บทที่ 690 รีบเดินออกมา

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“สำหรับนัทธีแล้ว เรื่องที่นวิยาฆ่าตัวตาย ต้องแจ้งตำรวจหน่อยไหม?ยังไงซะตำรวจก็รู้ว่านวิยาอยู่ในมือคุณ” วารุณีมองแล้วถามนัทธี

นัทธีหลับตาแล้วพูดเสียงเบา “แน่นอน”

“แล้วก็คุณหมอพิชิต” วารุณีพูดขึ้นอีก

นัทธีขมวดคิ้ว “กัยพิชิตเดี๋ยวอีกสักพักผมจะให้คนไปบอกเขา เอาล่ะ ไปกันเถอะ ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรต้องอยู่ที่นี่ต่อแล้ว”

วารุณีตอบอืม “ค่ะ”

เธอก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้วเหมือนกัน แค่คิดว่าอยู่คฤหาสน์เดียวกันกับคนตาย เธอก็รู้สึกขนลุก

หลังจากที่ทั้งสองออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลแก้วสุทธิ ก็เหลือแต่มารุต รับผิดชอบเรื่องนี้ต่อ

ถึงยังไงนวิยาก็ตายไปแล้ว ก็ต้องจัดการให้เรียบร้อยหน่อย การจัดการของคฤหาสน์ตระกูลแก้วสุทธิ และการจัดการศพของนวิยา ต่างต้องจัดการ

เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์ ป้าส้มก็เดินออกมา “คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง กลับมาแล้ว”

นัทธีพยักหน้า ถือเป็นการตอบรับ

ทันใดนั้นป้าส้มก็มองไปเห็นเลือดบนมือเขา แล้วถามด้วยความ “คุณผู้ชาย ได้รับบาดเจ็บมาเหรอคะ?”

“ไม่ใช่ ของคนอื่นน่ะ” นัทธีตอบ

หลังจากนั้น เขาก็ขึ้นข้างบนไป

นวิยาตายไปแล้ว ความแค้นระหว่างเขากับนวิยา ก็ถือว่าเลือนหายไป

แต่เนื่องจากมันเลือนหายไปเร็วเกินไป เลยยังมีบางเรื่อง ที่เขายังไม่เข้าใจ ยังมีความเกลียดชังบางอย่าง ก็ยังปล่อยวางไม่ได้อย่างสมบูรณ์

เขายังต้องการ คิดเรื่องนี้คนเดียว แล้วถึงจะปล่อยวางลงได้อย่างสมบูรณ์

วารุณีมองนัทธีถ้าหายตัวไปจากลิฟต์ชั้นสาม จนมองไม่เห็น จึงชักสายตากลับมา

ป้าส้มมองไปที่วารุณีอย่างงๆ “คุณผู้หญิง คุณผู้ชายเป็นอะไรไปคะ?ทำไมรู้สึกว่าเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี?”

“เขาทำไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ เพราะเขาไม่ได้แก้แค้นได้เลย แต่คู่อริกลับตายไปแล้ว ความรู้สึกนี้ ทำให้เขารู้สึกคิดไม่ตกอยู่พักหนึ่ง” วารุณีถอนหายใจอีกครั้ง

ถึงแม้นัทธีจะพูดตอนที่อยู่ใน คฤหาสน์ตระกูลแก้วสุทธิตายแล้วก็หายกันไป แต่ความจริงแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับการที่นวิยา ฆ่าตัวตาย

แต่ความไม่พอใจนี้ ก็หาคนระบายไม่ได้ ก็เลยมีอารมณ์แบบนี้

“คู่อริตายแล้ว?” ป้าส้มตกใจ “นวิยาเธอ……”

วารุณีจ้องป้าส้มที่กำลังตกใจ และพยักหน้าเบาๆ

ป้าส้มสูดหายใจเฮือกใหญ่ “คุณผู้ชายเป็น……”

“ไม่ใช่ นวิยาเธอฆ่าตัวตาย” วารุณีใส่หัวพูด

ป้าส้มกลืนน้ำลาย สักพักจึงดีขึ้น “ฆ่าตัวตาย?เธอฆ่าตัวตายได้ยังไงคะ?”

