และต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงครึ่งในการเดินทางโดยรถบัสหลายต่อ
เพื่อให้หลินเพ่ยออกจากคุกโดยเร็วที่สุด อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจึงตื่นนอนก่อนหกโมงเช้า
เขาไม่ได้สนใจที่จะกินมื้อเช้า เพียงฮัมเพลงอย่างแผ่วเบาด้วยความสุขแล้วออกจากบ้านไป
เขาขึ้นรถบัสคันแรกในตอนเช้าเพื่อไปที่เรือนจำ
รถบัสคันแรกในปักกิ่งออกเดินทางเวลา 06:30 น. ในตอนเช้า และใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งในการขับรถไปตามถนน
เขาคงไปถึงเรือนจำได้ก่อน เวลา 08:00 น. และจะได้เห็นหลินเพ่ยผู้เป็นที่รักของเขา
ณ เวลา 07:00 น. อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกำลังจะย้ายไปขึ้นรถบัสคันที่สาม
เมื่อออกไปโดยไม่รับประทานอาหารเช้า ท้องของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ร้องด้วยความหิว
เมื่อเห็นร้านขายอาหารข้างสถานี เขาก็รีบไปดูทันที
บางร้านขายซาลาเปา บางร้านขายตับผัด และบางร้านขายเนื้อและเกี๊ยว
น้ำลายแทบไหลจากปากของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน
แต่เขาไม่มีเงินสด ทั้งยังเหลือติดมือเพียงไม่กี่หยวน
เขายังคงต้องใช้เงินนี้เพื่อต้อนรับหลินเพ่ย และเขาจะใช้มันอย่างพร่ำเพรื่อไม่ได้
แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ในบ้านของฝูโช่วกุ้ยและได้กินและอยู่ฟรี แต่หญิงชราก็ไม่ได้ให้เงินค่าขนมเขา
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนซื้อซาลาเปาสองลูกใหญ่ให้ตัวเองเพื่อสนองความหิว
แต่แม้จะกินจนหมด เขาก็ยังไม่อิ่มท้อง
แต่ไม่ว่าอย่างไรชีวิตของหลินเพ่ยก็สำคัญกว่าเขา
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนซื้อซาลาเปาและหันกลับมาขณะรับประทาน เขาบังเอิญไปชนกับหญิงสาวที่ถือชามเฉ่ากาน*
(*炒肝 อาหารประเภทสตูของปักกิ่ง ทำจากตับหมูและไส้หมูตุ๋น ใส่แป้งให้น้ำซุปข้น ปรุงรสด้วยกระเทียม น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วขาว)
ชามเฉ่ากานหกคว่ำใส่หญิงสาวคนนั้น และน้ำซุปร้อนๆ ก็ลวกผิวหนังของหล่อน
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลัวว่าหญิงสาวจะหาเรื่องทะเลาะกับเขาและขอค่ารักษาพยาบาล
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวอยู่ตามลำพัง เขาจึงรีบปรี่เข้าไปหาหล่อนแล้วพูดอย่างดุร้ายว่า “ไม่มีตาหรือยังไงถึงเดินชนคนอื่น?”
หญิงสาวร้องไห้หลั่งน้ำตาและกำลังรอให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนขอโทษ
แต่ไม่คาดคิดว่านอกจากชายผู้นี้จะไม่ขอโทษแล้วยังกล่าววาจาหยาบคายใส่หล่อนด้วย
หญิงสาวโกรธจนน้ำตาไหล หล่อนดึงอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไว้และไม่ยอมปล่อยเขาไป ยืนกรานให้เขาจ่ายค่ารักษาพยาบาลและเฉ่ากานหนึ่งชาม
เมื่อเห็นว่ารถบัสที่เขาโดยสารได้เข้าสู่สถานีแล้ว อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจึงเตะหญิงสาวล้มลงกับพื้นและวิ่งขึ้นรถบัส
ตราบใดที่เขาขึ้นรถบัสได้ ผู้หญิงคนนั้นจะไม่ยุ่งกับเขาอีก
หากอยากให้ชดใช้ค่ารักษาพยาบาลกับค่าเฉ่ากานก็คงต้องรอชาติหน้า
ขณะนั้นเองแฟนของหญิงสาวกำลังซื้อโร่วเจียโหมว*ที่ร้านอื่น
(*肉夹馍 เบอร์เกอร์สไตล์จีน เป็นแผ่นขนมปังผ่าครึ่งสอดไส้เนื้อผัด)
เมื่อเห็นว่าแฟนสาวถูกรังแก เขาก็รีบเข้ามาหาหล่อนทันที
เขาไม่สนใจซื้อโร่วเจียโหมวอีกต่อไป รีบวิ่งไปข้างหน้าและดึงอู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่กำลังจะขึ้นรถบัสลงมา
เขาทั้งต่อยและเตะเพื่อบีบบังคับขอค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยเฉ่ากาน
เพื่อที่จะรักษาเงินที่มีอยู่ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนอ้างว่าเขาไม่มีเงินที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือค่าชดเชยเหล่านั้น
เขาตั้งใจมอบเงินเพียงไม่กี่หยวนให้หลินเพ่ย ดังนั้นเขาจึงไม่อาจสูญเสียให้กับใครได้แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต
ชายคนนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทุบตีเขาอีกครั้ง จากนั้นจึงพาแฟนสาวไปโรงพยาบาลเพราะถูกน้ำร้อนลวก
ทันทีที่คู่รักหนุ่มสาวจากไป อู๋เสี่ยวเจี๋ยนซึ่งนอนอยู่บนพื้นก็ลุกขึ้นทันที
ทันทีที่รถบัสรอบใหม่ที่เขาจะขึ้นเข้ามาในสถานี เขาก็ขึ้นรถทันที
แม้เขาจะเร่งรีบแล้ว แต่เขาก็ล่าช้าไปมากเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
เขามาถึงเรือนจำเวลา 09:00 น. และหลินเพ่ยก็จากไปอย่างไร้ร่องรอย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จังหวะนรกมากเลยไอหมาเอ๊ย ชั่วจัดสินะ เลยมีเหตุให้คลาดกับคนรักตลอด
ไหหม่า(海馬)