บทที่ 735 ทำลายล้าง!

เมื่อดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังที่กำลังต่อสู้กับเหล่าอริยะมหามรรคอยู่มองเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้น เขาก็ไม่ได้รีบร้อนมาจัดการหานเจวี๋ย ถึงอย่างไรเบื้องหน้าก็มีอริยะมหามรรคมากมายปานนั้นขวางอยู่

ถึงแม้อริยะมหามรรคยี่สิบสามรายจะมิใช่ฝ่ายได้เปรียบ แต่เขาก็รับไม่ค่อยไหวเช่นกัน

‘จะต้องคิดหาทางล่อเขามาสู้กับข้าแบบตัวต่อตัวให้ได้’

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังคิดเงียบๆ เขาขยับนิ้วร่ายวิชา เปลวเพลิงร้อนแรงน่าหวาดหวั่นสายแล้วสายเล่าแผ่ขยายออกไปยาวนับล้านลี้

มองจากการต่อสู้ของเหล่าอริยะมหามรรคแล้วไม่นับว่ายิ่งใหญ่นัก เหล่าอริยะก็ทำได้เช่นกัน แต่พลังเวทของพวกเขาเข้มข้นนัก พลังวิเศษแต่ละชนิดแฝงความเปลี่ยนแปลงนับหมื่นนับพันไว้

เอาแค่ในตอนนี้ ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังถูกพลังวิเศษวิชามายาสารพัดอย่างเข้าโจมตี แต่เขาล้วนกำจัดทิ้งไปได้ทีละอย่างๆ

มิใช่แค่พลังมายาเท่านั้น ยังมีพลังแห่งกรรม พลังวิเศษทำลายล้าง ถึงขั้นที่มีแรงกรรมพัวพันด้วย

ขณะที่ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังกำลังคิดหาทางอยู่ เหล่าอริยะมหามรรคก็แอบคิดอยู่ในใจเช่นกัน

พวกเขาโมโหดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังจริงๆ ทว่าไม่คิดจะเป็นศัตรูคู่แค้นกับอีกฝ่ายอย่างแท้จริง

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังก็คือดวงจิตมหามรรค มีจอมเทวาฟ้าบุพกาลผู้เลื่อนลอยเลิศล้ำอยู่เบื้องหลัง

เหตุผลที่พวกเขาปกป้องวังสวรรค์ เพราะเกรงว่าดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังจะทำการสังหารล้างบาง

วันนี้หากดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังสามารถทำลายล้างวังสวรรค์ได้ พรุ่งนี้จะทำลายสำนักดวงชะตาของพวกเขาก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกเช่นกัน อีกอย่างวังสวรรค์จะล่มสลายไม่ได้ มิ่งที่หลบหนีไปแล้วจะต้องยึดวังสวรรค์เป็นเป้าหมายหลักแน่นอน

“ดวงจิตมหามรรคท่านนี้ ไยท่านต้องพุ่งเป้ามาที่ข้าด้วย”

หานเจวี๋ยเหาะเข้ามาอยู่ด้านหลังเหล่าอริยะมหามรรค เอ่ยถามเสียงหมอง น้ำเสียงเศร้าสร้อย

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังหยุดมือ เหล่าอริยะมหามรรคก็หยุดมือเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่อยากต่อสู้ ถึงอย่างไรต่างฝ่ายต่างก็มิใช่ศัตรูหลักของกันและกัน ไม่จำเป็นต้องสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังจ้องหานเจวี๋ยด้วยความโกรธ เอ่ยว่า “เจ้าไม่เคารพจอมเทวาฟ้าบุพกาล ไม่เคารพกฎมหามรรค หลังจากสำเร็จมหามรรค เจ้าไม่เคยสร้างคุณูปการต่อฟ้าบุพกาลเลย สวรรค์มีกฎแห่งสวรรค์ มหามรรคก็มีกฎแห่งมหามรรคเช่นกัน!”

ดีมาก!

โอกาสมาถึงแล้ว!

เขาต้องคิดหาทางทำให้เหล่าอริยะมหามรรคล่าถอยไป สร้างโอกาสให้เขาได้เผชิญหน้ากับหานเจวี๋ยตามลำพัง

หานเจวี๋ยกัดฟันเอ่ย “เพียงเพราะเหตุผลนี้หรือ ไม่เหลือทางรอดให้ข้าสักนิดเลยหรือ”

เขาแสดงความกริ่งเกรง สิ้นหวังและโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างเต็มที่

สิ่งมีชีวิตแห่งวังสวรรค์และเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ตื่นตระหนกแล้ว หานเจวี๋ยมาเพื่ออ้อนวอนอย่างนั้นหรือ

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายและโจวฝานอดมองไปทางหานทั่วด้วยสายตาคาดโทษไม่ได้

หานทั่วมึนงง

หรือว่าข้าจะเดาผิดไปจริงๆ

หัวใจหานทั่วพลันจมดิ่งลงไปทันที หากบิดาต้องถูกทำร้ายเพราะเขาจริงๆ แล้วเขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร

“เจ้าอยากได้ทางรอดอย่างนั้นหรือ ได้! ข้าจะให้เจ้า คุกเข่าลงตรงนี้ ปฏิญาณต่อมหามรรค สำนึกผิดที่เจ้าไม่เคารพจอมเทวาฟ้าบุพกาลเสีย!”

