บทที่ 712 ร่วมโต๊ะดีไหม

บทที่ 712 ร่วมโต๊ะดีไหม

ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างประหลาดใจ “พี่อี้หย่วนเยอะขนาดนี้พวกเราจะกินหมดหรือคะ?”

อาหารทั้งหมดในมหาวิทยาลัยราคาไม่แพง วันนี้ได้เห็นก็รู้แล้วว่าคำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก

ได้ยินว่าทุกปีประเทศได้ให้เงินอุดหนุนกับสถานศึกษาเป็นจำนวนไม่น้อย มหาวิทยาลัยจิ่งเฉิงก็ซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก เกรงว่าเงินอุดหนุนทั้งหมดคงไปอยู่ที่โรงอาหารแล้วมั้ง?

“ไม่เป็นไรไม่ใช่ว่าเอากล่องข้าวมาหรือ? ถ้ากินไม่หมดค่อยเอากลับไปก็ได้!” ฉืออี้หย่วนมีท่าทีไม่ยี่หระมองซูเสี่ยวเถียนด้วยรอยยิ้ม

นับวันยิ่งโตขึ้นความรู้สึกที่ฉืออี้หย่วนมีต่อซูเสี่ยวเถียนก็ไม่ได้บริสุทธิ์เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าตัวเองต้องการอะไร แต่น้องยังเด็กเกินไป เขาทำได้เพียงเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้เพื่อไม่ให้เธอตกใจกลัว

เขาจะคอยปกป้องอยู่ข้างกายเด็กสาวตัวน้อยอยู่เงียบ ๆ รอจนกว่าเด็กสาวตัวน้อยจะโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย!

ตัวเขาเองล้วนไม่รู้ว่าในตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเอ็นดู

เสียงพูดคุยของทั้งสองคนไม่ได้ดังนักแต่พวกฉีเสี่ยวฟางที่นั่งอยู่ข้างพวกเขาก็ได้ยิน

ฉีเสี่ยวฟางที่ได้ยินคำพูดนี้แทบอยากจะพุ่งออกไปพูดว่า : พวกเธอกินไม่หมดก็แบ่งมาให้ฉันก็ได้ ฉันกินได้!

แต่โชคดีที่ฉีเสี่ยวฟางยังมีเหตุผลอยู่ จึงหักห้ามใจควบคุมความรู้สึกที่อยากพุ่งออกไปของตัวเองไว้ได้

อิ่นหรูอวิ๋นเห็นสายตาของฉืออี้หย่วนทั้งร่างก็รู้สึกไม่ดีนัก

เธอรู้สึกว่าจากการเรียกชื่อของทั้งสองคนนี้ไม่น่าใช่พี่น้องกัน ถ้าอย่างนั้นพวกเขาเป็นอะไรกันล่ะ? หรือจะเป็นลูกพี่ลูกน้อง?

พี่ชายที่เอ็นดูน้องสาวมากแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจราวกับมีกรงเล็บมาข่วนที่หัวใจ

ทันใดนั้นเองเธอถึงขั้นรู้สึกเจ็บปวดราวกับของของตัวเองถูกคนฉกชิงไป

ผู้ชายคนนี้เป็นของเธอในอนาคตจะต้องอยู่กับเธอ ต้องปฏิบัติอย่างดีต่อเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น

แม้แต่น้องสาวแท้ ๆ ก็ไม่อาจครอบครองพื้นที่ในหัวใจของเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหากไม่ใช่น้องสาวก็ยิ่งไม่มีสิทธิ์!

หากฉืออี้หย่วนรู้ความคิดในใจของอิ่นหรูอวิ๋นจะต้องด่าออกมาประโยคหนึ่งแน่นอนว่า : สมองเธอมีปัญหาหรือ! ถ้าป่วยก็ไปรักษา!

อิ่นหรูอวิ๋นทนไม่ได้อีกต่อไปเธอลุกขึ้นมาอย่างนุ่มนวลทั้งยังยกมือลูบผมเล็กน้อย ก้าวไปข้างหน้าด้วยท่วงท่างดงามมีเสน่ห์และอ่อนโยน

“เสี่ยวเถียนบังเอิญจัง ไม่นึกว่าพวกเราจะมาเจอกันที่โรงอาหารด้วย”

อิ่นหรูอวิ๋นคลี่ยิ้มแสดงท่าทีต่อซูเสี่ยวเถียนอย่างดี

แต่หากมองให้ละเอียดจะเห็นว่า แม้เธอจะพูดกับซูเสี่ยวเถียนแต่สายตากลับมองไปยังฉืออี้หย่วนความเสน่หาที่แสดงออกทางสีหน้าไม่มีการปกปิดเลยแม้แต่น้อย

เดิมทีซูเสี่ยวเถียนยังคิดว่าอิ่นหรูอวิ๋นคงไม่ลงมือเข้าหาก่อน

ใครจะคิดว่าคน ๆ นี้จะหน้าไม่อายจริง ๆ

ซูเสี่ยวเถียนกลอกตาในใจ คน ๆ นี้ไม่รู้หรือว่าการรบกวนมื้ออาหารของคนอื่นมันเสียมารยาท?

