เดิมที นายท่านรองเจียงไม่เคยคิดว่าหลานสาวของตัวจะได้แต่งงานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งราชวงศ์และได้เฉียดใกล้ตำแหน่งนั้น
องค์ชายที่ถูกตราหน้าว่าเป็นตัวขัดขวางองค์จักรพรรดิ และถูกส่งออกไปอยู่นอกวังหลวงตั้งแต่ยังเล็กจะเป็นองค์รัชทายาทและว่าที่โอรสสวรรค์ได้อย่างไร
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วถึงเพียงนี้ ผู้ใดจะคาดคิดว่าจู่ๆ เยี่ยนอ๋องกลายเป็นหนึ่งในสี่ขององค์ชายที่มีโอกาสได้นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น
หากจวนตงผิงปั๋วได้เป็นตระกูลฝั่งฮองเฮา พี่ใหญ่ก็จะได้รับการแต่งตั้ง และตำแหน่งตงผิงปั๋วก็จะว่าง…
เมื่อคิดได้ดังนี้ นายท่านรองเจียงก็ตื่นเต้นจนเนื้อสั่น เขาเก็บตัวอยู่ในห้องเพียงลำพัง และมอมเมาตัวเองด้วยเมรัยทั้งไหเพื่อให้ความตื่นเต้นนั้นทุเลาลง
……
หลู่อ๋องที่อุตส่าห์กลับมาคุยโวให้พระชายาฟังอย่างเต็มภาคภูมิกลับถูกไล่ให้ไปนอนอยู่ที่ห้องตำรา ถึงขนาดที่ถึงมื้อเช้าแล้ว อารมณ์โกรธนั้นก็ยังคงคุกรุ่น
“เหตุใดพวกสตรีถึงไม่เข้าใจความทุกข์ของบุรุษเอาเสียเลย ข้าอุตส่าห์รีบนำข่าวดีกลับมาบอกเจ้าเพราะกลัวว่าเจ้าจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่มียศต่ำกว่าชายาคนอื่นๆ แต่เรื่องกลับตาลปัตร เหตุใดเจ้าถึงไม่ลองคิดบ้างว่า เมื่อวานข้าต้องทนทุกข์ทรมานมาเพียงใด เจ้าทำหน้าบึ้งตึงใส่ข้าแล้วยังขับไสไล่ส่งข้าให้ไปนอนที่ห้องตำรา ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย…” หลู่อ๋องรำพึงรำพัน ยิ่งกล่าวก็ยิ่งน่าเห็นใจ
พระชายาหลู่อ๋องดึงหน้าถมึงทึง ตบโต๊ะพลางเลิกคิ้ว “ท่านอ๋องอย่าพูดจาให้ตัวเองดูดีหน่อยเลยเพคะ เพราะถึงอย่างไร ในบรรดาชายาทั้งหมด ยศของหม่อมฉันก็ถือว่าต่ำที่สุดอยู่ดี”
“ได้อย่างไรเล่า ในเมื่อเจ้าแปดถูกถอดยศเป็นสามัญชน!”
