เล่ม 1 ตอนที่ 186-2 คำเชิญของสวินหลัน

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 186-2 คำเชิญของสวินหลัน

สวินหลันยิ้มขื่น “ช่วงเวลาหลายปีนั้นช่างคล้ายกับความฝัน หากเป็นไปได้ข้ายินดีละทิ้งทุกอย่างตรงหน้าเพื่อกลับไปยังช่วงหลายปีนั้น”

กลับไปช่วงหลายปีนั้นเพื่อแย่งหมิงซิวของข้าน่ะหรือ หึ ฝันไปเถอะ

เอ๋ เหตุใดข้าถึงได้จิตใจชั่วร้ายเพียงนี้

คนเขากำลังพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจอยู่นะ ช่วยเป็นผู้ (ถัง) ฟัง (ขยะ) ที่ดีหน่อยได้หรือไม่

เฉียวเวยหาวทีหนึ่ง

“พอองค์หญิงเสีย พวกเราเสียใจกันมาก หมิงซิวคล้ายเปลี่ยนเป็นคนละคนภายในข้ามคืน ไม่เดือดดาลเช่นในวันวานอีก เขาขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมกิน ไม่ยอมดื่ม เขาเป็นอย่างนั้นใจข้าก็รู้สึกไม่ดี ข้าไปเกลี้ยกล่อมเขา เกลี้ยกล่อมอยู่นานมาก…”

สวินหลันพูดของตนไปเบาๆ หันมาอีกทีเฉียวเวยก็หลับไปแล้ว

ครั้งนี้เฉียวเวยนอนหลับสนิทมาก ฝันยังไม่ฝัน จนกระทั่งสวินหลันเขย่าปลุกนางให้ตื่น บอกว่านายท่านเริ่มฟื้นแล้ว นางถึงได้ขยี้ตาแล้วไปที่ห้องข้างๆ

“นายท่านเพิ่งตื่นมาครั้งหนึ่ง ร้องขอน้ำดื่ม” โจวมามาบอกกล่าวด้วยความระมัดระวัง

เฉียวเวยใช้นิ้วแหวกเปลือกตาจีซั่งชิงออก ลูกตาของจีซั่งชิงสั่นไหวเล็กน้อย เฉียวเวยเลยรู้ว่าเขาฟื้นแล้ว “ท่านพ่อ ข้าจะดูอาการให้นะ ไม่ต้องตื่นเต้นไป”

จีซั่งชิงนอนนิ่งอย่างให้ความร่วมมือเต็มที่

“นี่กี่นิ้ว” เฉียวเวยยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว

จีซั่งชิงตอบว่า “สอง”

“นี่เล่า” เฉียวเวยยกเพิ่มอีกสองนิ้ว

“สี่”

อื้อ ได้สติเต็มที่แล้ว

โจวมามาอึ้งงัน นี่มันวิธีการตรวจโรคอะไรกัน

ในยุคโบราณไม่มีเครื่องฟังตรวจ อันที่จริงเป็นเรื่องยุ่งยากมาก นางอยากฟังความเคลื่อนไหวภายในหน้าอกก็ทำได้ไม่สะดวก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมตอนฝังเข็มนางถึงให้ทุกคนออกไป ก็เพราะเหตุนี้เอง

ตอนนั้นจีซั่งชิงกำลังไม่ได้สติ นางสามารถทำได้โดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด แต่เวลานี้เขาตื่นแล้ว นางไม่อาจแหวกเสื้อเขาแนบหูฟังได้อีก ยังดีที่ชีพจรเป็นปกติทุกอย่างแล้วทั้งยังได้สติเต็มที่ น่าจะไม่เป็นอะไรมากแล้ว

เฉียวเวยปิดกล่องเครื่องมือ

จีซั่งชิงเอ่ยว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”

เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไร ข้าควรทำอยู่แล้ว ในบ้านยังมียาหอบหืดหรือไม่”

