บทที่ 589 หน้าเนื้อใจเสือ
ม่านราตรีคล้อยต่ำ คฤหาสน์ตระกูลจวงทยอยจุดฟืนไฟขึ้นให้สว่าง
เหล่าคนรับใช้แต่ละคนมาหยิบโคมที่ระเบียงไป หลังจากจุดแล้วก็เอาไปแขวนไว้อีกครา
ราชครูจวงนั่งอ่านฎีกาที่พวกรองสมุหนายกสวี่มาให้อยู่ในห้องหนังสือ
หมู่นี้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตในราชสำนักว่าเจ้ากรมสิงแตกหักกับจวงไทเฮา ต่างฟื้นฟูตำแหน่งและอำนาจของตัวเอง พฤติกรรมนิ่งดูดายของราชครูจวงตอนที่ไทเฮาโดนใส่ร้ายนั้นว่ากันไปต่างๆ นานา มีขุนนางใหญ่บางคนคิดว่าเขาอกตัญญู ไม่สนใจความเป็นพี่น้อง และขุนนางบางคนก็บอกว่าเขาเป็นคนรู้ความ แค่กำลังร่วมเล่นละครไปกับพวกจวงไทเฮาเท่านั้น
ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ปากขุนนางฝ่ายบุ๋นก็มีไว้เพื่อการนี้ หากจะทำให้พวกเขาหุบปากจริงๆ ก็ต้องหาอะไรใหม่ให้พวกเขาไม่พอใจแทน
สิ่งที่ราชครูจวงสนใจจริงๆ ไม่ใช่การปะทะฝีปากกระจอกงอกง่อยในราชสำนัก แต่เป็น…
สายตาเขาตกลงบนภาพขุนเขาธาราบนผนังฝั่งตรงข้าม
“นายท่าน!” ผู้ดูแลบ้านตระกูลจวงรายงานอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าดีอกดีใจ “จวิ้นอ๋องกลับมาแล้วขอรับ!”
…
นอกประตูใหญ่จวนตระกูลจวงอันโอ่อ่าสง่างาม อันจวิ้นอ๋องในชุดคลุมยาวสีขาวคุกเข่าอยู่ด้านล่างบันได
ช่วงเวลาที่จากบ้านตระกูลจวงไป ราชครูจวงไร้ข่าวคราวจากเขามาโดยตลอด แต่ไม่มีข่าวคราวก็หมายความว่าเขายังไม่ตาย หากตายแล้วเมืองหลวงได้พลิกฟ้าพลิกดินนานแล้ว
ซ้ำราชครูจวงก็ไม่ได้ไปตั้งใจตามหาเขาด้วย ตัดหนทางถอยของเขาทุกทางแล้วก็กะไว้อยู่แล้วว่าเขาคงทนได้ไม่นานหรอก ต้องมีสักวันที่เป็นฝ่ายกลับมาหาตนที่บ้านเอง
เห็นหรือไม่เล่าว่าเป็นดังที่คาดไว้เลย
ราชครูจวงในชุดเสื้อคลุมสีน้ำตาลเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูจวนของตระกูลจวง
เหล่าคนรับใช้ถูกพ่อบ้านผู้ดูแลไล่ออกไปหมด ไม่ว่าราชครูจวงจะลงโทษอันจวิ้นอ๋องอย่างไร อันจวิ้นอ๋องก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของเขา เขาเห็นอันจวิ้นอ๋องตกอับได้ แต่คนรับใช้นั้นจะเห็นไม่ได้
“ข้าน้อยไปดูที่คลังก่อนนะขอรับ” หลังจากปู่หลานพบหน้ากัน ผู้ดูแลก็หาข้ออ้างปลีกตัวออกมา
ราชครูจวงกลับเอ่ย “ไม่ต้อง เจ้าอยู่นี่แหละ”