อาหารของพวกเขาถูกนำขึ้นโต๊ะหมดแล้วตอนนี้คิดจะมากินด้วยกันหรือ?

ในชนบทมีแค่คนที่คิดจะไปกินข้าวฟรีบ้านคนอื่นเท่านั้น ที่เลือกจะรบกวนเวลาที่คนอื่นกินข้าว! ในใจของอิ่นหรูอวิ๋นคิดเช่นนี้จริง ๆ เธอแทบทนไม่ไหวที่จะได้รวมโต๊ะทั้งสองกลายเป็นโต๊ะเดียวกัน

เธอไม่ใช่เพียงแค่อยากกินอาหารสองจานนั้นบนโต๊ะเท่านั้น แต่ยังอยากจะใกล้ชิดกับผู้ชายที่เธอต้องตาต้องใจขึ้นอีกหน่อยด้วย

ในใจเธอคิดแบบนี้แต่ปากก็ยังพูดเช่นนี้

“เสี่ยวเถียนเธอดูสิ ยากนะที่พวกเราจะมาเจอกันที่โรงอาหาร นี่ต้องเป็นพรหมลิขิตแน่เลย ไม่อยากนั่งด้วยกันหรือ? มีที่ว่างสำหรับคนอื่นพอดีเลย!”

คำพูดสวยหรูมากมายนี้ล้วนเป็นท่าทีพิจารณาผู้อื่น

หากแค่เธอสามารถเก็บสายตาที่ต้องการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของได้คำพูดนี้จะน่าเชื่อถือขึ้นมาก

ซูเสี่ยวเถียนไม่คิดจะปล่อยให้อิ่นหรูอวิ๋นทำตามใจ

ทำไมเธอต้องมาร่วมโต๊ะกับอีกฝ่ายด้วย

มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ในใจคิดอะไรอยู่

คนแบบนี้ควรจะอยู่ให้ห่างไว้เป็นดี

ตอนนี้ซูเสี่ยวเถียนมีเพียงความคิดเดียวนั่นคือเพราะไม่เปลี่ยนแปลงจึงยิ่งควรเปลี่ยนแปลง*[1] ไม่ว่าเธอจะวางแผนอะไรไว้ถึงอย่างไรอย่าไปเห็นด้วยจึงจะถูก เพียงแต่หากจะปฏิเสธก็ต้องหาเหตุผลที่สมเหตุสมผล

ซูเสี่ยวเถียนครุ่นคิดครู่หนึ่งโต๊ะในโรงอาหารหากไม่เป็นโต๊ะสำหรับสี่คนก็จะเป็นสำหรับหกคน หากคนมากกว่านี้จะนั่งไม่พอ

เธอกับฉืออี้หย่วนมาแต่เช้าเพื่อจองโต๊ะสำหรับหกคน

หากรู้เร็วกว่านี้คงหาโต๊ะสำหรับสี่คนไปแล้วซึ่งจะแก้ปัญหานี้ได้

ในตอนนั้นเองที่ซูเสี่ยวเถียนเห็นพวกฉู่เยว่กำลังไปรับข้าว

“ต้องขอโทษจริง ๆ โต๊ะนี้พวกเรามีห้าคนแล้วถ้าเพิ่มพวกเธอไปด้วยคงไม่มีทางนั่งได้”

ซูเสี่ยวเถียนยิ้มอย่างไม่จริงใจยิ่ง แต่ทำให้คนพูดไม่ออกว่าแปลกตรงไหน

ในหอพักจะก่อเรื่องวุ่นวายอย่างไรก็ได้แต่ที่นี่คือข้างนอก หากไม่ปรานีตนแม้แต่น้อยด้วยรูปลักษณ์ดอกบัวขาวของอิ่นหรูอวิ๋น คาดว่าตนต้องถูกคนประณามแน่

ตามหลักแล้วมากกว่าเรื่องหนึ่งยังไม่สู้น้อยกว่าเรื่องหนึ่ง ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้คิดจะทะเลาะกับอิ่นหรูอวิ๋นข้างนอกมากเกินไปนัก

เป็นไปดังคาดใบหน้าของอิ่นหรูอวิ๋นปรากฏความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นทันที ดวงตากลมโตงดงามทั้งสองข้างถูกปกคลุมไปด้วยม่านน้ำราวน้ำตากำลังจะไหลออกมา

ฉืออี้หย่วนเห็นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ผู้หญิงคนนี้เสียสติไปแล้วหรือ?