“มี” จีซั่งชิงพยักหน้าเรียบๆ

เฉียวเวยเลยบอกว่า “เช่นนั้นท่านพ่อดื่มต่อไปก็พอ หากมีตรงใดไม่สบายก็อย่าฝืน จะได้เชิญท่านหมอมาให้ทันกาล” นางรู้ว่าหมอหลูเป็นหมอประจำเรือนถง นางไม่อยากไปแย่งงานใคร

พอเดินออกมาจากห้องของจีซั่งชิง เฉียวเวยถึงได้รู้ว่าข้างนอกมีฝนของฤดูใบไม้ร่วงตกโปรยปรายลงมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ฝนในฤดูใบไม้ร่วงทำให้โคมไฟเปียกชื้น แสงไฟจึงอ่อนแสงลง

ปี้เอ๋อร์กับโจวมามาเฝ้าอยู่หน้าห้องจีซั่งชิงตลอดเวลา ไม่ค่อยได้นอนเท่าไรนัก นางหาวหวอดๆ แล้วจะเอากล่องเครื่องมือแพทย์ของเฉียวเวยไปถือ

เฉียวเวยจึงบอกว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าถือเอง เจ้ากลับไปนอนพักเถอะ พรุ่งนี้ไม่ต้องมาเข้าเวรแล้ว”

“ขอบคุณฮูหยินมากเจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์หาวออกมาอีกรอบ

“เวลานี้ยามอะไรแล้ว” เฉียวเวยถามโจวมามา

โจวมามาตอบว่า “เรียนฮูหยิน ยามเหม่า[1]เจ้าค่ะ”

ตีห้าแล้วหรือนี่ ฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวกลางวันสั้นกลางคืนยาว ดูจากท้องฟ้ายังเหมือนดึกสงัดอยู่เลย

โจวมามาเอ่ยว่า “อากาศหนาว บ่าวไปเอาเสื้อคลุมมาให้ฮูหยินน้อยแล้วกันนะเจ้าคะ!”

เฉียวเวยโบกมือ “ไม่ต้องลำบากหรอก เดินสักหน่อยก็อุ่นเอง”

สวินหลันเดินเข้ามา “อีกไม่นานก็ฟ้าสางแล้ว อยู่กินข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยกลับดีหรือไม่”

เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ดูเหมือนข้าจะยังนอนไม่พอ เลยอยากกลับไปงีบต่ออีกสักหน่อย”

นี่ไม่ใช่การบ่ายเบี่ยง นางง่วงอยู่จริงๆ เมื่อครู่หลับลึกก็จริง แต่กลับไม่ทำให้หายเหนื่อย

“เช่นนั้นข้าคงไม่รั้งเจ้าไว้แล้ว พอดีเลย เวลานี้หมิงซิวน่าจะไปประชุมราชการเช้าพอดี เจ้ากลับไปจะได้ไปส่งเขา”

เฉียวเวยคิดในใจว่าไปส่งไม่ทันแล้ว ทุกวันเขาจะออกจากบ้านตอนยามอิ๋นหกเค่อ (ประมาณตีสี่ครึ่ง) นี่ยามเหม่าเข้าไปแล้ว เขาต้องไปแล้วแน่นอน

เฮ่อ หากไม่ใช่เพราะเมื่อคืนพ่อสามีเกิดป่วย ครั้งแรกในชาติที่แล้วของนางคงได้มอบให้เขาไปแล้ว

เฉียวเวยเดินออกไปอย่างห่อเหี่ยว

ปี้เอ๋อร์รับร่มที่โจวมามาส่งให้แล้วกางไว้เหนือศีรษะผู้เป็นนาย

เดินไปไม่กี่ก้าวเฉียวเวยก็หยุดเดิน นิ่งมองตรงไปข้างหน้า

“มีอะไรหรือ ฮูหยิน” ปี้เอ๋อร์มองตามที่เจ้านายตนมองไป คิดว่าตนเองตาฝาดไปแล้วเสียอีกจึงขยี้ตา “อ๊ะ! คุณชาย?”

