บทที่ 737 ความเปลี่ยนแปลงในช่วงหนึ่งหมื่นปี

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 737 ความเปลี่ยนแปลงในช่วงหนึ่งหมื่นปี

หลังจากรู้จักเจ้าชะตาอันธการแล้ว หานเจวี๋ยก็ไม่คิดมากอีก เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญโดยตรง

เขาต้องฝึกบำเพ็ญหนึ่งหมื่นปี เพื่อให้สงบลงสักหน่อย

การต่อสู้อันดุเดือดที่วังสวรรค์ ทำให้อีกพันปีให้หลังมีข่าวลือเกี่ยวกับหานเจวี๋ยแพร่กระจายไปทั่วฟ้าบุพกาลอย่างรวดเร็ว

มรรคาสวรรค์ไม่ทราบเรื่องนี้ ก่อนที่เหล่าอริยะมรรคาสวรรค์จะได้ทราบเรื่องนี้ เหล่าอริยะมหามรรคก็เป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอขอปรองดองก่อนแล้ว

ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

ตำหนักเอกภพ

เหล่าอริยชนมารวมตัว

จอมอริยะเสวียนตูกล่าวถึงข้อเสนอของเหล่าอริยะมหามรรคแห่งแดนเทพหวนปัจฉิม

ฉิวซีไหลขมวดคิ้วเอ่ยว่า “อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ไปแสวงหาโชควาสนาที่อาณาเขตของพวกเขา ซ้ำยังรับปากว่าจะดูแลช่วยเหลือแน่นอน ไปเผยแผ่มรรควิถีได้อย่างนั้นหรือ คงมิใช่ว่าเป็นกับดักกระมัง”

เทพสูงสุดหนานจี๋ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน สีหน้าแปลกพิกล กล่าวว่า “นิกายเจี๋ยแห่งฟ้าบุพกาลก็เป็นฝ่ายแสดงไมตรีมาหาข้าก่อนเช่นกัน หวังว่าข้าจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้ทุกท่านละวางความบาดหมางในอดีตได้ บอกว่ายินดีจะผูกมิตรกับมรรคาสวรรค์อีกครั้ง วันหน้าจะไม่เข้ามายุ่งกับมรรคาสวรรค์อีก เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

อริยที่เหลือก็พากันเปิดปากพูด

“น่าประหลาด”

“หรือว่าพวกเขาคิดจะโจมตีมรรคาสวรรค์ ดังนั้นจึงคิดจะทำให้พวกเราตายใจก่อน”

“เป็นไปไม่ได้กระมัง วิธีการเช่นนี้แย่เกินไป”

“เทพสูงสุดหยวนสื่อปรมาจารย์ของข้า บอกว่ายินดีมอบสิทธิ์สดับฟังเทศนาธรรมหนึ่งล้านสิทธิ์ให้มรรคาสวรรค์ เขาจะส่งผู้สดับธรรมเหล่านี้กลับสู่เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลอย่างปลอดภัย นี่ไม่ใช่แค่เจตนาดีแล้ว ต้องการให้มรรคาสวรรค์คบค้ากับพวกเขาให้ได้”

ที่แท้มิใช่แค่จอมอริยะเสวียนตูเท่านั้น อริยะมรรคาสวรรค์รายอื่นๆ ก็ได้รับการชักจูงจากอริยะมหามรรคเช่นกัน

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเอ่ยขึ้นว่า “คาดว่าคงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในฟ้าบุพกาลแน่”

มหาจักรพรรดิเซียวเอ่ยว่า “อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไปก่อนเลย พวกเราสืบสถานการณ์ในฟ้าบุพกาลดูก่อนเถิด”

สวีตู้เต้าถามว่า “ต้องสอบถามความเห็นของผู้อาวุโสผานและผู้อาวุโสหานหรือไม่”