วารุณียิ้ม “ความรู้สึกที่เคารพและหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่อยากถูกคนอื่นจัดการหรอกนะ ในขณะเดียวกันตัวเองก็รู้ว่าตัวเองจะหนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว เลยจัดการตัวเองซะ”

“อย่างนี้นี่เอง เธอยังมีความหยิ่งทะนงอยู่” ป้าส้มขบที่ริมฝีปากแล้วปากพูด

วารุณีไม่พูดอะไรต่อ หลับตาไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่

ผ่านไปสักพัก เธอก็ใส่หัว ข่มอารมณ์ในใจเอาไว้ และเปลี่ยนเรื่องพูด “ป้าส้ม อารัณกับไอริณล่ะคะ?”

“อารัณไปค่ายมวยแล้วค่ะ ไอริณก็ตามไปด้วย” ป้าส้มตอบ

วารุณีพยักหน้า แสดงว่ารับรู้แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ถามอะไรต่อ

เวลาผ่านไปเร็วมาก ตอนเย็นมาถึงภายในพริบตาเดียว

นัทธียังไม่ลงมาจากห้องสมุด ป้าส้มเรียกเขามาทานอาหารเย็นก็ไม่ลงมา

ช่วยไม่ได้ วารุณีจึงไปเรียกด้วยตัวเอง

พอมาถึงประตูห้องมืดของนัทธี เธอก็ขอประตู

เสียงแหบต่ำของคนชายดังออกมาจากด้านใน “เข้ามา”

วารุณีบิดประตูเข้าไป ในห้องสมุดมืดสนิท แม้แต่ไฟก็ไม่เปิด

วารุณีเปิดไฟ มองเห็นชายที่นั่งอยู่บนโต๊ะด้านหลัง ริมฝีปากแดงพูด “ทำไมไม่ลงมาทานข้าวคะ ?”

นัทธีไม่แปลกใจที่เป็นเธอ

ขอถ้าป้าส้มเป็นคนเคาะประตู ป้าส้มจะต้องตะโกนเรียกเขาแน่นอน

ในเมื่อป้าส้มไม่ได้ตะโกน งั้นก็ต้องเป็นเธอแล้วล่ะ เขาถึงเอ่ยปากบอกให้เธอเข้ามา ไม่งั้นเขาก็จะไม่ให้เธอเข้ามาหรอก

“ไม่อยาก” นัทธี เอามือจับไว้ตรงหัว แล้วพูดด้วยเสียงเบา

วารุณีเดินเข้าไปหา “ไม่อยากอาหารหรือคุณไม่อยากกินเอง?”

นัทธีเม้มปาก ไม่พูดต่อ

วารุณีถอนหายใจ “ขนาดไฟยังไม่เปิด ยังไม่ปล่อยวางใช่ไหม?”

นัทธีกอดเขาที่เอวของเธอ ซุกหัวเข้าที่ตรงท้องของเธอ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “จะปล่อยวางเร็วขนาดนั้นได้ยังไง ผมตามหาฆาตกรที่ฆ่าพ่อกับแม่ผม ใช้เวลาตั้งสิบกว่าปี ในที่สุดก็หาขงเบ้งกับนวิยาเจอ แต่นวิยากลับใช้วิธีนี้จบชีวิตตัวเอง สิบกว่าปีของผมที่เสียไป มันนับอะไรได้เหรอ?”

วารุณีลูบหัวเขา “ฉันเข้าใจค่ะ ฉันเองเข้าใจความรู้สึกคุณ แต่ตอนนี้นวิยาก็ตายไปแล้ว คุณเสียเวลาดื้อดึงกับเรื่องนี้มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรนะคะ มีแต่จะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์มากขึ้น ดังนั้นนัทธี ปลงเถอะ นวิยาแต่ไปนั้นก็เป็นเรื่องดี ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ลงมือเอง แต่อย่างน้อยเธอก็ได้ลงไปขอโทษคุณปู่คุณย่าแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ผมรู้ ผมแค่รู้สึกว่า มันทำให้เธอตายง่ายเกินไป” นัทธีหรี่ตา พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ

วารุณีตบไปที่ผนังเขา “ความจริงฉันไม่ได้คิดว่าเธอไปสบายนะ”