เฉียวเวยเอากล่องเครื่องมือขึ้นมาอุ้มแล้วรีบร้อนเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายจนแทบจะชนกับหน้าอกของเขา

เขาประคองนางไว้

เฉียวเวยเงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาที่ดูอ่อนล้าของอีกฝ่าย “ท่านคงไม่ได้รออยู่ที่นี่ทั้งคืนกระมัง”

ฝนตกหนักเพียงนี้ หนาวเข้าไปถึงกระดูก จะทนไหวได้อย่างไร

มือจีหมิงซิวถือร่มอยู่ มืออีกข้างหนึ่งเช็ดหยดน้ำฝนที่ตกลงมาตามปรอยผมของนางให้แล้วเอ่ยทอดถอนใจเสียงอ่อนว่า “ข้าก็ไม่อยากรอหรอก แต่สองขาข้ามันไม่เชื่อฟัง ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้”

ในใจเฉียวเวยมีความหวานแผ่ซ่านขึ้นมาบางๆ นางอุ้มกล่องไว้แล้วเอาศีรษะพิงลงบนอกเขา

ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่สามีของตนลำบากยืนรอตนอยู่กลางสายฝนทั้งคืน การที่เขารอนางเช่นนี้ เชื่อว่าไม่มีสตรีนางใดที่ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

จีหมิงซิวมองท่าทางประหนึ่งแมวน้อยของนาง ใบหน้ามีแววอ่อนโยนปรากฏให้เห็น

สวินหลันยืนอยู่ใต้ชายคา ในมือถืออุปกรณ์กันฝน คล้ายว่าคิดจะเอามาให้เฉียวเวย นางมองคู่รักที่ยืนกอดกันอยู่กลางสายฝน มองสายตารักใคร่ของเขา สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้เดินออกมา

จีหมิงซิวถือร่มแล้วเอากล่องส่งให้หญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ส่วนตนปลดเสื้อคลุมกันลมออกแล้วเอามาห่มคลุมให้เฉียวเวย พวกเขาเดินฝ่าลมฝนกลับไปยังบ้านชิงเหลียน

ทั้งสองเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าแห้งสะอาดแล้วนอนลงบนเตียงที่อ่อนนุ่ม

อันที่จริงควรจัดการเรื่องที่ยังจัดการไม่แล้วเสร็จให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็จนใจเมื่อได้คิดถึงความวุ่นวายที่ผจญมาทั้งคืน ต่างฝ่ายเลยต่างไม่มีอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่

จีหมิงซิวก้มลงมาตามหากลีบปากที่อ่อนนุ่มของนางแล้วจุมพิตลงไปเบาๆ ทีหนึ่ง

เฉียวเวยเองก็จุมพิตตอบกลับเขาเช่นกัน

ในใจทั้งสองอาบฉ่ำไปด้วยความหวาน

เขายิ้มด้วยความรักใคร่ “หลับเถอะ”

“อื้อ” เฉียวเวยพยักหน้า

ไม่นานเฉียวเวยก็เข้าสู่นิทรารมย์ นางหลับไปครั้งนี้ก็ยาวไปถึงสองชั่วยาม ตอนนางลืมตาขึ้นมาอีกที ข้างกายก็ไม่มีใครอยู่แล้ว

เยียนเอ๋อร์เลิกผ้าม่านเดินเข้ามา “ฮูหยินน้อย ท่านตื่นแล้วใช่หรือไม่”

เฉียวเวยลูบผมที่นอนจนออกจะยุ่งเหยิงไปเล็กน้อย นี่นางเป็นอะไรไป คล้ายยังนอนไม่ตื่นกระนั้น

“คุณชายเล่า” นางถาม

เยียนเอ๋อร์ตอบว่า “คุณชายไปประชุมราชการเช้าแล้วเจ้าค่ะ พี่ปี้เอ๋อร์ยังพักอยู่ บ่าวช่วยท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นะเจ้าคะ”

[1] ยามเหม่า คือช่วงเวลา 5.00-7.00 น.