ไม่ใช่ว่าแค่ปฏิเสธการขอร่วมโต๊ะกับเธอหรือ? ทำอย่างกับมีคนรังแกเธอเสียอย่างนั้น!

โดยเฉพาะเมื่อฉืออี้หย่วนเห็นซูเสี่ยวเถียนได้รับความไม่เป็นธรรม แต่ยังต้องแสร้งทำท่าทีมีความสุขในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ

น้องสาวที่มีพวกพี่ชายหลายคนคอยปกป้อง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยปล่อยให้น้องสาวได้รับความไม่เป็นธรรม ทำไมถึงต้องมาถูกผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มารังแกด้วย?

ผู้หญิงคนนี้ทำให้คนรู้สึกขยะแขยงจริง ๆ!

ในเมื่อในใจก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว ฉืออี้หย่วนก็ยิ่งไม่อยากเห็นคน ๆ นี้อีกต่อไป!

“เพื่อนนักศึกษาคนนี้ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็หลบหน่อยพวกเราต้องกินข้าวแล้ว!” ฉืออี้หย่วนพูดอย่างเย็นชา

ไม่ง่ายเลยที่จะได้ยินผู้ชายที่ตัวเองชื่นชอบพูดกับตัวเอง แต่คำพูดประโยคนี้ทำให้อิ่นหรูอวิ๋นรู้สึกราวกับหัวใจแตกสลายเป็นเสี่ยง

เธอกดมือขาวผ่องไว้บนอกตัวเองเบา ๆ ท่าทางไม่มั่นคงราวกับกำลังจะล้มลง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเห็นท่าทางราวกับซีซือกุมอก*[2]ของเธอ

แน่นอนว่าแม้จะเห็นก็คงไม่ใส่ใจ

ซูเสี่ยวเถียนมองไปทางพวกฉู่เยว่ทั้งสามคนที่กำลังเข้าแถวอยู่ ขณะนั้นทั้งสามคนก็ได้รับอาหารแล้ว

ทั้งสามคนถือกล่องอาการคนละกล่องกำลังหาที่นั่ง

เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนนี้ต่างจากพวกอิ่นหรูอวิ๋น ตอนที่พวกเธอหาที่นั่งก็พยายามเลือกที่นั่งซึ่งค่อนข้างไกลจากฉืออี้หย่วนและซูเสี่ยวเถียน

แต่ในตอนนี้คนมากินข้าวเยอะมากที่นั่งส่วนใหญ่ล้วนถูกคนจับจองไปแล้ว หากจะหาที่นั่งย่อมไม่ง่ายเลย

ทั้งสามคนปรึกษากันว่าต้องกลับไปกินข้าวที่หอพักหรือไม่

ซูเสี่ยวเถียนรีบวิ่งไปเรียกคน

“ฉู่เยว่ หงเหมย เยี่ยนอันมานั่งตรงนี้สิ!”

ซูเสี่ยวเถียนยิ้มสดใสโบกมือให้ทั้งสามคน ก่อนจะวิ่งไปตรงหน้าทั้งสามคน

ทั้งสามคนมองหน้ากัน นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?

ล้วนนัดหมายกันไว้แล้วทำไมต้องให้พวกเธอไปกินข้าวด้วยล่ะ?

กินข้าวกับคนแปลกหน้าจะสะดวกหรือ?

“เสี่ยวเถียนพวกเราว่าไม่ดีนะ เธอน่าจะไม่สะดวก!” ต่งเยี่ยนอันพูดอย่างลังเล

[1] ไม่เปลี่ยนแปลงจึงยิ่งควรเปลี่ยนแปลง หมายถึง ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเราจึงควรสังเกตการเปลี่ยนแปลงเมื่อทำสิ่งต่าง ๆ ไม่ต้องแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลง หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเอาไว้ และทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ให้ถ่องแท้

[2] ซีซือกุมอก หมายถึง หญิงงามที่แม้ในตอนที่เจ็บปวดก็ยิ่งดูงดงาม