ผู้ดูแลกระอักกระอ่วน “อ่า ขอรับ”
แบบนี้มันทำเขาลำบากใจไม่น้อยเลย วันนี้ได้เห็นนายน้อยขายหน้า วันหน้านายน้อยเป็นเจ้าบ้านจะไม่กลั่นแกล้งเขาหรือ
ราชครูจวงไม่สนใจผู้ดูแล เขาเดินขึ้นบันไดไปอย่างเนิบๆ กดตามองต่ำไปยังเงาร่างเดียวดายที่คุกเข่าอยู่กับพื้น
ผ่านไปตั้งหลายวัน คงจะรู้ซึ้งถึงความลำบากข้างนอกแล้ว
“เงยหน้าขึ้น”
อันจวิ้นอ๋องค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ทอดสายตามองปู่ตัวเองด้วยสีหน้าเซื่องซึม
ราชครูจวงเดิมคิดจะเอ่ยว่า ‘ดูสารรูปตัวเองสิ ผอมถึงขนาดไหนแล้ว’ ไหนเลยจะรู้เมื่อตั้งใจมองดีๆ แล้ว ถ้อยคำดังกล่าวดันคาอยู่ที่คอ
ตาฝาดหรือไร
เหตุใดจึงรู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้มีเนื้อมีหนังขึ้นได้เล่า
เมื่อก่อนอันจวิ้นอ๋องเป็นบุรุษรูปงามสง่า เพียงแต่ข้างแก้มเขาเว้าลงเล็กน้อย จึงดูเหมือนซูบผอม
ยามนี้ไร้ร่องเว้าแล้ว!
หน้ากลมขึ้นแล้ว หน้าตาดูมีสง่าราศีดีนี่!
แน่นอนว่ายังไม่ถึงกับอ้วนท้วน เพียงแค่…แค่ดูดีขึ้น และหล่อเหลาดุจแสงตะวันสดใสที่เด็กหนุ่มพึงมี
แต่นี่มันแปลกมากเลยมิใช่หรือไร
เขาอยู่บ้านผอมเอาผอมเอา ออกไปทีเดียวเลี้ยงตัวเองจนอ้วนพีเสียแล้ว
ประเด็นคืออันจวิ้นอ๋องถูกกู้เหยี่ยนขูดรีดใช้งานทุกวี่วัน ยิ่งออกแรงกายมากขึ้น ความอยากอาหารก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ไปๆ มาๆ ร่างกายจึงแข็งแกร่งกำยำขึ้น
เดิมทีตอนอยู่ที่จวนข้าวถ้วยเดียวก็อิ่มแล้ว ยามนี้สองชามเขาก็กินไหว สามชามนี่ไม่มีเหลือ!
จู่ๆ ราชครูจวงก็หงุดหงิดขึ้นมา
“ท่านปู่” อันจวิ้นอ๋องเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “หลานกลับมาแล้ว”
ถ้อยคำดังกล่าวนับว่าทำลายความเงียบงันไปชั่วคราว และดึงราชครูจวงกลับมาจากสถานการณ์ที่ไม่รู้จะตอบโต้กลับไปอย่างไร ราชครูจวงเอ่ยเสียงเย็น “เจ้ารู้จักกลับมาด้วยรึ ข้าเตือนเจ้าไปแต่แรกแล้วว่า หากเจ้ากล้าออกประตูนั่นไป ก็อย่าได้คิดจะกลับมาง่ายๆ !”
อันจวิ้นอ๋องก้มหน้า “หลานผิดไปแล้วขอรับ ขอท่านปู่อภัยด้วย”
ราชครูจวงแค่นเสียงเย็น “อภัยอย่างนั้นรึ เจ้าพูดเสียคล่องปากเชียว ภายหน้าได้มีแต่คนเอาเยี่ยงอย่างแน่ อารมณ์ดีก็อยู่บ้าน อารมณ์ไม่ดีก็ออกจากบ้านไป เห็นตระกูลจวงข้าเป็นอะไร!”