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยเสียงขรึม “รอให้สหายเต๋าผานกลับมาก่อนเถอะ เขาอยู่ในฟ้าบุพกาล น่าจะสืบข่าวอะไรได้จากฟ้าบุพกาล”

ก่อนที่จะหาข้อสรุปของเรื่องได้ เขาไม่มีทางไปรบกวนการฝึกบำเพ็ญของหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยคือที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมรรคาสวรรค์ เขาจะทำให้หานเจวี๋ยหงุดหงิดใจไม่ได้

หากว่าหานเจวี๋ยเป็นอริยะมหามรรคแล้วจริงๆ เช่นนั้นในมุมของหานเจวี๋ยแล้วจะมีหรือไม่มีมรรคาสวรรค์ก็ได้ เหตุผลที่หานเจวี๋ยยังรั้งอยู่ เพียงเพราะรักความสงบเท่านั้น

เหล่าอริยชนพยักหน้าเห็นด้วย

….

หนึ่งหมื่นปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พบว่ายังสยบทาสมิ่งไม่สำเร็จ สมกับที่เป็นอริยะมหามรรค คาดว่าคงใช้เวลานานกว่าจะสยบได้

เขาสังเกตเห็นว่าหลี่เสวียนเอ้าพาศิษย์กลุ่มใหญ่มารออยู่นอกเขตเซียนร้อยคีรีแล้ว เขาจึงเคลื่อนย้ายศิษย์เหล่านี้เข้ามาในเขตเซียนร้อยคีรีทั้งหมด

เขาเริ่มตรวจดูจดหมาย

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากโพธิสัตว์เจียอิ๋นสหายของท่าน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[หานทั่วบุตรชายของท่านได้รับคำชี้แนะจากตี้เจียงสหายของท่าน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[โจวฝานศิษย์ของท่านได้รับคำชี้แนะจากเจ้าแม่หนี่ว์วาสหายของท่าน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารปีศาจ] x80933321

[จ้าวเซวียนหยวนศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[เจียงอี้ศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารปีศาจ] x72110034

[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสหายของท่านกลายเป็นผู้กำหนดชะตาเคราะห์ ดวงชะตาเกิดการเปลี่ยนแปลง]

[ผานซินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากตี้เจียงสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[ซูฉีศิษย์ของท่านพิสูจน์มรรคสำเร็จ สำเร็จมรรคผลเบิกฟ้า พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

….

เหล่าอริยะมหามรรคแห่งแดนเทพหวนปัจฉิมนั้นนับว่ารู้จักมองทิศทางลมจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะผลัดกันมาชี้แนะพวกจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย เพื่อกระชับความสัมพันธ์

เมื่อเป็นเช่นนี้ หานเจวี๋ยก็ไม่จำเป็นต้องลงมือกับพวกเขา

เขาเพียงหวังว่าต่อไปบรรดาอริยะมหามรรคเหล่านี้จะไม่แอบเล่นงานเขา

หาไม่แล้วหากถึงเวลานั้นต่อให้มาอ้อนวอนก็ไม่มีประโยชน์!

หานเจวี๋ยเห็นว่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวงกลายเป็นผู้กำหนดชะตาเคราะห์ เขาไม่รู้สึกแปลกใจ เพียงถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง

ปรมาจารย์หนอ…

เดินผิดทางเสียแล้ว

แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน แบบนี้ยิ่งทำให้หานเจวี๋ยสาดโคลนใส่เจ้าชะตาอันธการสะดวกยิ่งขึ้น

เมื่อไล่อ่านลงไปด้านล่าง การพิสูจน์มรรคของซูฉีไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายใดๆ เลย ถึงอย่างไรก็ได้ครองดวงชะตายมโลกแล้ว

หลังตรวจจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยเริ่มสอดส่องแดนเซียน

หมื่นปีผ่านไป แดนเซียนพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าจำนวนเซียนทองต้าหลัวและครึ่งอริยะเริ่มเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