พระชายาหลู่อ๋องเค้นเสียงเชือดเฉือน “แต่องค์ชายแปดไม่มีชายา”
หลู่อ๋องประหม่าขึ้นมาทันใด
เพราะมัวแต่ดีใจที่มีโอกาสได้กลับมาลืมตาอ้าปากอีกครั้งถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ทั้งที่ยามที่อยู่ต่อหน้าเจ้าแปดดูเหมือนมีคนพยายามจะเตือนเขาแล้วแท้ๆ
ครั้นพระชายาหลู่อ๋องเห็นว่า แม้จะให้เวลาหลู่อ๋องทบทวนทั้งคืน แต่ชายหนุ่มกลับยังคิดไม่ได้ นางจึงเอ่ยอย่างท้อใจ “ท่านอ๋องคิดว่าหม่อมฉันสนใจเรื่องพวกนี้งั้นหรือ ท่านอ๋องคิดไม่ได้จริงๆ หรือว่าเมื่อวานตัวเองถูกเยี่ยนอ๋องหลอกใช้”
หลู่อ๋องส่ายศีรษะ “ก็ข้าบอกแล้วว่าข้าเป็นคนพาเอ้อร์หนิวไปเอง แล้วจะไปเกี่ยวกับเจ้าเจ็ดได้อย่างไร”
เมื่อหวนคิดถึงเรื่องที่เขาพาเอ้อร์หนิวไปจนทำให้เจ้าแปดต้องประสบโชคร้าย เขาก็ยิ่งรู้สึกภูมิใจ ฉะนั้นแล้วจะยกความดีความชอบนี้ให้เจ้าเจ็ดได้อย่างไร
คิ้วของพระชายาหลู่อ๋องราบเรียบ นางอยากจะหยิกหลู่อ๋องให้ได้สติเสียที “ท่านอ๋องไม่คิดบ้างหรือว่าใครคือเจ้าของเอ้อร์หนิว เยี่ยนอ๋องตั้งใจจะพาเอ้อร์หนิวไปที่นั่นอยู่แล้ว ถึงได้ส่งสัญญาณให้เจ้าสุนัข มันถึงได้ตามท่านไป…”
หลู่อ๋องอ้าปากค้าง “เอ้อร์หนิวจะฉลาดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
เป็นไปไม่ได้หรอกหน่า สุนัขอย่างเอ้อร์หนิวจะเล่นละครตบตาอย่างนั้นหรือ
พระชายาหลู่อ๋องเงียบไป เพราะพยายามข่มใจไม่ให้พูดว่าหลู่อ๋องยังฉลาดไม่สู้เอ้อร์หนิว “คราวหน้าคราวหลังท่านอ๋องก็ระวังหน่อยเถิดเพคะ จะได้ไม่ถูกเขาหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“ข้ารู้แล้วหน่า” หลู่อ๋องตอบเอื่อยเฉื่อย เมื่อหวนนึกถึงใบหน้ายิ้มกริ่มของอวี้จิ่นแล้ว เขาก็ได้แต่แอบสาปแช่งอยู่ในใจ
ถุย ที่แท้เจ้าเจ็ดก็ชั่วตามเคย!
……
แสงไฟในห้องตำราในจวนฉีอ๋องส่องสลัว ฉีอ๋องไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ในตอนเช้ารอบดวงตาของเขาจึงเป็นรอยคล้ำลึก สาวรับใช้นำไข่ต้มที่ปอกเปลือกแล้วมาประคบรอบดวงตาอยู่นานกว่าจะดีขึ้น
“พวกเจ้าออกไปเถอะ” ใบหน้าแฉล้มของสาวรับใช้ก็ไม่อาจทำให้ฉีอ๋องกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้
เดิมทีเรื่องต่างๆ เหล่านี้หลี่ซื่อเป็นคนจัดการ ในตอนนั้นทุกอย่างแลดูวิจิตรงดงามไปเสียหมด แต่เพื่อคงชื่อเสียงอันดีไว้ เขาจึงพยายามข่มกลั้นความปรารถนาของบุรุษเท่าที่จะทำได้ แต่ในวันนี้หลี่ซื่อถูกกักบริเวณ ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเรือน เขาสามารถทำทุกสิ่งได้ตามใจปรารถนา แต่กลับไม่มีความรู้สึกอยากเช่นนั้นหลงเหลืออยู่เลย