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังตะโกนกร้าว จากนั้นก็จ้องมองเหล่าอริยะมหามรรค ตะคอกว่า “พวกเจ้ายังไม่ถอยไปอีกหรือ ข้ามอบโอกาสให้เขาแล้ว หรือพวกเจ้าอยากให้เขาตายจริงๆ”

เมื่อเหล่าอริยะมหามรรคได้ยินก็เงียบไป แม้แต่บรรพชนจอมเวทตี้เจียงก็ไม่พูดอะไรอีก

ไม่นานนัก เหล่าอริยะมหามรรคล้วนถอยออกไป

พวกเขาก็คิดเช่นกันว่าหานเจวี๋ยเตรียมพร้อมจะยอมก้มหัวแล้ว

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังจ้องมองหานเจวี๋ย เอ่ยว่า “เข้ามา! คุกเข่าให้ข้า!”

ภายใต้สายตาของสาธารณชน หากว่าหานเจวี๋ยยอมคุกเข่าจริงๆ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะรับอีกฝ่ายไว้เป็นทาส

อย่างไรก็ตามเมื่อครู่เขามองเห็นร่างจำลองเสรีสุญญตาที่หานเจวี๋ยสำแดงออกมา

คนผู้นี้อาจจะจงใจเสแสร้ง!

เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า!

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังเปี่ยมด้วยความมั่นใจในตัวเอง หานเจวี๋ยเพิ่งพิสูจน์มหามรรคได้ไม่นาน ไม่มีทางสู้เขาได้!

พฤติกรรมก่อนหน้านี้คาดว่าทำเพื่อปกป้องตัวเอง พวกสัตว์เลื้อยคลานมักจะชอบต่อต้านอย่างไม่กลัวตายเสมอ

หานเจวี๋ยแสร้งทำเป็นลังเลตัดสินใจไม่ได้ ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาถึงได้กัดฟันเหาะเข้าไปหาดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวัง

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังเห็นว่าเขายอมประนีประนอม ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะดังลั่น

เขาคิดจะใช้วิธีนี้ ทำลายเกราะป้องกันทางจิตใจของหานเจวี๋ย

เหล่าอริยะมหามรรคสีหน้าสงบราบเรียบ ไม่ได้แสดงสีหน้าเย้ยหยัน

หากเปลี่ยนเป็นพวกเขา ต้องเผชิญหน้ากับดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังเพียงคนเดียว ไหนเลยสถานการณ์ก็คงไม่ต่างจากนี้เช่นกัน

ยามนี้ในใจของพวกเขามีเพียงความหดหู่อันไร้ที่สิ้นสุด

หานเจวี๋ยเข้าใกล้ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังเข้าไปเรื่อยๆ

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายถอนหายใจ

โจวฝานและฉู่ซื่อเหรินเบือนหน้าหนี หานทั่วก้มหน้าลง สองมือกำแน่น

ทั้งห้วงมิติตกอยู่ในความเงียบสงัด

ถึงแม้หานเจวี๋ยจะกำลังเล่นละครอยู่ แต่เขาสังเกตเห็นว่าพลังแห่งความสิ้นหวังของดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังกำลังเพิ่มขึ้น มิใช่เพียงแข็งแกร่งขึ้นอย่างเดียวเท่านั้น คนผู้นี้กำลังรวบรวมพลังอยู่

ใช่จริงๆ!

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังไม่ได้โอหังมุทะลุและโง่เง่าอย่างที่เห็น

แต่หานเจวี๋ยไม่ใส่ใจ

เหตุผลที่เขาเล่นละคร เพราะคิดจะสร้างสถานการณ์ไม่ให้ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังหนีไป!

หากเขาลงมือตรงๆ ระเบิดพลังอันน่าหวาดกลัวออกมาอาจทำให้ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังเตลิดหนีไป

ตบะยังคงห่างชั้นกันอยู่ ถ้าคนผู้นี้คิดหลบหนี หานเจวี๋ยอาจจะตามไม่ทันจริงๆ

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวัง ก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ผสานอยู่ในร่างของหานเจวี๋ยเช่นกัน เด็กคนนี้กำลังพยายามสะกดไว้

‘กำลังเล่นละครอยู่จริงๆ คิดจะโจมตีข้าอย่างนั้นหรือ’

‘น่าขัน!’

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังหัวเราะดังลั่นพลางรวบรวมพลังเวท

ทั้งสองต่างมีความคิดเช่นเดียวกัน คิดจะสังหารอีกฝ่ายให้ตายในกระบวนท่าเดียว!

เมื่ออยู่ในระยะห่างสิบจั้ง หานเจวี๋ยพลันเงยหน้าขึ้น เขาชกหมัดขวาออกไป!