น่าแปลกใจอยู่บ้าง

เขานับนิ้วทำนาย จากนั้นก็กระจ่างขึ้นมาในทันใด

ที่แท้ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ล้วนไปสดับฟังเทศนาธรรมของอริยะมหามรรคมา

เหล่าอริยะมหามรรคของแดนเทพหวนปัจฉิมตัดสินใจผูกมิตรกับมรรคาสวรรค์ หรือความจริงก็คือผูกมิตรกับหานเจวี๋ย

ชัดเจนเหลือเกิน

แต่หานเจวี๋ยยังไม่คิดจะตอบรับในขณะนี้ ปล่อยไปตามธรรมชาติก็พอ

ถึงแม้เขาจะสามารถทำลายล้างอริยะมหามรรคเหล่านี้ได้ แต่ถึงอย่างไรอริยะมหามรรคก็เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่ง หากสามารถให้ความช่วยเหลือมรรคาสวรรค์ได้ นั่นย่อมเป็นเรื่องดี

ในเวลานี้เอง

หลี่เสวียนเอ้ามาขอเข้าพบ หานเจวี๋ยจึงให้เขาเข้ามา

เช่นเดียวกับที่ผ่านมา หลี่เสวียนเอ้ารายงานสถานการณ์ความคืบหน้าของสำนักซ่อนเร้นก่อน เพียงแต่ครั้งนี้เขาตื่นเต้นยิ่งนัก ปกปิดความเคารพเลื่อมใสในดวงตาเอาไว้ไม่อยู่เลย

หลังจากรายงานสถานการณ์ภาพรวมเสร็จ หลี่เสวียนเอ้าอดที่จะถามไม่ได้ “เจ้าสำนัก ตอนนี้ท่านเหนือกว่าอริยะมหามรรคแล้วหรือขอรับ”

ชัดเจนนัก เขาน่าจะได้ยินกิตติศัพท์การต่อสู้ของหานเจวี๋ยแล้ว ถึงอย่างไรก็มีหมื่นโลกาฉายชัดอยู่

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ข้ายังเป็นอริยะมหามรรคอยู่ เพียงแต่ฝีมือร้ายกาจก็เท่านั้น”

หลี่เสวียนเอ้าเริ่มประจบประแจงอย่างบ้าคลั่ง

หานเจวี๋ยฟังแล้วหงุดหงิด ขมวดคิ้ว หลี่เสวียนเอ้าจึงรีบหยุดทันที

“ตอนนี้มีกลุ่มอิทธิพลฟ้าบุพกาลสิบกว่าแห่งแสดงเจตนาอยากผูกมิตรกับสำนักซ่อนเร้นผ่านทางโจวฝาน ถึงขั้นที่ยินดีเทศนาธรรมให้แก่ศิษย์สำนักซ่อนเร้นด้วยขอรับ แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะ ถึงอย่างไรศิษย์ระดับล่างก็ยังไม่ทราบกิตติศัพท์การต่อสู้ของท่าน หากได้รับความเมตตาจากบุคคลอื่นอย่างไร้สาเหตุ อาจจะทำให้ไขว้เขวไป ดังนั้นข้าจึงปฏิเสธทั้งหมดไปอย่างละมุนละม่อมขอรับ”

หลี่เสวียนเอ้าเอ่ยอย่างเคร่งขรึม หานเจวี๋ยได้ฟังก็พยักหน้าให้นิดๆ

เด็กคนนี้กลับไม่หลงระเริงไปกับความตื่นตาตื่นใจ

จากนั้นเขาก็รายงานถึงชนรุ่นหลังของผานกู่ ทางสำนักซ่อนเร้นรับเอาไว้เป็นจำนวนมาก เขาหวังว่าหากหานเจวี๋ยมีเวลาว่างจะสามารถเทศนาธรรมให้แก่สำนักซ่อนเร้นได้ เป็นการซื้อใจคนไว้ หานเจวี๋ยได้ฟังก็ตอบตกลง