สาวรับใช้ต่อให้โฉมงามเพียงใดมีหรือจะสู้พระชายาเยี่ยนอ๋องได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ โลกนี้มีสตรีงามตั้งเป็นร้อยเป็นพัน ฉะนั้นแล้วมันน่าตื่นเต้นตรงไหนกับแค่สาวรับใช้หน้าตาดีตรงหน้าเขาเพียงไม่กี่คน
หากเทียบเมื่อก่อนกับตอนนี้ เขาอยากให้หลี่ซื่อกลับมาดูแลจวนมากกว่า เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับสิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้
ฉีอ๋องหลับตา แล้วภาพเจ้าสุนัขตัวใหญ่ก็ผุดเข้ามาในหัว
เรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าแปดเมื่อวานนี้เพียงเพราะสุนัขตัวเดียว หนำซ้ำผลดียังไปตกแก่เจ้าเจ็ดเสียอย่างนั้น
หากใคร่ครวญดูอีกที เจ้าเจ็ดไม่ได้มีเพียงความช่วยเหลือจากเอ้อร์หนิวเท่านั้น ตั้งแต่บุตรีของเจ้าเจ็ดเกิดมาก็ได้รับพระราชทานนามจากเสด็จพ่อ หากรอให้โตอีกหน่อยคงออดอ้อนจนเจ้าเจ็ดได้รับความโปรดปรานไปด้วย นอกจากนี้พระชายาเยี่ยนอ๋องก็ยังเป็นคนโปรดของฮองเฮา จำต้องยอมรับว่าการที่เจ้าเจ็ดได้เป็นบุตรบุญธรรมของฮองเฮาเป็นคุณูปการของพระชายาเยี่ยนอ๋องทั้งนั้น
เจ้าเจ็ดมีทั้งภรรยา บุตรสาว และสุนัขที่คอยเป็นแรงสนับสนุน แล้วเขาล่ะ…?
เสด็จแม่ถูกเจ้าเจ็ดยั่วโมโหจนสุขภาพย่ำแย่ ส่วนหลี่ซื่อที่ทำอะไรไม่ได้ก็ครองตำแหน่งพระชายาฉีอ๋องอยู่อย่างนั้น มิหนำซ้ำร้าย เจ้าแปดที่เขาสนิทที่สุดก็ถูกถอดยศเป็นสามัญชน…
ฉีอ๋องยิ่งคิดยิ่งหดหู่ นัยน์ตาของเขาขับประกายเย็นเยียบ
เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ เขาจะปล่อยให้หลี่ซื่อถ่วงชีวิตของเขาต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องให้นาง ‘ป่วยตาย’ เสียที เขาจะได้ใช้ข้ออ้างที่ภรรยาเสียชีวิตถอยออกมา และปล่อยให้เจ้าหกสู้กับเจ้าเจ็ด ส่วนเขาก็รอดูการต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ที่ข้างสนาม
ฉีอ๋องตัดสินใจได้ดังนี้ก็รีบวางแผนทันที
เพิ่งเกิดเรื่องกับเซียงอ๋องไม่นาน หากพระชายาฉีอ๋องจะ ‘ป่วยตาย’ ตอนนี้คงไม่เนียนนัก ฉะนั้นแล้วฉีอ๋องจึงกำหนดให้เป็นหนึ่งเดือนหลังจากนี้ รอให้เรื่องของเซียงอ๋องเริ่มซาลงก่อน
ในเมืองหลวงมีข่าวลือมากมาย และมนุษย์ทั้งหลายก็มักจะหลงลืมอยู่เป็นอาจิณ
ในวันที่ฉีอ๋องจะลงมือ เขากลับลังเลเล็กน้อย เพราะชั่งใจว่าควรให้ย่วนเจี่ยเอ๋อร์เข้าไปพบหน้าพระชายาฉีอ๋องเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่
ตั้งแต่วันที่หลี่ซื่อถูกขัง ย่วนเจี่ยเอ๋อร์เข้าไปหามารดาแทบจะนับครั้งได้ แต่เพราะบุตรสาวของเขาเริ่มจะเข้าใจสิ่งต่างๆ แล้ว หากจู่ๆ เขาสั่งให้นางเข้าไปหาหลี่ซื่อ และต่อมาหลี่ซื่อก็เสียชีวิต เกรงว่าบุตรสาวอาจสงสัยในตัวเขา