โทสะเทพอนธการ!

เมื่อผสานเข้ากับร่างจำลองเทพมารอย่างชำนาญคล่องแคล่ว กลายเป็นพลังวิเศษสุดแข็งแกร่ง พิฆาตศัตรูได้ในกระบวนท่าเดียว!

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังก็ซัดฝ่ามือออกมาเช่นกัน ชั่วพริบตานี้ เวลาพลันหยุดนิ่งลง

“อาศัยแค่ตัวเจ้าคิดว่าจะต่อต้านข้าได้อย่างนั้นหรือ”

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังหัวเราะเยาะ

หานเจวี๋ยโต้กลับทันที “มีหลายคนที่เลือกเผชิญหน้ากับข้าด้วยความคิดเช่นเดียวกับเจ้า แต่สุดท้ายพวกเจ้าล้วนไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พบกันเองด้วยซ้ำ!”

การปะทะกันของทั้งสองไม่อยู่ในการควบคุมของเวลาอีกต่อไป รวดเร็วจนเหล่าอริยะมหามรรคต่างจับสัมผัสไม่ได้

สองฝ่ามือพุ่งเข้าใส่กันและกัน พลังอันน่าหวาดหวั่นสองสายปะทุออกมา!

แสงเจิดจ้าส่องวาบ!

มิติสั่นไหวอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดรู้สึกหายใจไม่ออก โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับต่ำกว่าอริยะมหามรรคลงไป พวกเขาทั้งหมดไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองเลย ด้วยหลงนึกว่าหานเจวี๋ยจะยอมศิโรราบจริงๆ!

โทสะเทพอนธการที่ผสานพลังของร่างจำลองเทพมารห้าร้อยสี่สิบเก้าร่างไว้และแฝงด้วยความโกรธเกรี้ยวของหานเจวี๋ยกลบท่วมพลังเวทของดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวัง

วินาทีนั้น ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังเบิกตากว้าง

‘แย่แล้ว!’

‘เป็นไปได้อย่างไร!’

‘เหตุใดเจ้าถึงแข็งแกร่งเช่นนี้’

‘จบสิ้นแล้ว!’

ความคิดมากมายโผล่ขึ้นมาในสมองของเขาในชั่วพริบตา เขาหนีไม่รอดแล้ว!

พลังอันแสนเผด็จการ เป็นของโทสะเทพอนธการเข้าท่วมทับเขาโดยตรง!

พิฆาตให้สิ้น!

ดับจิตสลายวิญญาณ!

จิตมหามรรคของเขาสลายไปทันที ไม่มีทางหลบหนีได้ทัน!

โทสะเทพอนธการคืบสังหารไปตลอดทาง เกิดโพรงมิติแห่งหนึ่งขึ้นที่ปลายห้วงมิติ ถาโถมเข้าสู่อาณาเขตที่ไม่รู้จัก

แสงเจิดจ้าสลายไป!

เมื่อเหล่าอริยะมหามรรคเพ่งมองออกไป ก็เห็นเพียงหานเจวี๋ย

เสื้อคลุมห้วงกาลวิถีของหานเจวี๋ยไหวสะบัดตามลม ใบหน้าของเขายังคงหล่อเหลาเย็นชา เจตนาสังหารยังฉายอยู่ในดวงตา

อำนาจกดดันของโทสะเทพอนธการยังคงอยู่ ทำให้เหล่าอริยะมหามรรคสั่นสะท้าน

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังตายแล้วเช่นนั้นหรือ

เหล่าอริยะมหามรรคทั้งหมดเบิกตากว้างแทบจะพร้อมกัน ตัวสั่นไปหมด

ศิษย์ที่พวกเขาพามาด้วย เทพเซียนแห่งวังสวรรค์และเหล่าผู้บำเพ็ญของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ก็ได้สติกลับมาแล้ว ทั้งหมดล้วนไม่กล้าเชื่อสายตาของตน

“มารดามันเถอะ!”

อี๋เทียนอดสบถไม่ได้ ตื่นเต้นจนหน้าแดงไปหมด

พลิกวิกฤตได้ในพริบตาเลยหรือ

จู่ๆ เขาก็อยากคุกเข่าให้หานเจวี๋ยขึ้นมา

หานเจวี๋ยหันกลับมา กวาดตามองเหล่าอริยะมหามรรค มองด้วยแววตาเยียบเย็นจนทำให้เหล่าอริยะมหามรรคหัวใจเต้นกระหน่ำ

พริบตาเดียวเท่านั้น!

เพียงพริบตาเดียว ยังไม่ทันถึงหนึ่งพริบตาดีด้วยซ้ำ หานเจวี๋ยก็มาถึงเบื้องหน้าหานทั่วในทันใด เดินเฉียดไหล่ผ่านไป ตบไหล่เขาเบาๆ จากนั้นกระโจนเข้าสู่คลื่นวนสีดำ

จนกระทั่งคลื่นวนสีดำหายไป ห้วงมิติก็ยังคงอยู่ในความเงียบสงัด

………………………………………………………………