หลังจากหลี่เสวียนเอ้าจากไป หานเจวี๋ยสอดส่องแดนเซียนต่อ สายตาค่อยๆ หันเหไปที่เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล

“สหายเต๋าหาน มาที่ตำหนักเอกภพสักคราได้หรือไม่”

เสียงของจอมอริยะเสวียนตูแว่วขึ้นริมหูของหานเจวี๋ย หลายพันปีก่อนเขาเคยติดต่อมาหาหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยฟังจากน้ำเสียงเขาแล้วดูไม่เร่งร้อนจึงปฏิเสธไป บอกว่าหลังสิ้นสุดการปิดด่านค่อยไปหา

หานเจวี๋ยมองมิ่งที่อยู่ในคุกสวรรค์อนธการ ตัดสินใจแบ่งร่างแยกวิญญาณร่างหนึ่งไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ส่วนร่างจริงเฝ้าอยู่ในอารามเต๋าต่อไป ป้องกันไม่ให้มิ่งหลบหนีกะทันหัน

ถึงอย่างไรมิ่งก็เป็นอริยะมหามรรค หากหนีออกไปได้ ศิษย์สำนักซ่อนเร้นทั้งหมดภายในเขตเซียนร้อยคีรีล้วนต้องตาย

ด้วยเหตุนี้ ร่างแยกวิญญาณของหานเจวี๋ยจึงเข้าสู่ตำหนักเอกภพ ดูไม่แตกต่างไปจากร่างจริงเลย

เหล่าอริยะต่างมากันแล้ว ซูฉีเองก็อยู่ด้วย ขาดเพียงหลี่เต้าคงและสือตู๋เต้าที่ยังไม่กลับมา

“อาจารย์!”

เมื่อซูฉีพบหน้าหานเจวี๋ย ก็แสดงความเคารพอย่างนอบน้อม ไม่ได้ตื่นเต้นจนเกินไป เขาสุขุมขึ้นมาก ไม่เสียมาดของอริยะ

หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ เขาสังเกตเห็นว่าสายตาที่อริยะทั้งหมดมองเขาล้วนเปี่ยมไปด้วยความเคารพเลื่อมใส

รวมถึงจอมอริยะเสวียนตูด้วย!

เห็นได้ชัดยิ่งนัก เหล่าอริยะมรรคาสวรรค์ล่วงรู้เรื่องศึกที่วังสวรรค์แล้ว

หลังจากเหล่าอริยชนนั่งลง จอมอริยะเสวียนตูกล่าวขึ้นว่า “ระยะนี้ได้รับความร่วมมือจากอริยะมหามรรค พัฒนาการของเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลดีขึ้นเรื่อยๆ ดวงชะตามรรคาสวรรค์ก็แข็งแกร่งขึ้น ปรากฏตำแหน่งอริยะขึ้นสองตำแหน่ง ตำแหน่งหนึ่งเป็นของสหายเต๋าซูฉีแล้ว ส่วนอีกตำแหน่งยังไม่ได้กำหนดตัว วันนี้จะหารือเรื่องตำแหน่งอริยะ เพียงแต่ตำแหน่งอริยะก็มิใช่ประเด็นหลัก”

“หลังจากสหายเต๋าหานสังหารมิ่งทั้งสิบสาม กลุ่มอิทธิพลมิ่งก็มิได้หายไปอย่างสิ้นเชิง กลับกำเริบเหิมเกริมขึ้นยิ่งกว่าเดิม ได้ยินว่ามีผู้ทรงพลังไม่น้อยที่พลาดท่ากลายเป็นมิ่ง ในบรรดานั้นรวมถึงคนคุ้นเคยอย่างปรมาจารย์ลัญจกรสรวง หลี่เต้าคงและสือตู๋เต้าด้วย”

………………………………………………………………