ฉะนั้นแล้วสู้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจะดีกว่าคือไม่ควรให้ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ไปพบหน้าหลี่ซื่อแต่แรก
และเมื่อหลี่ซื่อจากไปแล้ว สิ่งถัดมาที่เขาควรพิจารณาก็คือ เขาควรแต่งงานกับสตรีสูงศักดิ์ตระกูลใด
ฉีอ๋องที่นั่งอยู่ในห้องตำราหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง เฝ้ารอให้ผืนฟ้าด้านนอกแปรเปลี่ยนจากสว่างเป็นมืด
เขาเป็นคนรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่จะลงมือในจวนของเขาเองและยามที่ต้องรับมือกับสตรีผู้สูญเสียทุกอย่างไป เขาวางแผนแล้วว่าจะลงมือเงียบๆ ในช่วงกลางดึกแทนที่จะเป็นช่วงเวลากลางวัน
……
เดือนสามเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ มวลอากาศอุ่นแผ่ขยายไปทั่วสารทิศ ผืนหญ้าสีเขียวงอกเงยเติบโตในขณะที่หมู่นกกาพากันโบยบิน นี่เป็นช่วงที่บรรยากาศงดงามสดใสที่สุดของปี แต่ต่อให้สภาพโดยรอบจะสดใสกว่านี้เพียงใด ความงดงามเหล่านั้นก็ไม่อาจเล็ดลอดเข้ามาในลานด้านในสุดของจวนฉีอ๋อง
และถึงแม้วสันตฤดูจะวิจิตรงดงามยิ่งกว่านี้ก็ดูเหมือนว่าจะมาช้าเกินไปเสียแล้ว พลังงานทุกซอกมุมในพื้นที่นั้นมลายหายสิ้น
ในลานกลางเรือนเงียบเชียบไร้ผู้คน ต้นซิ่งฮวาเพียงหนึ่งเดียวที่ขึ้นอยู่ข้างกำแพงล้มตายไปนานแล้ว
ทันใดนั้นเอง มีผอจื่อคนหนึ่งเดินออกมาพลางถ่มน้ำลายลงพื้น “ถุย ยังคิดว่าตัวเองเป็นพระชายาผู้สูงส่งหรืออย่างไร เหตุใดถึงไม่ลองตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเสียบ้าง ยังมีหน้ามาอารมณ์เสียใส่คนอื่น…”
ขณะที่กำลังปริภาษสาปส่ง นางก็เห็นเงาหญิงสาวที่ผอมซูบซีดราวกับผีปรากฏขึ้นที่บริเวณหน้าประตู
ผอจื่อกรีดร้องก่อนจะตบเข้าที่อกของตัวเองพลางก่นด่า “ทำตัวเป็นผีอยู่ได้ เดี๋ยวก็ได้เป็นผีจริงๆ หรอก!”
“ไปบอกท่านอ๋องว่าข้าต้องการพบย่วนเจี่ยเอ๋อร์” พระชายาอ๋องไม่สนใจถ้อยคำผรุสวาทที่ผอจื่อกล่าว นางเพียงแต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ผอจื่อเยาะเย้ย “โธ่ คิดว่าเป็นเมื่อก่อนหรือที่เจี่ยเอ๋อร์จะต้องมาน้อมทักเช้าเย็น”
“ไปบอกท่านอ๋องว่าข้าต้องการพบย่วนเจี่ยเอ๋อร์!” พระชายาฉีอ๋องตะเบ็งเสียง “ข้าเป็นมารดาของย่วนเจี่ยเอ๋อร์ ข้าต้องการพบบุตรสาวของข้า!”
“เจ้าเลิกฝันเสียเถิด” ผอจื่อกลอกตาก่อนจะเดินไปผลักพระชายาฉีอ๋องเข้าไปในห้อง
ด้านนอกมีแสงของฤดูใบไม้ผลิเจือจางบางเบา แต่ทว่าภายในกลับมีความอึมครึมปกคลุมจนทั่ว
ผอจื่อแผดเสียงแหลมกว่าเก่า “เสี่ยวหง หากเจ้ายังไม่ดูแลคนเสียสตินี่ให้ดี ก็เตรียมตัวไว้ได้เลย”
สาวรับใช้เอ่ยแผ่วเบา “พระชายา เข้าไปพักด้านในก่อนเถิดเพคะ”