อันจวิ้นอ๋องไม่เล่นลิ้นอีกต่อไป เขาก้มหน้าท่าทางนึกเสียใจไม่สิ้น
ผู้ดูแลรีบเกลี้ยกล่อม “นายท่าน จวิ้นอ๋องก็แค่โดนภูตผีบังตาชั่วครู่ ในเมื่อเขารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ท่านก็เห็นแก่ที่เมื่อก่อนเขากตัญญูรู้คุณต่อท่าน อภัยให้สักหนเถิด ภายหน้าจวิ้นอ๋องคงไม่กล้าทำผิดอีกแล้ว ใช่หรือไม่ขอรับจวิ้นอ๋อง”
เขาเอ่ยพลางมองอันจวิ้นอ๋องที่คุกเข่าก้มหน้าสำนึกผิดอยู่ตรงนั้น
อันจวิ้นอ๋องพยักหน้าอย่างทุกข์ใจ “ผู้ดูแลพูดถูก หลานลำบากลำบนอยู่ข้างนอก ภายหน้าไม่กล้าดื้อกับท่านปู่อีกแล้ว”
ประโยคนี้ค่อนข้างไร้น้ำหนัก ขนาดลำบากแต่ยังดูสุขสบายถึงเพียงนี้ หากไม่ลำบากจะถึงเพียงไหน
แต่ราชครูจวงคิดไม่ออกจริงๆ ว่าอันจวิ้นอ๋องมีเหตุผลใดที่จะไม่ลำบาก อย่างไรเสียความสัมพันธ์ที่อันจวิ้นอ๋องสามารถไปขอพึ่งพิงได้ก็ถูกเขาบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือเขา
โรงเตี๊ยมใหญ่ๆ ก็ไม่มีทางให้เขาเข้าพัก
หมู่นี้อย่างมากเขาก็อาศัยเศษเงินติดตัวซุกหัวนอนในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ของพวกชนชั้นต่ำ
“เข้ามาคุกเข่าตรงนี้!” ราชครูจวงเอ่ยเสียงเย็นชา
“ขอรับ”
อันจวิ้นอ๋องขานรับ ผู้ดูแลรีบเดินลงบันไดพยุงอันจวิ้นอ๋องให้ลุกขึ้น
จวิ้นอ๋องของเขาร่างกายอ่อนแอทีเดียว…
ความคิดยังไม่ทันจะหายไป อันจวิ้นอ๋องก็ลุกขึ้นเอง คล่องแคล่วว่องไวสุดๆ
ผู้ดูแล “…”
อันจวิ้นอ๋องตามราชครูไปที่เรือนของเขา
ราชครูจวงให้อันจวิ้นอ๋องคุกเข่าอยู่หน้าห้องหนังสือ
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยเสียงเบา “ขอข้าไปคุกเข่าข้างในเถิด ขายหน้า”
ราชครูจวงแค่นหัวเราะ “เจ้ายังรู้จักขายหน้าอยู่รึ”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างรู้ใจเป็นพิเศษ “ข้าขายหน้าไม่เป็นไรหรอก หากทำท่านปู่อับอายขายหน้าไปด้วยคงแย่”
“เฮอะ!”
ราชครูจวงสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ไล่ออกไป
อันจวิ้นอ๋องคุกเข่าลงตรงกลางห้องหนังสือของเขา
ในเมื่อราชครูจวงข่มอำนาจเขา ย่อมไม่มีทางแสดงความห่วงใยต่อเขามากเกินไป อย่างเช่นถามไถ่เขาว่าหมู่นี้เป็นอย่างไรบ้าง พักอยู่ที่ไหน กินอิ่มท้องหรือไม่ สวมใส่อบอุ่นเพียงใด
หากเขาถาม อาจจะจับพิรุธเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ให้ระแคะระคายได้
อันจวิ้นอ๋องพินิจมองราชครูจวงเป็นระยะ ราชครูจวงเองก็รู้ แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมาก เข้าใจว่าเด็กคนนี้กำลังมองสีหน้าเขาอยู่
เขาเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “อย่าคิดว่าข้าจะยกโทษให้เจ้าเร็วปานนั้น”
“เช่นนั้นต้องคุกเข่าอีกนานเท่าใด” อันจวิ้นอ๋องถามอย่างน้อยใจ
ประโยคนี้เอ่ยออกไป ราชครูจวงก็โมโหขึ้นมา นี่มันมาขอโทษแน่รึ ยังคุกเข่าไม่ทันไรก็อยากจะลุกขึ้นแล้ว
ราชครูจวงเอ่ยอย่างเดือดดาล “คุกเข่าจนกว่าเจ้าจะหลาบจะจำ!”