“หืม?” นัทธีขมวดคิ้ว เงยหน้ามองเธอ เห็นได้ชัดว่าสงสัยว่าทำไมเธอถึงคิดแบบนี้

วารุณียิ้มแล้วพูด “คุณบอกว่า นวิยานิสัยหยิ่งทะนง มีเกียรติในตัวเอง ไม่ยอมถูกใครจัดการ เลยจัดการตัวเองไม่ใช่เหรอ?ฉันเลยคิดว่า คนแบบเธอ ถ้ามาถึงทางตันจริงๆ เธอไม่ทำแบบนี้หรอก เธออยากมีชีวิตอยู่มากับคนอื่น ไม่ได้อยากตาย ถ้าเธออยากตายจริงๆ เธอก็ตายไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นฉันคิดว่า ช่วงที่ถูกขังอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลแก้วสุทธิ ในใจของเธอ คงได้รับความกลัวและความทุกข์ทรมานอย่างมาก”

นัทธีในตาเป็นประกาย เข้าใจสิ่งที่เธอสื่อ

เธอหมายถึง จิตใจของนวิยาได้รับถึงความทุกข์ทรมาน จึงไม่ได้ตายไปอย่างสบาย ไม่ใช่เกี่ยวกับร่างกาย

“คงจะใช่” นัทธีขมวดคิ้วพูด

วารุณีเอามือวางไว้บนไหล่ของเขา “เอาล่ะ เลิกคิดมากได้แล้ว ความจริงอริก็ตายไปแล้ว มันเป็นเรื่องน่าดีใจ อย่างน้อย เธอก็ตายต่อหน้าคุย อีกอย่างก็พอรู้ว่าตกอยู่ในน้ำมือของคุณ ก็เลยหมดหนทางจจนต้องฆ่าตัวตาย ถ้าหากตายในที่ที่คุณไม่รู้จัก และตายด้วยอุบัติเหตุ คุณคงจะไม่พอใจมากกว่านี้ ”

ยังไงซะการที่ตายในที่ที่นัทธี ไม่รู้จัก แถมยังตายเพราะอุบัติเหตุ นั่นถึงจะเป็นการล้างแค้นที่นัทธีเตรียมหัวเราะยาวไว้มาสิบกว่าปี

หลังจากการอบรมของวารุณี นัทธีก็สูดหายใจลึก ร่างกายที่แน่นตึงของเขาก็ผ่อนคลายลง

เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเขาเชื่อฟังเธอ และเริ่มปลงแล้ว

นัทธีกลับเข้าไปที่ไหล่ ของเขาเบาเบา “ศพของนวิยา คุณจะจัดการยังไง?”

“เผา แล้วหาสุสานมาฝังก็พอ” นัทธีขมวดคิ้ว พูดอย่างรังเกียจ

เขาไม่เคยคิดที่จะฟังนวิยาไว้ข้างๆ พ่อกับแม่ ปล่อยให้นวิยาขอโทษพ่อกับแม่ไปตลอดกาล

บางทีพ่อกับแม่อาจจะรู้สึกรำคาญที่ต้องเจอกับนวิยาทุกวัน

“ก็ได้ค่ะ” วารุณีพยักหน้า คิดว่าแบบนี้ก็ดี

พูดอยู่ โทรศัพท์ของนัทธีก็ดังขึ้น

วารุณีหันไปมอง ก็เห็นโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ เขียนว่ามารุต สั่นอย่างต่อเนื่อง

“ผู้ช่วยมารุตโทรมาน่ะ รับเถอะค่ะ” วารุณีหยิบโทรศัพท์ยื่นให้เขา

นัทธีตอบรับ แต่ไม่ได้ยกโทรศัพท์แนบไว้ที่หู และเปิดลำโพง

“มีเรื่องอะไร?” นัทธีถาม

เสียงของมารุตแต่ขึ้นมา “ประธานครับ คฤหาสน์ตระกูลแก้วสุทธิทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ศพของนวิยา ก็ถูกส่งไปที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดแล้วครับ”

นัทธีพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว บอกพิชิตหรือยัง?”

“ยังครับ มีเรื่องเสียเวลาอยู่ช่วงบ่าย เลยไม่ทันได้บอกครับ” มารุตเกาผมอย่างรู้สึกขอโทษ