เดิมทีกะจะให้อันจวิ้นอ๋องกลับเรือนไป ราชครูจวงเปลี่ยนความคิดแล้ว ควรให้เขาคุกเข่าจนพื้นทะลุเสียก่อน!
“นายท่าน”
ผู้ดูแลมาอีกแล้ว
ครานี้แววตาเขาค่อนข้างเก็บงำ
ราชครูจวงกระจ่างทันที มองอันจวิ้นอ๋องบนพื้นอย่างเย็นชา “เจ้าคุกเข่าดีๆ นะ!”
“ขอรับ” อันจวิ้นอ๋องขานรับอย่างน้อยใจ
ราชครูจวงออกจากห้องหนังสือไป
อันจวิ้นอ๋องรีบลุกขึ้นเอาหูแนบช่องว่างระหว่างประตู
ผู้ดูแลเอ่ยเสียงเบา “นายท่าน เจี่ยงผิงกลับมาแล้ว เขาบอกว่ามีเรื่องจะรายงานขอรับ ให้พาเขามาเลยหรือไม่”
ราชครูจวงหันกลับมามองห้องหนังสือที่แง้มประตูไว้ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ช่างเถิด เจ้าให้เขาไปรอที่ห้องน้ำชาของข้าก่อน”
ผู้ดูแลเอ่ย “ขอรับ”
เมื่อราชครูจวงกลับมาถึงห้องหนังสือ อันจวิ้นอ๋องก็คุกเข่าอย่างนอบน้อมแล้ว สายตาราชครูจวงกวาดมองภาพวาดขุนเขาธาราบนผนังแวบหนึ่ง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยกับอันจวิ้นอ๋อง “เจ้ากลับไปก่อน!”
“ขอบคุณขอรับท่านปู่” อันจวิ้นอ๋องประสานมือค้อมกายให้ จับโต๊ะพยุงตัวลุกขึ้นมา
คล้อยหลังเขาไปแล้ว ราชครูจวงจึงได้ไปห้องชาที่อยู่อีกด้านหนึ่งของทางเดิน
ส่วนอันจวิ้นอ๋องเดินเล่นอยู่ด้านนอกรอบหนึ่งจึงกลับมา
“ป้ายหยกข้าตกอยู่ข้างใน”
เขาบอกบ่าวรับใช้ที่เฝ้าเรือนอยู่
อันจวิ้นอ๋องเดิมทีอยู่ในบ้านตระกูลจวงก็พิเศษอยู่แล้ว สามารถเดินเข้าออกเรือนของราชครูจวงได้อย่างอิสระ ผนวกกับเมื่อครู่นี้เขาถูกราชครูจวงพาตัวกลับมาเอง ก็หมายความว่าความขัดแย้งระหว่างปู่หลานหายไปแล้ว บ่าวรับใช้จึงไม่กล้าขวางเขาไว้ และปล่อยเขาเข้ามา
อันจวิ้นอ๋องฝีเท้ารีบร้อนไปยังห้องหนังสือของราชครูจวง ไม่แวะหาตรงไหนทั้งนั้น เขาตรงไปยังภาพวาดขุนเขาธาราบนผนังฝั่งตรงข้ามโต๊ะหนังสือทันที
เมื่อครู่เขาสังเกตเห็นว่าตอนที่ท่านปู่อ่านฎีกาอยู่ได้มองตรงนี้ทั้งหมดสามรอบ ตอนที่ออกไปคุยกับผู้ดูแลก็มองอีกรอบหนึ่ง ตอนที่ให้เขากลับเรือนก็มองอีกรอบ
จากที่เขารู้จักท่านปู่มา ด้านหลังภาพภาพนี้ต้องมีลับลมคมในแน่!
เขาเอาภาพนั้นลงมา แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องผิดหวังก็คือ ด้านหลังภาพเป็นผนังธรรมดาๆ
ไม่มีช่องลับใดๆ ทั้งสิ้น
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้น หรือข้าจะคิดมากไป ท่านปู่แค่ชอบภาพนี้เฉยๆ อย่างนั้นรึ ภาพนี้ราคาแพงเท่าเมืองหรือไร”
เหมือนจะเป็นภาพโบราณมีค่ามีราคาจริงๆ
อันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้ว “ไม่สิ ต้องมีปัญหาตรงไหนแน่ๆ ท่านปู่เป็นคนมองการณ์กว้างไกลเพียงนั้น จะมากังวลขนาดนี้กับภาพโบราณๆ ภาพเดียวได้อย่างไร”
ตุ้บ!
อันจวิ้นอ๋องมือลื่น ม้วนภาพจึงร่วงลงพื้น นึกไม่ถึงว่าตรงปลายของม้วนภาพวาดจะหล่นออกมา
เขารีบนั่งยองๆ เก็บม้วนภาพขึ้นมา แล้วดึงส่วนปลายม้วนภาพที่ดูเหมือนเป็นเนื้อเดียวกันแต่ความจริงเอามาติดเฉยๆ
ม้วนมันกลวง!
ด้านในมีของ!
อันจวิ้นอ๋องพลิกม้วนภาพลง ม้วนราชโองการสีเหลืองร่วงออกมา
อันจวิ้นอ๋องคลี่ออกดู นึกไม่ถึงว่าจะพบว่าเป็นราชโองการเปล่าของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ประทับตราพระราชลัญจกรและตราประทับใหญ่ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนเอาไว้
หากเขียนบางอย่างไว้ในนี้ ก็จะกลายเป็นราชโองการสั่งเสียของฮ่องเต้พระองค์ก่อนทันที!
จะยกเลิกตำแหน่งของฝ่าบาท แต่งตั้งหนิงอ๋อง ชินอ๋องหรือองค์ชายคนไหนขึ้นมาแทนก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว!
นี่คือสิ่งที่เจี่ยงผิงนำกลับมาจากมือคนแคว้นเยี่ยนใช่หรือไม่
เป็นไพ่ตายที่จิ้งไท่เฟยทิ้งไว้ให้ฉินเฟิงเยียนรึ
ในเมื่อจิ้งไท่เฟยมีของร้ายกาจเพียงนี้อยู่ เหตุใดไม่เอาออกมารักษาชีวิตตัวเองตั้งแต่แรกล่ะ
ไม่มีเวลามาจัดการกับความสงสัยเหล่านี้แล้ว อันจวิ้นอ๋องรู้แต่ว่าสิ่งของน่ากลัวเพียงนี้จะให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของปู่ตัวเองไม่ได้เด็ดขาด!
เขาถือราชโองการไว้ แล้วแขวนภาพคืนสภาพเดิม
เขาเดินมาตรงประตู
ครุ่นคิด กัดฟันย้อนกลับมาอีก
….
ดึกสงัดลมกระโชกแรง
อันจวิ้นอ๋องถือราชโองการในอ้อมอกเดินออกมาข้างนอกด้วยสีหน้ารีบร้อน
“จวิ้นอ๋อง”
ระหว่างทางมีบ่าวรับใช้และสาวใช้ไม่น้อยทักทายเขา
เขาไม่สนใจสักคน ตรงปรี่ไปทางประตูใหญ่ของตระกูลจวงทันที
“จวิ้นอ๋อง ดึกดื่นเพียงนี้แล้วจะออกไปอีกหรือ” บ่าวรับใช้เฝ้าประตูถามขึ้น
อันจวิ้นอ๋องแววตาเป็นประกาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ “ข้ามีธุระจะออกไปสักเดี๋ยว”
“ให้ส่งคนไปกับท่านด้วยหรือไม่” บ่าวรับใช้ถาม
“ไม่ต้อง” อันจวิ้นอ๋องปฏิเสธ
บ่าวรับใช้พูดอะไรต่อไม่ได้ จึงเบี่ยงกายหลบให้เขา
อันจวิ้นอ๋องสาวเท้าข้ามธรณีประตูสูง เท้าข้างหนึ่งเพิ่งจะก้าวออกไปยังไม่ทันแตะพื้นดี ด้านหลังก็มีเสียงเย็นเยียบน่าเกรงขามของราชครูจวงดังขึ้นแล้ว “หยุดเดี๋ยวนี้!”